++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2553

"ทำยังไงดี - คิดไม่ดีอยู่เรื่อย"

dungtrinถ้าคุณ เป็นคนหนึ่งที่กำลังทรมานใจอยู่กับความคิดสกปรก
ความทรงจำแย่ๆ หรือความลับน่าอับอายเกินกว่าจะให้ใครรู้ว่าเราก็คิดอย่างนี้ได้
ขอให้ทราบเถิดว่าคุณไม่ได้โดดเดี่ยว ยังมีคนอีกทั้งโลกเป็นเพื่อน
ที่สำคัญว่าคิดบ้าๆอยู่คนเดียวก็เพราะไม่ได้เปิดอกนั่งจับเข่าคุย
กันเท่านั้นแหละ
ใครเล่าจะอยากขุดเอาความคิดเพี้ยนๆเลอะเทอะในหัวของตัวเองออก
มาแฉให้คนอื่นร่วมรับทราบไปด้วย

คลื่นความคิดที่กระทบใจแล้วรบกวนเราได้แรงๆนั้น
ไม่จำเป็นต้องชั่วช้าสามานย์อะไรมาก
แค่คำด่าบางคำที่ใครบางคนมาปล่อยเรี่ยราดตามเว็บบอร์ด
โดยชี้นำให้คิดโยงคำด่านั้นไปหาคนที่คุณนับถือ
ก็เพียงพอแล้วที่มันจะกลายเป็นอาถรรพณ์ ตามมาวนเวียนหลอกหลอนคุณ
ยั่วยุให้คุณนึกถึงคำวิปริตนั้นวันละเป็นสิบเป็นร้อยรอบ
คล้ายมีวิญญาณร้ายแฝงอยู่ในสมองของคุณก็ไม่ปาน

ลองมาหาคำตอบกันดูครับ ความเข้าใจถึงที่มาที่ไป ตลอดจนอุบายต่อไปนี้
อาจช่วยคุณให้พ้นทุกข์จากความคิดชนิดบาดใจได้ใน เวลาไม่นานนัก

ความคิดไม่ดีมา อยู่ในหัวเราได้อย่างไร? และที่ร้ายกว่านั้น
ทำไมมันถึงเกิดขึ้นบ่อยๆ ทั้งที่เราเกลียดความคิดแบบนั้นแทบดิ้นตาย?

คำตอบคือ ใจเราเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เข้าไปติด เข้าไปข้อง
หรือเข้าไปยึดมั่นสิ่งที่รักแรงหรือเกลียดแรงได้อย่างเหนียวแน่น
และความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นนั้นเอง
เป็นตัวการผลิตความคิดถึงสิ่งที่ยึด ได้เรื่อยๆ

ขอให้นึกถึงบุคคล อันเป็นที่รักยิ่ง
คุณเห็นเขาหรือเธอปรากฏตัวก็อยากถลาเข้าไปกอด รัดให้เต็มอ้อมทันที
อาการอยากกอดรัดทางกายนั้นแหละ
สะท้อนให้เห็นอาการยึดติดทางใจประมาณเดียวกัน

ส่วนบุคคลอันเป็นที่ชิงชังยิ่งสำหรับคุณ เมื่อใดปรากฏตัว
คุณจะอยากเบือนหน้าเดินหนี แต่เหมือนเขายังเป็นเงาติดตามคุณมา
ทุกฝีก้าวไม่ห่าง นั่นเพราะใจคุณไม่เคย "ทิ้ง" เขาเลย
หรือถ้าคุณเกลียดจัด แทนที่จะอยากเดินหนี คุณอาจอยากถลาเข้าไปเขย่าคอ
ชกหน้า ตบตี หรือทำร้ายร่างกายเขาเลยด้วยซ้ำ
นี่ก็เป็นเครื่องแสดงอาการยึดของจิต อีกแบบ
เกลียดกันแล้วก็ยึดว่าต้องทำลายล้าง ต้องทำให้เจ็บปวดในทางใดทางหนึ่ง
ปล่อยให้ลอยนวลสบายๆไม่ได้

เมื่อรักแรงแล้วคิดถึงบ่อยๆย่อมเป็นสุขสดชื่น
แต่หากเกลียดแรงแล้วคิดถึงบ่อยๆ ย่อมเป็นทุกข์ อึดอัด ไม่สบายใจ
กระวนกระวาย หรือกระทั่งพาลพาโลเกลียดตนเองไปด้วย
ค่าที่รู้สึกว่าความคิดคือเรา เราคือความคิด เมื่อความคิด "น่าเกลียด"
ตัวเราก็ย่อมน่ารังเกียจไปด้วย

อาการที่สะท้อนความทรมานใจกับความคิดในหัวแต่ละครั้งอาจ แตกต่างกันไป
ถ้าอาการน้อยหน่อยก็อาจแค่ขมวดคิ้วนิ่วหน้าอยู่กับตัวเอง
แต่ถ้าอาการหนักหน่อยก็อาจทำท่าฟึดฟัดงุ่นง่าน
จนคนอยู่ใกล้ต้องหันมาถามว่า "เป็นอะไร?" อย่างอดสงสัยไม่ได้

ยิ่งหากคุณรู้สึกว่าความคิดที่เสียดแทงหัวหูอยู่นั้น
เป็นเรื่องน่าอับอายเกินกว่าจะปรึกษาใคร เรียกว่าไม่กล้าเปิดเผยกันตลอด
ชีวิต ก็ยิ่งย้ำติดและคิดหนัก เช่น คำหยาบที่โยงเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือความคิดทางเพศกับญาติเชื้อ แม้คุณจะปฏิเสธว่าไม่ได้คิด ไม่ได้ตั้งใจ
ไม่ได้อยากอยู่ข้างเดียวกับความ คิดพรรค์นั้น
มันก็ยังคงวนเวียนเยี่ยมหน้ามาไม่เลิก
ราวกับมีศัตรูตามราวีตนอยู่ในตัวเอง

หลายคนต้องทรมานใจเป็นสิบๆปี
เพียงเพราะไม่รู้ว่าจะเอาความคิดบัดสีบัดเถลิงหรือความคิดลบหลู่สิ่งศักดิ์
สิทธิ์ออกไปจากหัวของตัวเองได้อย่างไร บ้างก็หาทางออกด้วยการเข้าหมู่เข้า
พวกกับคนถ่อยไปเลย จะได้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาให้รู้แล้วรู้รอด
อันนี้นับเป็นทางออกที่มืดมนที่สุด และเป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่าความ
คิดในหัวไม่ใช่แค่ลมแล้งเล็กน้อย ถ้าแกะไม่ออก ถอดไม่หมด
ชีวิตก็อาจพลิกจากด้านสว่างเข้าสู่ด้านมืดโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ผมขอให้คุณๆมองอย่างนี้ครับว่า ยิ่งหาทางแก้ความคิดไม่ดี
ก็ยิ่งตอกย้ำให้กลุ้มว่าเราคือเจ้าของความคิดไม่ดี อย่าไปทำอย่างนั้นเลย
หาทางเป็นคนละข้างกับมันดีกว่า

วิธีการก็ไม่ได้ยุ่งยาก และสามารถทำได้จริง คือ
ในแต่ละครั้งที่ความคิดเลวร้ายมันผุดขึ้นในหัว ให้ดูว่ามันมาเอง
เราไม่ได้เชิญ!

ก็ถ้าเราไม่ได้พา มันมา เราไม่ได้เป็นฝ่ายเชื้อเชิญมัน
แล้วทำไมมันจะต้องเป็นความรับผิดชอบ ของเราด้วย?

