++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ราคาน้ำมัน : รัฐบาลจะสร้างความเป็นธรรมได้อย่างไร?

ราคาน้ำมัน : รัฐบาลจะสร้างความเป็นธรรมได้อย่างไร?
โดย ประสาท มีแต้ม (คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) 12
สิงหาคม 2552 19:37 น.
1. คำนำ

ขณะนี้หลายท่านคงจะรู้สึกกังวลร่วมกันว่า
ราคาน้ำมันกำลังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นจนอาจถึงหรือสูงกว่าเมื่อกลางปี
2551 (ดูกราฟประกอบ-ต่ำสุดเดือนธันวาคม 2551 ที่ 40
ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จนมาถึงเกือบ 80 ในเดือนสิงหาคมปีนี้)
ซึ่งจะนำความเดือดร้อนมาสู่เรามากน้อยแค่ไหนก็คงพอจะนึกกันออก

เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม ที่ผ่านมา วุฒิสภา
โดยคณะกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล ซึ่งมี
คุณรสนา โตสิตระกูล เป็นประธาน
ได้จัดให้มีการเสวนาและเสนอผลการศึกษาในประเด็นปัญหาพลังงาน
โดยได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมาธิการขึ้นมาศึกษา การศึกษาใช้เวลาประมาณ 1 ปี
มีประเด็นที่น่าสนใจ 3 อย่างที่เกี่ยวกับกิจการพลังงานในบ้านเรา
แต่เพื่อไม่ให้ประเด็นมันกว้างเกินไป คณะกรรมาธิการฯ ได้ยกประเด็น
ราคาน้ำมัน ขึ้นมานำเสนอต่อสาธารณชนก่อน

ผมเองได้รับเชิญไปร่วมให้ความเห็นและเสนอแนะ
ผมจึงขอนำเรื่องนี้บางส่วนมาเล่าต่อในที่นี้ครับ
ผมถือโอกาสหยิบเอาหัวข้อการเสวนามาเป็นชื่อบทความนี้เสียเลย
อย่างไรก็ตามผมคงเล่าได้ในบางประเด็นเท่านั้น ไม่ใช่ทั้งหมดของการเสวนา

2. ความเป็นธรรมของใคร ?

ในฐานะอาจารย์คณิตศาสตร์
ผมจึงเริ่มตั้งคำถามให้ผู้ฟังช่วยกันคิดว่าเมื่อมองความเป็นธรรมนั้นเราคิดถึง
"ความเป็นธรรมของใคร"
คงไม่ใช่หมายถึงระหว่างผู้บริโภคกับผู้ประกอบการเพียงคู่เดียวเท่านั้น

ในรายงานผลการศึกษาของคณะฯ ระบุว่า
ขณะนี้ประเทศไทยได้ส่งออกทั้งน้ำมันสำเร็จรูปและน้ำมันดิบรวมกันปีละเกือบ
3 แสนล้านบาท มากกว่ามูลค่าข้าวส่งออกที่เป็นสินค้าหลักด้านการเกษตรของประเทศเสียอีก
ในปี 2551 ร้อยละ 22
ของน้ำมันสำเร็จรูปจากโรงกลั่นในบ้านเราถูกส่งออกไปขายต่างประเทศ
ขณะเดียวกันร้อยละ 20 ของน้ำมันดิบที่ขุดได้ในบ้านเราก็ถูกส่งออกเช่นกัน

เมื่อเป็นดั่งนี้ ผมเริ่มเท้าความว่า
ตอนผมเป็นเด็กได้อ่านหนังสือเรียนพบว่า "ประเทศไทยส่งออกไม้สัก ไม้เต็ง
ฯลฯ เป็นอันดับหนึ่ง แต่แทบไม่มีป่าไม้ในประเทศให้คนรุ่นผมได้เห็นแล้ว"

ผมย้อนไปว่า "เมื่อ 30
ปีที่แล้วประเทศไทยส่งออกแร่ดีบุกได้มากเป็นอันดับสองของโลก
เราขายแร่แทนตาลัมที่มีราคาแพงมากและเป็นยุทธปัจจัยไปในราคาถูกราวกับเศษดิน
ทุกวันนี้เราไม่มีดีบุกเหลือให้ลูกหลานแล้ว"

