โดย 'ริน
หลายเดือนมาแล้วผมเคยเขียนเรื่องเกี่ยวกับกากินอยู่ ๒-๓ ตอน เฮียต่วยแกก็ไม่ได้สนใจแต่ประการใด คงเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตา "ดื่ม" โดยไม่ยอม "กิน" แม้แต่กับแกล้ม ยิ่งไปกว่านั้นในบ้านในเมืองเขาก็มัวไปสนใจการกินปุ๋ยบ้าง กินไม้บ้าง กินสมุดโทรศัพท์บ้าง หน้าเขียวหน้าเหลืองอะไรก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องกับเขา ผมก็เลยหยุดเขียนเรื่องกินไป แต่ไม่ใช่ว่า ผมหยุดเขียนแล้วจะไม่มีใครชวนบริโภคอะไรก็หามิได้ เพราะ คุณชายถนัดศรี ก็ยังชวนชิมของท่านอยู่ แม่ช้อยแกก็รำของแก เรื่อยไปจนไฟฟืนไหม้กันโกลาหลที่สีลม ส่วนใน ต่วยตูน ผู้การโอภาสท่านก็บรรเลงของท่านตามถนัด ไม่ได้มีว่างเว้น
ตอนนี้บ้านเมืองของเราก็เป็นปกติทุกข์บ้างสุขบ้างอย่างที่เคยเป็นมา ผู้คนพลเมืองก็มีกินบ้างไม่มีกินบ้าง และที่มีกินนั้น ก็อิ่มบ้างไม่อิ่มบ้าง หรืออร่อยบ้างไม่อร่อยบ้าง ผมจึงเห็นว่า หากจะเขียนบทความเกี่ยวกับการกินต่อไปคงจะไม่เป็นที่เขม่นของใครมากนัก เพราะแม้แต่การชูป้ายบ้าๆบอๆอะไรที่เขารำคาญกันทั้งเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดท่านหนึ่งยังเกรี้ยวกราดเอาว่า ไม่เห็นมันจะหนักหัวใคร แล้วเรามาพูดกันเรื่องการกินซึ่งเป็นของธรรมดา ใครมันจะหนักหัวก็ให้มันรู้ไป
ปีนี้เป็นปีท่องเที่ยวนี่ครับ เราก็ต้องเชียร์รัฐบาลกันหน่อย จะเลยเถิดไปถึงเชลียร์บ้างเล็กๆน้อยๆก็คงไม่ว่ากัน ตามโรงแรมใหญ่ๆที่ห้องนอนที่เขาเรียกว่า "สวีท" คิดค่านอนคืนละสองหมื่นกว่าบาทตลอดจนมาถึงเกสท์เฮาส์แถวบางลำพูคืนละ ๒๐ บาท ต่างก็เตรียมรับการท่องเที่ยวด้วยกันทั้งนั้น และตามโรงแรมใหญ่ๆนั้นเขาไม่ได้เตรียมแต่เรื่องนอนอย่างเดียว จำเป็นจะต้องเตรียมเรื่องการกินด้วย หลายท่านคงจะทราบดีแล้วว่า แต่ละโรงแรมเขาจัดห้องอาหารเอาไว้หลายระดับ อ้ายชนิดที่กินเข้าไปห้องหมุนไปให้เวียนหัวก็มี ชนิดที่สูงเทียมเมฆ มองลงมาเห็นกรุงเทพของท่านมหาลำจองอย่างกว้างขวางก็มี ลดหลั่นกันลงมา จนถึงแบบที่เรียกกันว่า ค๊อฟฟี่ช้อพ ซึ่งขายอาหารถูกที่สุดในโรงแรมแต่ละแห่งนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า ราคามันจะถูกเหมือนคำแปลของชื่อที่แปลว่า "ร้านกาแฟ" เพราะฉะนั้นถ้าท่านหลงเข้าไปหากมีเงินไม่ถึงสองร้อยบาทก็อย่าริสั่งอะไรมากินเลย แม้ว่าในเมนูเขาจะเขียนไว้ว่า อาหารจานละเพียง ๘๐-๙๐ บาท แต่บรรทัดสุดท้ายตัวเล็กๆเขาพิมพ์ไว้อย่างประณีตว่า จะต้องบวกค่าบริการและค่าภาษีให้รัฐบาลของป๋าด้วย บางแห่งก็ทำเก๋บอกแต่เพียงเครื่องหมายบวกสองอัน ไม่อธิบายอะไรทั้งนั้น
สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นอย่าไปห่วงเขาเลยครับ ลงว่ามันมีเงินตีตั๋วเครื่องบินมา และมาอยู่โรงแรมวันละหมื่นสองหมื่น (ห้องราคาถูกเขาก็มีเหมือนกัน คือ ราวๆคืนละสองพันบาท เขาไม่ค่อยจะสะดุ้งสะเทือนต่อราคาอาหารหรอก สเต็กชิ้นละ ๔๕๐ บาท มันก็บอกว่าถูก ชาวบ้านอย่างเราเงิน ๔๕๐ บาท ซื้อเนื้อมาแกงป่ากินกันทั้งครอบครัว สักสิบวันก็คงยังกินไม่หมด ยิ่งตามกรมกองทหารยิ่งแล้ว เนื้อวัว ๔๕๐ บาท เอามาแกงเผ็ดใส่มะเขือมากหน่อย กับถั่วฝักยาวอีกหลายๆนิด แก่พริก แก่น้ำปลา เลี้ยงทหารได้ทั้งกองร้อย นี่ก็ว่าถึงสเต๊กธรรมดาๆนะ ครับ ถ้าเป็นพวกนิวยอร์ค คัต หรือ โกเบบีฟ เขาเข็นรถเอาเนื้อดิบๆมาให้ดูเลย ให้สั่งเอาเองว่าจะตัดแค่ไหน แล้วก็เอาไปชั่งน้ำหนักคิดสนนราคากันเป็นขีดๆ เมื่อครั้งทองยังราคาบาทละ ๕๐๐ บาท ไม่ถึง ๘๕๐ บาทอย่างทุกวันนี้ ราคาเนื้อโกเบหนึ่งกิโลจะซื้อเนื้อกระบือเมดอินไทยแลนด์ได้ไม่ต่ำกว่าสิบกิโล ทั้งๆมันก็ไม่ได้เหนียวกว่ากันเท่าไร
คนไทยที่มีโอกาสไปนั่งกินตามโรงแรมชั้นหนึ่ง หรือชั้น ๒ นั้น แบ่งออกเป็นหลายประเภท ถ้าหากเขาชวนหรือเขาหลอกให้เดินขบวนไปประชุมสัมมนาเรื่องสภาปฏิวกปฏิวัติอะไร ก็ถือว่าเป็นลาภปาก ได้กินฟรี แต่จะไปเลือกสั่งเอาตามใจชอบใจไม่ได้ เขาทำมาให้อย่างไรก็ต้องกินไปอย่างนั้น และอย่ามัวโอ้เอ้ออกมาเป็นคนสุดท้าย ดีไม่ดีบ๋อยจะยึดตัวเอาไว้ เพราะคนที่หลอกให้เรามาอาจเบี้ยวไม่จ่ายค่าอาหารให้โรงแรมก็ได้
ประเภทที่กินฟรีอย่างมีเกียรติ ก็คือ ข้าราชการหรือพนักงานบริษัทเอกชนที่มีหน้าที่รับรองแขกผู้มีเกียรติชาวต่างประเทศ ถ้าเป็นข้าราชการอยากกินของดีบ่อยๆ ก็ต้องไปอยู่กรมพิธีการฑูต กระทรวงการต่างประเทศ หรือกองต่างประเทศกรมข่าวทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ กรมตำรวจ แล้วแต่กรณี เพราะถ้าเจ้านายจะมีแขกมาเยี่ยมเป็นทางการ พวกนี้จะต้องไปติดต่อโรงแรมใหญ่ๆ หลายๆแห่ง เอาเมนูอาหารมาเลือกดู แล้วต้องทดลองกินด้วย ว่ามันจะเหมาะแก่รสนิยมของแขกหรือไม่ ต่อมาเมื่อแขกเมืองมาพัก ถ้าหากถูกจัดให้เป็นเจ้าหน้าที่ติดต่อประสานงาน หรือเจ้าหน้าที่ประจำตัวแขกเมือง ก็ต้องโอนสำมะโนครัวไปอยู่โรงแรมเดียวกับแขกเมืองเลย ตอนนี้ละอะไรที่ไม่เคยกินเมื่ออยู่บ้านก็รีบๆสั่งมากินเสียให้หายอยาก ตื่นเช้าขึ้นมาไม่ต้องเล่นปาท่องโก๋กับกาแฟแล้ว เริ่มละเลียดจากน้ำส้มสดคั้น คอร์นเฟลค หรือ โอ๊ตมีล แล้วก็ไปไข่สองฟองกับเบคอน หรือแฮม ครัวซองหรือขนมปังนานาชนิดกับเนย แยม น้ำผึ้ง ตบท้ายด้วยกาแฟทั้งกาหรือจะกินผลไม้ด้วยก็ไม่มีใครว่า ส่วนมื้ออื่นถ้าไม่มีเลี้ยงเป็นทางการ หรือแขกไม่ชวนให้นั่งกินเป็นเพื่อน ก็สั่งมากินตามสบาย อะไรที่ชื่อมันแปลกๆ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ก็อย่าไปละเว้นมัน หากมาแล้วเกิดไม่ชอบก็สั่งอย่างอื่นมากินอีกก็ได้ ไม่ต้องไปทำติ๋ม กินแฮมเบอร์เกอร์หรือข้าวผัดอเมริกัน เพราะผู้ที่จะจ่ายเงิน ก็คือ พวกเราและตาสียายสายายมียายมา ที่ตั้งหน้าตั้งตาหาเงินมาเสียภาษีทั้งนั้นหละ
เจ้าหน้าที่โรงแรมบางแห่งเคยเล่าให้ฟังว่า พวกผู้ประสานงาน และพวกรักษาความปลอดภัยที่มาอยู่ในโรงแรมนี้ บางทีท่านก็ไม่กินคนเดียวหรอก บางมื้อท่านขนลูกเมียและเพื่อนฝูงมาเลี้ยงดูเสียเพียบ เหล้าฝรั่งพร้อม ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังขนเสื้อผ้าจากบ้านเอามาซักแห้งที่โรงแรมอีก
ทำไงได้ เขาทำบุญของเขามาเมื่อชาติก่อน
สำหรับผู้ที่จะต้องเตรียมการเลี้ยงใหญ่ให้แขกเมืองนั้น จำเป็นจะต้องมีความรอบรู้ตามสมควรในเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม ตลอดจนรสนิยมของแขกเมืองด้วย ไม่ใช่สักแต่ว่าสั่งอาหารให้มันครบคอร์ส หรืออมภูมิปล่อยให้เจ้าหน้าที่ห้องอาหารของโรงแรมแนะนำ ประเดี๋ยวเกิดไปสั่งพอร์คช็อปให้แขกเมืองที่เป็นมุสลิม มันจะเป็นข้อบาดหมางทางการเมืองขึ้นมา แขกบางคนก็เป็นพวกมังสาวิรัติ บางคนที่เป็นฮินดูก็ไม่กินเนื้อวัว บางคนไม่กินของทะเล บางคนแพ้อาหารบางอย่าง ถ้าศึกษาภูมิหลังเสียก่อนรวมทั้งรสนิยมในเรื่องเครื่องดืมด้วยว่าไวน์ยี่ห้อไหน ผลิตเมือปีไหนจึงจะดี อะไรต่างๆเหล่านี้หากจัดให้เหมาะสมจะทำให้แขกประทับใจ การเจรจาทางการงานหรือการซื้อขายอาจได้รับผลดี แต่ถ้ามันประทับใจจนอยากมาบ่อยๆ พวกคุณพวกผมก็เสียภาษีกันอาน ชาวนาก็ต้องทำนาให้หนักมือขึ้นอีก
ทีนี้สำหรับพวกเราๆ ธรรมดาล่ะครับ ที่ไม่มีหน้าที่รับแขกบ้านแขกเมือง ตามปกติจะได้เข้าไปในโรงแรมใหญ่ๆกับเขาก็เมื่อได้รับเชิญไปงานแต่งงาน ซึ่งส่วนมากก็เป็นงานรีเซฟชั่น จะเรียกว่าค็อกเทลปาร์ตี้ก้ไม่ถนัดนัก เพราะไม่ค่อยจะมีค็อกเทลดื่มหรอกครับ มีแต่เหล้าเบียร์ น้ำหวาน และกับแกล้ม นานนานจึงจะมีเจ้าภาพใจดีเลี้ยงดินเนอร์สักที
