++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เจ้าสังเวียน

 กมล วัฒนา

            คุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ผมขอเรียนว่าในชีวิตของผมตั้งแต่วัยสะรุ่นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้กลายเป็นวัยสะร่วงไปแล้วนั้น ผมไม่เคยเข้าไปดูมวยในสนามเลย ไม่ว่าจะเป็นสนามราชดำเนิน หรือ ลุมพินี
            เพียงแต่ตอนเป็นเด็กอยู่ พ่อเคยจูงมือพาไปดูการชกมวยที่สนามสวนเจ้าเชตุบ้าง (ถ้าผมเขียนผิดขออภัย) สวนกุหลาบบ้าง หลังจากนั้นแล้วก้ไม่เคยได้ดูการชกมวยบนเวทีอีกเลย นอกจากดูถ่ายทอดการชกมวยคู่สำคัญทางโทรทัศน์เป็นบางครั้งเท่านั้น แต่คุณจะเชื่อหรือไม่ (อีกที) ก็ตาม ผมได้คลุกคลีอยู่กับวงการหมัดมวยๆมาไม่น้อย ทั้งที่ไม่เคยเข้าดูมวยในสนามมวยนี่แหละ ไม่ใช่อะไรหรอก สมัยก่อนโน้นบ้านเกิดของผมอยู่ที่บางซื่อ อันเป็นถิ่นของ "ทองใบ ยนตรกิจ" ศิษย์เอกของ "ครูตังกี้ ยนตรกิจ" นั่นแหละครับ  ผมไปดูการซ้อมของนักมวยในคณะนี้ที่ค่ายวัดน้อยนพคุณราชวัตร ใกล้กับสะพานเกษะโกมลเสมอ ได้เห็นและรู้ซึ้งถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของนักมวยแต่ละคนดีพอสมควร อย่างไรก็ดี หากจะเจาะให้ลึกลงไปอีกแล้ว ผมมีความสนิทสนมคุ้นเคยกับอดีตนักมวยท่านหนึ่งซึ่งมีความเป็นสุภาพบุรุษสังเวียนทั้งบนเวที และนอกเวทียิ่งกว่านักมวยท่านอื่นมาก ท่านผู้นี้เป็นนักมวยที่ชกได้ทั้งมวยไทยและมวยสากล อีกทั้งเคยไปชกในประเทศเพื่อนบ้านเช่น มลายู สิงคโปร์ อย่างโชกโชนมาแล้ว ดังผมจะได้เล่าให้ท่านฟังนะครับ

            ตามที่เรียนให้ทราบแล้วว่าสมัยก่อนโน้น ผมมีนิวาสถานบ้านเกิดอยู่ที่บางซื่อ  ตอนเป็นเด็กเล็กอยู่ ทุกๆเช้าผมจะต้องเดินไปโรงเรียนวึ่งอยู่ตอนหัวโค้งจะไปโรงงานปูนซิเมนต์ไทย ชื่อโรงเรียนวิริยะวิริยา ซึ่งปัจจุบันได้เลิกกิจการไปนานแล้ว  ในระหว่างทางผมจะต้องผ่านบ้านหลังหนึ่งซึ่งอยู่ริมถนนเตชะวณิชย์ ในสมัยนั้นผู้คนยังมีจำนวนน้อยมาก รถราต่างๆก้ไม่ค่อยมีวิ่งเหมือนปัจจุบันนี้  และทุกๆเช้าหรือเย็นเลิกจากโรงเรียนกลับบ้าน จะต้องพบเห็นนักมวยเอกท่านหนึ่งซ้อมชกกระสอบทรายอยู่เป็นประจำ และในบางวันผมก้หยุดยืนดูท่านซ้อมอยู่เสมอ จนกระทั่งรู้จักมักคุ้นกับท่านเป็นอย่างดี ผมเรียกท่านว่า "น้าหมาน" เป็นคนใจดี ในยามที่ว่างจากการซ้อม ผมก็จะเข้าไปคุยกับท่านบ้าง และบางทีผมก็ขี่คอให้ท่านพาเดินเล่นในละแวกใกล้เคียงเสมอ เรียกว่า เราสนิทสนมกันมากจนกระทั่งผมโตเป็นหนุ่มแล้ว ความรักใคร่สนิทสนมก็มิได้คลายลง เพียงแต่ตอนหลัง ท่านย้ายที่ทำมาหากินไปอยู่ต่างจังหวัด ก็เลยไม่ค่อยได้พบกันเหมือนเช่นเคย สำหรับนักมวยในสมัยนั้น เท่าที่จำได้ก็มี "สมพงษ์ เวชสิทธิ์" ซึ่งท่านผู้นี้ก็เกรียงไกรในด้านยุทธจักรหมัดๆมวยๆเช่นกัน และทั้งสองท่านก็เคยได้ประกบคู่ชกกันบนเวทีแล้วด้วย