มาวันนี้
เราพบแหล่งปิโตรเลียมซึ่งได้แก่น้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติทั้งบนบกและในทะเลคิดเป็นมูลค่าประมาณ
100 ล้านล้านบาท

หรือคิดเป็นมูลค่าเท่ากับงบประมาณแผ่นดินของประเทศไทยได้ถึง 50 ปี
นี่เป็นมรดกที่สะสมกันมานับล้านปี ใจคอเราคิดจะขุดให้หมดภายใน 10 - 20
ปีข้างหน้านี้หรือ
เราไม่คิดจะเก็บไว้ให้ลูกหลานของเราได้ใช้บ้างเลยเชียวหรือ

หรือถ้าอยากจะขุดให้หมดจริงๆ
เราก็น่าจะเก็บภาษีน้ำมันเพื่อมาสร้างระบบขนส่งมวลชน เช่น
รถไฟฟ้าไว้ให้คนรุ่นหลังได้ใช้บ้างจะดีไหม

ผมสรุปว่า "ถ้าขืนยังขุดและใช้น้ำมันกันอย่างฟุ่มเฟือยเช่นนี้
จะไม่เป็นธรรมกับคนรุ่นหลังอย่างแน่นอน"

นั่นเป็นมิติของความเป็นธรรมจากคนรุ่นหนึ่งไปสู่คนอีกรุ่นหนึ่งในประเทศเดียวกัน
ผมเรียกความเป็นธรรมนี้โดยรวมว่า ความมั่นคงด้านพลังงาน (energy
security) ซึ่งต้องมองกันยาวๆ ไม่ใช่แค่ความมั่นคงเป็นรายเดือน รายปี
หรือสิบปีเท่านั้น

นอกจากนี้ ผมได้กล่าวถึงความเป็นธรรมอีก 2 ประการ คือ
ความเป็นธรรมต่อสิ่งแวดล้อมซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ข้อสรุปตรงกันว่า
สาเหตุที่ทำให้เกิด "สภาวะโลกร้อน" นั้น ประมาณ 70 - 80%
มาจาการใช้พลังงานฟอสซิล (หรือซากพืชซากสัตว์) ของมนุษย์นั่นเอง
สภาวะโลกร้อนได้นำภัยพิบัติมาสู่คนรุ่นเรามากขนาดไหนเราพอจะประเมินกันได้
แต่ในอนาคตภัยพิบัติเหล่านี้จะรุนแรงอย่างที่คนธรรมดาๆ คาดไม่ถึง

ดังนั้น การจะสร้างความเป็นธรรมต่อสภาพแวดล้อมก็คือ
การลดใช้พลังงานฟอสซิล ซึ่งมีวิธีการลดได้ 3 ทางคือ หนึ่ง
หันไปใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น
ถ้าพูดถึงน้ำมันก็ต้องหันไปหาน้ำมันจากพืชให้มากขึ้น สอง
เก็บภาษีน้ำมันให้มากขึ้นเพื่อให้คนใช้น้อยลง
จะเรียกภาษีชนิดนี้ว่าภาษีสิ่งแวดล้อม
น้ำมันพืชไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อมก็ไม่ต้องเก็บภาษี
น้ำมันจากฟอสซิลก็เก็บภาษีให้มากหน่อย เพื่อให้น้ำมันพืช เช่น
ไบโอดีเซลสามารถแข่งขันได้ และ สาม ใช้พลังงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ความเป็นธรรมประการสุดท้าย คือความเป็นธรรมในการพัฒนาเศรษฐกิจ
ผมพูดถึงอย่างกว้างๆ ว่า
เราต้องสนใจการสร้างงานและกระจายรายได้ที่เป็นธรรมด้วย
ขณะเดียวกันพ่อค้าน้ำมันก็ต้องมีกลไกมาควบคุมไม่ให้ค้ากำไรเกินควร

ผมได้ยกตัวเลขให้เห็นว่า เมื่อ 40 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2513)
ประเทศไทยเรานำเข้าพลังงานเพียง 1% ของรายได้ประชาชาติเท่านั้น
แต่พอถึงปี 2536 เราใช้พลังงานคิดเป็นมูลค่าถึง 1 ใน 10
ของรายได้ประชาชาติ ล่าสุดในปี 2551 พบว่า "รายได้ทุก ๆ 100
บาทที่คนไทยหามาได้ ต้องจ่ายเป็นค่าพลังงานถึงเกือบ 20 บาท หรือประมาณ 1
ใน 5 ของรายได้ต้องจ่ายไปเป็นค่าพลังงาน"

ถ้าเราไม่คิดจะแก้ไขอะไรกันเลย ในอีก 15 ปีข้างหน้า
เราจะต้องจ่ายค่าพลังงานเป็นเท่าใด จะเป็น 2 ใน 5 ไหม?