พวกที่หากินตามโรงแรมอย่าง "มีเกียรติ" สมัยนี้มีอยู่มากรายเหมือนกัน ยิ่งเขาไม่พิถิพิถันกันเรื่องการแต่งตัว คือ การเข้าโรงแรมชั้นหนึ่งไม่จำเป็นจะต้องแต่งสากลก็ได้ เพียงชุดพระราชทานก็นับว่าสุภาพพอแล้ว ยิ่งหวานคอแร้งสำหรับพวกนี้ ตกเย็นก้แต่งตัวให้สะอาดสะอ้านเรียบร้อย ไปเดินเตร่ตามโรงแรมหรูๆ มันต้องมีวันชาติของสถานฑูตต่างประเทศ งานแต่งงาน งานฉลองตำแหน่ง ฉลองสายสะพาย ให้กินฟรีได้ทุกวัน เจ้าภาพเขาไม่ค่อยสนใจหรอก ถ้าเป็นงานแต่งงานทางเจ้าสาวก็นึกว่าเป็นญาติหรือเพื่อนทางเจ้าบ่าว ทางเจ้าบ่าวก็นึกว่าเป็นญาติหรือเพื่อนทางเจ้าสาว นอกจากจะได้ดื่มกินฟรีแล้ว ยังแถมได้ของชำร่วยมาอีกชิ้น ถึงจะไม่มีราคาค่างวดอะไร เช่น พวงกุญแจ ถ้วยแก้ว หรือสมุดจดเบอร์โทรศัพท์ ก็ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ถ้าจะไม่ให้น่าเกลียดจนเกินไปก็หากล่องของขวัญติดมือไปสักกล่อง ห่อให้น่าดูหน่อย ถึงแม้จะไม่มีของอะไรในนั้น และไม่ต้องดันใส่นามบัตรไปด้วย เพราะเวลาคู่สมรสเขาเปิดกล่องของขวัญออกดูเขาก็ด่าลมๆแล้งๆไปยังงั้นเอง เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนให้อ้ายกล่องเวรนี้มา
จะย้อนมาพูดเรื่องกินใหม่ ยกเว้นพวกสนิมสังคมอย่างที่พูดเล่นๆมาแล้ว (แต่บางคนก็ยืนยันว่าคนพวกนี้มีจริงๆ ตื่นเช้าก็เข้าไปในโรงแรมใหญ่ๆ ไปขี้ไปเยี่ยว ล้างหน้าล้างตา ในห้องน้ำที่สะอาดเอี่ยม แล้วออกมานั่งที่ล็อบบี้ มีแอร์เย็นเฉียบ ทำเป็นคอยใครอยู่ ขอหนังสือพิมพ์มาอ่าน พออ่านจบทำเป็นดูนาฬิกาส่ายหน้าแล้วก็เดินออกไป ตอนเย็นก็ผ่านไปแถววัดธาตุทอง หรือ วัดมกุฎ วัดโสมนัส เอาหนังสือแจกงานศพเสียเล่มสองเล่ม ถ้าไม่อ่านเองก็จำหน่ายต่อไปตามแผงหนังสือท้องสนามหลวง พอค่ำก็เข้าไปหากินในโรงแรมอย่างว่า ) อ้าว ขอเวลานอกมากไปแล้ว
พวกเราๆ ธรรมดาที่มีหน้ามีตาในสังคมตามสมควร ย่อมจะหนีไม่พ้นที่จะต้องถูกเชิญไปกินเลี้ยงหรือบางทีก๋จะต้องเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเขาบ้าง อันว่า เมนูอาหารหรือเมนูเครื่องดื่ม ตามโรงแรมชั้นหนึ่งนั้น เขาไม่นิยมพิมพ์เป็นภาษาไทย และภาษาฝรั่งที่พิมพ์ไว้ก้ไม่ใช่ภาษาฝรั่งอย่างที่พวกเราเข้าใจกัน เขามักจะพิมพ์เป็นภาษาฝรั่งเศส (มีบางโรงแรมที่วงเล็บเป็นภาษาอังกฤษไว้ด้วยว่า อ้ายชื่อพิเศษพิสดารพิลึกกึกกือนั้นน่ะมันเป็นเนื้อของตัวอะไร) และสำหรับเรื่องอาหารการกิน เหล้ายาปลาปิ้งนี้ก็มักจะไม่ใช่ภาษาฝรั่งเศสธรรมดา มักจะมีศัพท์เฉพาะเป็นเท็คนิกัลเทอมของเขา การที่จะเรียกบ๋อยมาถามว่า อ้ายนั่นคืออะไร อ้ายนี่คืออะไรนั้น ถ้าไปกินกันเองภายในครอบครัวหรือมิตรสหายสนิทก้ไม่เป็นปัญหา แต่ถ้าไม่สนิทกันหรือมีคนแปลกหน้ารวมอยู่ด้วยก็ไม่บังควรทำ มันจะขายหน้าเขาเปล่าๆ ว่าอุตส่าห์เต๊ะจุ๊ยขึ้นมาจนถึงนี่แล้วก็ยังสั่งไม่ถูกว่าจะกินจะดื่มอะไร อ้ายครั้นจะเดาๆสั่งซี้ซั้วลงไป ถ้ามันออกมาเป็นอาหารที่ไม่เป็นรสชาติก็จะเสียสตางค์เปล่าๆ เครื่องดื่มก้เช่นเดียวกัน เขาเล่ากันว่ามีอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งไปกินข้าวที่นอร์มังดี พอบ๋อยเอาไวน์ลิสต์มาให้เลือกท่านขี้เกียจรำคาญหรือจะไม่มีความรู้เรื่องไวน์ ก็ไม่รู้ซีท่าน จึงสั่งว่าให้เอาไวน์อย่างดีที่สุดมาก็แล้วกัน พอตอนคิดราคารับมนตรีก็รัฐมนตรีเถอะ เหงื่อซึมไปเหมือนกัน เพราะแค่ไวน์สามขวดโดนเข้าไปสองหมื่นกว่าบาท ถ้าไม่พกเครดิตการ์ดไว้ช่วยแก้หน้าก็คงต้องถอดนาฬิกาคาเทียไว้เป็นประกันก่อน
นักปราชญ์ในทางบริโภคศาสตร์จึงได้ให้คำแนะนำไว้ สำหรับผู้ที่เข้าไปกินอาหารตามห้องอาหารหรูๆในโรงแรมชั้นหนึ่งว่า ไม่จำเป็นต้องไปพินิจพิจารณาอะไรมากในเมนูซึ่งอ่านไม่ออก ถึงอ่านออกก็ไม่รู้เรื่อง ท่านแนะนำให้ดูตรงคอลัมภ์สุดท้าย คือ ราคาของอาหารแต่ละจานหรือเหล้าแต่ละขวด
ถ้าเราเป็นเจ้าภาพจะเลี้ยงฝรั่งหรือเลี้ยงไทยก็แล้วแต่ ชำเลืองดูช่องสุดท้ายก่อนว่าอะไรมันราคาถูก แล้วก็สั่งไปเลยอย่ามัวลังเล ถ้าทำได้ก็แนะนำแขกของเราไปเลยว่า อ้ายอาหารอย่างนี้ (ออกชื่อเป็นภาษาฝรั่งเศสตามเมนูด้วย) ที่นี่เขาทำดีเคยกินมาแล้ว แขกส่วนมากก็มักจะเออออไปด้วย อย่ามัวรอให้เขาพินิจพิจารณาไข่ปลาคาร์เวียร์ หรือ ปลาซาล์มอนรมควัน หรือ เอสคาโกต์ เหล้าไวน์ก็เหมือนกันชำเลืองดูช่องสุดท้ายแล้วสั่งเลย ไม่ว่าจะเป็นบอร์โดส์หรือเบอร์กันดี หรือแชมเปญ ปีไหนมันก็เมาเหมือนกันแต่ราคามันไม่เท่ากัน จะมามัวกันมัวดื่มอย่างสมัยแชร์แม่ชะม้อยแม่นกแก้วยังไม่ล้มได้ยังไงกัน
ทีนี้ในทางตรงกันข้าม ถ้าพวกเราเป็นแขกและเจ้ามือเป็นคนตั๋งหน่อย เราก็ต้องชำเลืองดูคอลัมภ์สุดท้ายในเมนูเหมือนกัน คือ เลือกสั่งอ้ายที่มันราคาแพงที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาหารหรือเหล้า เพราะของราคาขนาดนั้น มันคงจะพอมีรสชาติสมราคาหรอก แล้วถ้าเราจะซื้อกินเองอีกกี่ปีกี่ชาติถึงจะกินอย่างนี้ได้ เมื่อกินแล้วก็จะจำไว้คุยไปได้อีกนานว่า อ๋อ อ้ายอย่างนี้น่ะเรอะอั๊วเคยกินเป็นประจำ มันก็งั้นๆ ไม่อร่อยเลอเลิศอะไรหรอก
แน่ละซี มันจะสู้ส้มตำไก่ย่างหรือก๋วยเตี๋ยวเรือโกฮับได้ยังไง
ที่มา ต่วย ตูน เดือนกรกฎาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๖ เล่มที่ ๑๑
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น