            สมัยนั้น นักมวยผู้ที่ได้ชื่อว่า เป็นสุภาพบุรุษของวงการมวยไทยและมวยสากลของเมืองไทย จากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ก็มี "น้าหมาน" ที่ผ่านการชกบนเวทีทั้งมวยไทยและมวยสากลอย่างโชกโชนอยู่คนหนึ่ง สำหรับมวยสากลนั้นเคยออกไปราวี ณ มลายู สิงคโปร์บ่อยครั้งจนกลายเป็นนักมวยขึ้นคานครองแชมป์ทั้งไทยและสากล

            นักมวยนั้นเก่งเกินไปก้หาคู่ชกยาก เพราะไม่มีใครกล้าต่อกรด้วย น้าหมานก็เหมือนกัน เพราะเมื่อเก่งมากไปหาคู่ชกไม่ได้ ก็เลยต้องแขวนนวมไปขับรถบรรทุกหากินทางภาคเหนือ โดยตั้งหลักแหล่งอยู่ที่นครสวรรค์โน้น ก้มหน้าก้มตาหารับประทานไปวันๆ จากการบอกเล่า น้าหมานบอกว่า คู่ต่อกรที่ต่อยกันมันก็คือ "สมพงษ์ เวชสิทธิ์" ผู้ที่มีหมัดซ้ายปรมาณู ผลจากการชกหลายครั้งหลายหน ก็ผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ เพราะชกทั้งแบบมวยไทยและมวยสากล แต่สรุปได้ว่า  น้าหมานชนะสมพงษ์ มากกว่าแพ้
   
            เวทีราชดำเนินสมัยก่อนยังไม่มีหลังคา แต่เป็นเวทีกลางแจ้งพร้อมที่จะรับแดดรับฝนที่ดีและทันสมัยที่สุด สมัยที่คุณปราโมทย์ พึ่งสุนทร เป็นนายสนามมวยราชดำเนิน คิดอยากจัดมวยใหญ่ให้เป็นที่เกรียงไกรสักครั้ง นั่นก็คือ ต้องการมวยดีมาปราบยักษ์สุข หรือ "สุข ปราสาทหินพิมาย" ที่มีสมญานามน่ากลัวว่า "ผีโขมด" เพราะหน้าตาเหี้ยม สักเกือบทั้งตัว รูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อเป็นมัด บึกบึนแข็งแรงมาก และที่ว่าร้ายกันก็คือ เพิ่งออกจากคุกฐานฆ่าคนตายซะด้วย

            เมื่อออกจากคุกก็ออกชกมวยหาเงินเลี้ยงครอบครัวด้วยการตั้งคณะมวยเป็นของตนเอง ชื่อคณะปราสาทหินพิมาย เพราะสุขเป็นคนเมืองพิมายโคราช โดยมีนักมวยร่วมคณะเพียงคนเดียว คือ "แก้ว" ซึ่งเป็นน้องชายของสุขเอง และได้หอบหิ้วกันเข้ามาชกมวยในเมืองหลวง

            สุข ปราสาทหินพิมาย ชกชนะดะมาทุกคน ไม่ว่าจะเป็น ทวี ใจมีบุญ ลี เทียมกำแหง ประสิทธิ์ ชมศรีเมฆ ประเสริฐ ส.ส. ถวัลย์ วงศ์เทเวศร์  ฉลวย นฤภัย และศรีเมือง อินทรยศ
            ในที่สุดก็แทบจะกลายเป็นมวยขึ้นคานไปอีกคน ตอนนั้นแฟนมวยเรียกร้องให้เอาสมพงษ์ เวชสิทธิ์ มวยซ้ายหนักมาปราบ แต่กลับกลายเป็นถูกปราบโดยสุข ปราสาทหินพิมาย ซึ่งมองกันไม่ออกว่าหน้าไหนจะมาปราบได้นอกจากน้าหมานเท่านั้น

            เพราะน้าหมานเป็นมวยไทยที่ชกด้วยสมอง สุขุมเยือกเย็น และเด็ดขาด ฉับไวในการใช้อาวุธมวยไทย ไปทุกกระบวนท่า ไม่ว่าศอก เข่า เท้า หมัด เรียกว่าพร้อม ส่วนยักษ์สุข ปราสาทหินพิมาย นั้นเล่าก็แข็งแกร่ง ยังกะปราสาทหินพิมาย ทรหดอดทนเชิงชกดุดันแบบไร้ความปรานี  หมัดขวาดี ศอกซ้ายคมและหนักหน่วง การเตะก็พอใช้ เป็นมวยแบบย่างสามขุม เดินหน้าจ้องตาไม่กะพริบ  การ์ดมวยของสุขก็คือยกศอกสูง เกร็งหมัด ส่วนน้าหมานนั้นการ์ดมวยแบบธรรมดา คือ ไทยกึ่งสากล

            ความพยายามของคุณปราโมทย์ พึ่งสุนทร ในเวลานั้นได้ผล แต่กว่าจะกล่อมน้าหมานได้ก็เล่นเอาวิ่งขึ้นวิ่งล่องกรุงเทพ-นครสวรรค์หลายตลบ เพราะน้าหมานแกรู้ตัวดีว่าเรื้อเวทีไปนาน และอายุอานามก็มากโข  ต่อให้ฟิตยังไงก็ยากจะทนความหนุ่มที่ห้าวหาญของผีโขมดสุข ปราสาทหินพิมาย ได้

            แต่เมื่อมาเจอข้อเขียนของ "ครูมาลัย ชูพินิจ" หรือ "แบตลิ่ง กร้อบ" เขียนกระทุ้งว่า การชกคราวนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าเชิงมวยไทยกับความแข็งแกร่งอย่างไหนจะเหนือกว่ากัน และจะหาความเหมาะสมกว่าคู่นี้ไม่มีอีกแล้ว

            ต่อจากนั้น หนังสือพิมพ์ไทย สยามนิกร สยามสมัยรายสัปดาห์ และหนังสือกีฬาก็ช่วยกันประโคมข่าวทุกฉบับ.. น้าหมานเลยยอมชกกับ สุข ปราสาทหินพิมาย
             ก่อนการชก นักมวยรุ่นหลังอย่าง ถวัลย์ วงศ์เทเวศร์, ฉลวย นฤภัย ไปช่วยลงนวมกับน้าหมาน และก็ด้วยเวลาอันจำกัด น่าหมานก้ไม่สามารถจะฟิตร่างกายให้แกร่งเหมือนแต่ก่อนได้ โดยเฉพาะการลดความอ้วน แต่แกก็หมั่นฝึกซ้อม และเชื่อมั่นว่าคงจะใช้ชั้นเชิงมวยไทยรับมือกับมวยหมัดมวยศอกได้

            ฝ่ายทางผีโขมด สุข ปราสาทหินพิมาย กลับไปซ้อมที่พิมาย ปล้ำกับควายและวัวขนแข็งแกร่งยังกะภูผา

             วันชกของยอดมวยคู่นี้ เรียกความสนใจได้มากเป็นประวัติการณ์ และส่วนมากอยากเห็นน้าหมานต้อนมวยอย่างสุข และคาดอีกว่าน้าหมายคงจะใช้ชั้นเชิงอันแพรวพราว ล่อหลอกให้สุขหัวปั่นเล่นอย่างมันในอารมณ์ ของประดาแฟนที่แห่แหนเข้าไปนั่งรอรับแดด ตั้งแต่บ่ายโมงอย่างไม่ย่อท้อ

            เพราะน้าหมานเป็นขวัญใจ และ เป็น สุภาพบุรุษสังเวียน
            แต่ สุข ปราสาทหินพิมาย เป็นยักษ์ผีโขมด ดุเดือด ดุดัน เหี้ยมเกรียมนั้นเอง คือจุดที่ทุกคนรอคอยเหมือนจะคิดว่า ยากนักหนาที่น้าหมานจะพ่ายแพ้มวยที่เป็นมาจากในคุกเมืองโคราช