ผมได้คุยกับนักธุรกิจระดับพันล้านบาทท่านหนึ่งโดยบังเอิญ ท่านว่า
"ธุรกิจใดที่มีค่าขนส่งเกิน 20% ธุรกิจนั้นต้องเจ๊งแน่ๆ "

ผมฟังแล้วรู้สึกเสียวกับ "ธุรกิจบริษัทประเทศไทย"

ถ้าเรากล่าวเฉพาะน้ำมันและไฟฟ้ารวมทั้งการจ้างงาน การกระจายรายได้
พบว่ามีสัญญาณอันตรายเพิ่มขึ้นอย่างน่ากลัว ดังตารางข้างล่างนี้

ผมได้เรียนต่อวงเสวนาที่มีคนฟังประมาณ 100 คนว่า
"ปัจจุบันคนในวัยทำงานมีประมาณ 34 ล้านคน แต่อยู่ในภาคไฟฟ้า น้ำมัน
และปั๊มน้ำมัน ประมาณ 3.4 แสนคน หรือประมาณ 1% ของแรงงานทั้งหมด
แต่คนเพียงร้อยละ 1 กลับมีส่วนเกี่ยวกับรายได้ถึงร้อยละ 15
ของรายได้ประชาชาติ"

ในเรื่องคนทำงาน 1% ที่มีรายได้ถึง 15 % ของรายได้ประชาชาตินี้
ผมได้รวมเด็กปั๊มประมาณ 2 แสนคนเข้าไปใน 1% นี้แล้ว
เด็กปั๊มเหล่านี้มีรายได้แค่เพียงเดือนละ 4-5 พันบาทเท่านั้น

ดังนั้น ถ้าคิดให้ละเอียดจริงๆ ยิ่งน่ากลัวกว่าที่ได้กล่าวมาแล้ว

นอกจากความเป็นธรรมใน 3 ประการหลัก คือ (1)
ความเป็นธรรมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ (2) ความมั่นคงด้านพลังงานและ (3)
ความเป็นธรรมต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ
ผมยังได้เสนอเรื่องความเป็นธรรมในการค้าขาย
ทั้งการกลั่นและค่าการตลาดด้วย

3. ความเป็นธรรมเรื่องค่าการกลั่น

ผมได้เรียนต่อวงเสวนาว่า ผมเองเป็นนักคณิตศาสตร์ ผมไม่ทราบหรอกว่า
ค่าการกลั่นของโรงกลั่น (ที่มีอยู่ 7 โรงในประเทศไทย แต่ 85%
ของกำลังการผลิตเป็นโรงกลั่นในเครือของบริษัท ปตท. จำกัด)
นั้นถูกหรือแพงเกินไปหรือไม่
แต่ผมใช้วิธีการเปรียบกับโรงกลั่นของประเทศอื่นๆ พบว่า
ค่าการกลั่นของโรงกลั่นในประเทศไทยสูงกว่าของกลุ่มประเทศยุโรป
และสิงคโปร์เยอะเลย

ในขณะที่ (ปี 2550) ของประเทศอื่นอยู่ที่ประมาณ 5.3
เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ประมาณ 1.17 บาทต่อลิตร)
แต่โรงกลั่นในประเทศไทยคิดกับคนไทยในราคาประมาณ 9.2
เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล (ประมาณ 2.03 บาทต่อลิตร แพงไปถึง 86
สตางค์ต่อลิตร)

ในแต่ละปี คนไทยบริโภคน้ำมันประมาณ 4 หมื่นล้านลิตร
ดังนั้นส่วนที่คนไทยต้องแบกภาระค่าการกลั่นเกินที่ควรจะเป็นไปถึง 3.4
หมื่นล้านบาท