สิ่งใดเกิดขึ้นในหัวของเรา ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นตัวเรา
หรือของเราเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณไปเก็บตกคำด่าที่สาดกระจายเรี่ยราด
ตามเว็บบอร์ด แล้วเอามานั่งกลุ้ม เพราะคำนั้นดันติดแน่นฝังหัว
ผุดขึ้นในหัวของคุณบ่อย ทั้งๆที่คุณไม่อยากให้มีคำนั้นขึ้นมาในโลก
อย่างนี้ให้ตั้งหลัก ตั้งสติ
แล้วคิดย้อนศรง่ายๆว่าคำหยาบเป็นวจีทุจริตของคนอื่น
เป็นการจงใจสื่อสารที่ชั่วร้ายของคนอื่น มันไม่ใช่คำของคุณมาแต่แรก
คุณไม่ได้ชั่วร้ายอย่างเขา แต่คุณ "เคราะห์ร้าย" ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์
ไปเกิดความเกลียดคำๆนั้นเข้า จิตเลยเกิดอาการยึดคำนั้นไว้เต็มเหนี่ยว
ด้วยพลังมืดของความเกลียด ดังกล่าวไว้แล้วแต่ต้น

เมื่อยึดมากก็หวนกลับมาคิดมาก และยิ่งรู้สึกคล้ายเป็นเจ้าของ
ความคิดเสียเองมากขึ้นทุกที การทึกทักหลงยึดว่าความคิดนั้นๆเป็นของคุณ
เป็นตัวคุณนั่นแหละ ก่อความรู้สึกผิดขึ้นมา
จนกระวนกระวายเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ

พอพิจารณาอย่างละเอียดเท่านี้ คุณจะเริ่มโล่งใจ สบายใจขึ้น
อย่างน้อยก็มีแก่ใจจะรับมือกับความคิดเลว ร้ายอย่างถูกต้อง นั่นคือ
ไม่ไปให้ "อาหาร" หล่อเลี้ยงมันด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ซ้ำซ้อน
ทั้งในทางคล้อยตามมันไป และในทางต่อต้านปฏิเสธจะไม่ยอมให้มัน มา

ทำไมจึงไม่ควรต่อต้าน? อย่างที่ ผมกล่าวแล้วว่ายิ่งเกลียดแปลว่ายิ่งยึด
ส่วนการต่อต้านก็คือยิ่งตอกย้ำความ เกลียดเข้าไปใหญ่
แล้วเมื่อไรใจจะเลิกยึดได้เล่า?

ท่าทีที่ ถูกต้องคืออย่างไร?
ประการแรกคุณต้องยอมรับตามจริงโดยดุษณีว่าความคิดเลว
ร้ายมันเกิดขึ้นในหัวของคุณ และนอกจากจะเห็นมันมาเองโดยคุณไม่ได้
เชิญแล้ว ยังต้องเห็นว่ามันไปเองได้โดยไม่ต้องขับไล่อีกด้วย ขอแค่ใจเย็น
เฝ้าดู และไม่แคร์ว่าจะต้องดูกี่ร้อยกี่พันรอบก็ตาม

พอคุณเฉยๆในอาการยอมรับว่ามันมาเองและไปเอง
ขณะนั้นจิตของคุณจะประกอบด้วยสติ รับตามจริง รู้ตามจริง ไม่หลอกตัวเอง
บ่อยครั้งเข้าในที่สุดจะได้ข้อสรุปเป็นความสบายใจอย่างมีสติรู้
ว่ามันไม่ใช่เรา เราไม่เห็นจะต้องไปให้ความร่วมมือหรือต่อต้านมันเลย
แม้แต่นิดเดียว

ผลพลอย ได้ที่ตามมาคือคุณจะไม่ใช่พวกรักแรงเกินไป เกลียดแรงเกินไป
คือรักได้และเกลียดได้นะครับ แต่ไม่เกินขีด ไม่แปรความรักและความเกลียดมา
เป็นความยึดแน่นให้เป็นทุกข์เปล่า

ดังตฤณ
จากบท ความ "ทำยังไงดี"
นิตยสาร Miracle of Life ฉบับ เดือนพฤษภาคม ๕๓

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น