            ตอนขึ้นเวที ทุกคนเห็นชัดถึงความเป็นเจ้าเนื้อของน้าหมานอย่างชัดเจน เพราะใบหน้าที่อูม ท้องที่เริ่มพลุ้ยเห็นได้ชัด แต่ก็ยังหวังว่าความเป็นยอดมวยไทยคงจะต้อนคู่ต่อสู้ได้แน่
            เริ่มการชกเมื่อสิ้นเสียงระฆัง ยกที่ ๑ อาจารย์วงศ์ หิรัญเลขา (คงใช่นะ) ให้สัญญาณการชก ..น้าหมานจรดมวยอย่างรัดกุม สุขเดินส่ายอาดๆย่างสามขุม ขยับทั้งศอกและหมัดเข้าหาอย่างไม่กลัวศักดิ์ศรี และในชั่วพริบตานั่นเอง น้าหมานก็เตะเข้าพับในเสียงดังเพี๊ยะ .. สุข ปราสาทหินพิมาย ล้มก้นจ้ำเบ้าทั้งยืน เรียกเสียงแฟนมวยเฮฮา เสียงปรบมือกึกก้อง

            สุขรีบลุกขึ้นมาเดินลุยเข้าหาแต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากต่อยลมวืดวาด

           ยกสองก็เช่นกัน การชกมีประปราย แลกเตะกันพอหอมปากหอมคอ เข้าวงในน้าหมานก็เชิดศอกได้หลายครั้ง ...แฟนมวยเชื่อกันว่า ลองชกกันอย่างนี้สุขแพ้น้าหมานแหงๆ
            แต่พอยกสาม...น้าหมานดูท่าทางอ่อนระโหยลงมาก ผิดกับสุขที่คึกยังกะคนหนุ่ม และคราวนี้สุขก็เดินลุยอย่างเมามัน น้าหมานยากที่จะต้านทานได้ ล้มกลิ้งล้มหงายเพราะหมดแรง ซึ่งยกที่สี่ก็มีสภาพเหมือนกันกับยกที่ห้าอันเป็นยกสุดท้ายที่น้าหมานเองก็สิ้นเรี่ยวสิ้นแรง ยืนแทบไม่อยู่ ซึ่งสุขเองก็รู้ว่ายอดมวยหมดแรงแล้ว และแทนที่จะขยี้ให้ย่อยยับตามแบบฉบับของยักษ์ผีโขมด สุขไม่ทำ พยายามประคับประคองกันจนครบ และหมดยกที่ ๕

            ท่านที่รัก - ก่อนที่กรรมการจะตัดสิน น้าหมานก็เดินมาชูมือ สุข ปราสาทหินพิมาย ให้เป็นผู้ชนะท่ามกลางเสียงปรบมือ และตัวสุขเองก็ก้มลงกราบที่เท้าของน้าหมานเหมือนขอขมาลาโทษ และยอมรับในความเป็นมวยรุ่นพี่ -น่ารักน่าชื่นชมยิ่งนักเมื่อน้าหมานทรุดตัวลงประคองให้สุขยืนขึ้น เพื่อให้กรรมการชูมือในฐานะเป็นผู้ชนะ

            สุขเองเคยบอกไว้เมื่อปี ๒๕๑๒ ว่า "พี่หมานแกแพ้สังขารว่ะ..หากเป็นมวยยุคเดียวกันฉันเอาชนะแกไม่ได้หรอก เพราะเชิงสูง ไว และหนักทุกอย่าง" ซึ่งการยกอันเป็นประวัติศาสตร์ในครั้งนั้นเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๔๙๒ น้าหมานเองก้กล่าวยกย่องสุขว่า " แกเป็นสุภาพบุรุษ ไม่ยอมขยี้อั๊วทั้งๆที่ทำได้ แถมเวลากอดกันยังพูดขอโทษตลอดเวลา" (คนอะไรน่ารักเป็นบ้า)

            คนไทยหรือมวยไทยนั้นมีสันดานเหมือนกัน คือ ไม่ยอมซ้ำเติมคู่ต่อสู้หากเพลี่ยงพล้ำ นักมวยไทยจึงเหลือความดี ความเป็นสุภาพบุรุษให้พูดถึงกันไปอีกนานเท่านาน เพราะกีฬาย่อมมีแพ้มีชนะ และมีการให้อภัยซึ่งกันและกัน

            ก่อนจน ผมขอเรียนท่านให้ทราบว่า ผู้ที่ผมเรียกว่า "น้าหมาน " คือ "สมาน ดิลกวิลาศ" เย็นเติ้ลแมนของวงการมวยไทย และมวยสากลสมัยก่อนนั่นเองครับ ซึ่งเดี๋ยวนี้คงทิ้งให้หลงเหลือไว้แต่เพียงชื่อเท่านั้น

ที่มา  ต่วยตูน ปักษ์แรก เดือนธันวาคม ๒๕๔๐ ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๗

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น