ไม่น้อยเลยครับ
ถ้าเรานำมูลค่าส่วนเกินนี้ไปสร้างรถไฟฟ้าระบบขนส่งมวลชนไว้ให้คนรุ่นหลังใช้ก็ได้ตั้งเยอะต่อปี

อนึ่ง กระทรวงพลังงานของไทยเราเคยนำเสนอข้อมูลค่าการกลั่นเฉลี่ยมาตลอด
แต่นับจากปลายเดือนธันวาคม 2551 เป็นต้นมา กลับไม่มีข้อมูลนี้อีกเลย
โดยไม่ทราบเหตุผลใดๆ

การที่ผู้ประกอบการค้าไม่นำเสนอข้อมูลที่จำเป็นที่สะดวกต่อการทำความ
เข้าใจและมีความถูกต้องกับผู้บริโภค
คิดเป็นอื่นไม่ได้นอกจากไม่เป็นธรรมกับผู้บริโภคอย่างแน่นอน

คราวนี้ลองมาพิจารณาค่าการกลั่นของโรงกลั่นไทยกันบ้างครับ

เนื่องจากกระทรวงพลังงานไม่ยอมนำเสนอค่าการกลั่นเฉลี่ย
ผมจึงนำราคาหน้าโรงกลั่นของน้ำมันสองชนิด คือ ดีเซลหมุนเร็ว
(ที่คนใช้มากที่สุด) และน้ำมันแก๊สโซฮอล 95
มาเขียนกราฟพร้อมกับราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยของกลุ่มประเทศโอเปก
ตั้งแต่วันที่ 13 กรกฎาคม ถึง 5 สิงหาคม 2552
(ข้อมูลที่หายไปคือข้อมูลที่ไม่มีการนำเสนอ)

ผมทราบดีครับว่า การพิจารณาค่าการกลั่นต้องพิจารณากันตลอดทั้งปี
แต่ในที่นี้ผมต้องการชี้ให้เห็นถึงความผิดปกติเพียงบางช่วงเท่านั้น
(คือในกรอบสี่เหลี่ยมสีเขียว)

จากกราฟ โดยส่วนมากเราจะเห็นว่าราคาน้ำมันดิบกับราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่นจะ
ไปทำนองเดียวกัน แต่ในกรอบดังกล่าวทั้งๆ ที่ราคาน้ำมันดิบลดลงติดต่อกัน 2
วัน แต่ราคาน้ำมันสำเร็จรูปกลับเพิ่มขึ้นติดต่อกันสองวัน

คำถามก็คือ ทำไม? และจะเกิดขึ้นอีกไหม? ไม่มีใครทราบ

เราอาจจะถามต่อไปได้อีกว่า รัฐบาลมีกลไกใดมาควบคุมราคาให้เกิดความเป็นธรรม

คำตอบคือ "ไม่มีในทางปฏิบัติ"

แต่ในทางทฤษฎี รัฐบาลได้ตั้ง "คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน"
มาจำนวน 7 คน แต่ละคนกินเงินเดือนๆ ละ 2 ถึง 2.5 แสนบาท
พร้อมค่าใช้จ่ายอีกไม่เกิน 25% ของเงินเดือน

ในจำนวนกรรมการ 7 ท่านนี้ บางท่านเคยเป็นบอร์ดของ ปตท. มาก่อน
บางท่านเคยเป็นเลขานุการคณะทำงานแปรรูป ปตท.
และบางท่านก็มีลูกเป็นฝ่ายวางแผนให้บริษัท ปตท.

ข้าราชการระดับสูงหลายคนที่กินเงินเดือนจากภาษีประชาชนได้เป็นบอร์ด
ของบริษัทค้าน้ำมัน
แต่ผลประโยชน์ที่บริษัทค้าน้ำมันยื่นให้กลับสูงกว่าเงินเดือนหลายเท่าตัว

แล้วข้าราชการเหล่านี้จะรักษาผลประโยชน์ให้ใคร?

นี่คือความไม่เป็นธรรมที่คณะกรรมาธิการฯ วุฒิสภาตั้งคำถาม

ยังมีอีกหลายประเด็นที่ผมยังไม่ได้กล่าวถึง
แต่บทความชักจะยาวเกินไปแล้ว เอาไว้คราวต่อไปนะครับ


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091738

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น