++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

คำรักจากแม่มีได้หลายรูปแบบ/สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

โดย สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน 12 สิงหาคม 2552 09:47 น.
คอลัมน์ พ่อแม่ลูกปลูกรัก
สรวงมณฑ์ สิทธิสมาน

ตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
เรามักจะพบเห็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับแม่มากมาย ทั้งในรูปแบบกิจกรรมรณรงค์
เสวนา ประกวด และโปรโมชันขายของ ฯลฯ
ซึ่งได้กลายเป็นเรื่องปกติของสังคมไทยในเดือนแห่งรักแม่เดือนนี้ไปซะแล้ว

กิจกรรมบอกรักแม่เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งที่กระแสสังคมไทยจากทุกหน่วยงาน
และองค์กรที่มีแคมเปญต้องการกระตุ้นเตือนให้ผู้ที่เป็นทั้ง "แม่ของลูก"
และ "ลูกของแม่" ทุกคนได้ระลึกถึงแม่ ซึ่งก็เป็นเรื่องดี
เป็นการส่งเสริมให้แม่ลูกแสดงความรักต่อกัน

ทั้งที่จะว่าไปแล้วสังคมไทยเพิ่งมาตื่นตัวเรื่อง "บอกรักแม่"
ก็ในช่วงไม่กี่ปีนี้ และก็กลายเป็นค่านิยมของคนเป็นพ่อแม่รุ่นใหม่
ในการบอกรักจากปากแม่หรือปากลูกเป็นเรื่องง่ายไปซะแล้ว

ต่างจากในอดีตที่คู่แม่ลูกส่วนใหญ่เคอะเขินในการบอกรักหรือแสดงความรักต่อกัน

ในความเป็นจริงเรื่องคำรักจากแม่ มีหลากหลายรูปแบบ


ดิฉันสนใจเรื่องคำรักจากแม่ก็เนื่องเพราะได้ไปร่วมกิจกรรมวันแม่
ในชื่องานว่า "รักแม่...ไม่มีวันเลิกรา" จัดโดยโครงการสื่อสารสร้างสุข
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
ร่วมกับอีกหลายหน่วยงาน

ดิฉันเข้าร่วมเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาในหัวข้อ "คำรักจากแม่"
โดยมีวิทยากร 2 ท่าน คือ ดร.ปารีณา ศรีวณิชย์ และ คุณอภิชญา วรพันธ์

ดร.ปารีณา หรือ แม่เตย เป็นคุณแม่ลูก 2 คนโตอายุ 5 ปี และคนเล็ก 3
ปี ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
และเป็นกรรมการศูนย์นมแม่แห่งประเทศไทย

ประเด็นที่พูดคุยกันก็คือประเด็นเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่

เธอไม่ต่างจากคุณแม่ทำงานทั่วไป ที่ต้องทำงานหนัก
และทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มความสามารถ
เมื่อตั้งครรภ์เธอตั้งใจเต็มที่ที่จะเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ ในช่วงแรก
เธอประสบอุปสรรคไม่มีน้ำนม จนเกือบจะท้อใจเพราะไม่สามารถให้ได้

ใครที่เคยเจอะเจอปัญหาเรื่องการให้นมแม่ไม่ได้
คงจะเข้าใจได้ดีว่าต้องผ่านความอดทนและอุปสรรคต่างๆ
เพื่อให้ตัวเองมีน้ำนมให้ได้อย่างไรกันบ้าง
บางคนที่ไม่สามารถผ่านด่านไปได้ก็เลยต้องจำนนให้กับนมผง

แต่แม่เตยไม่ยอมแพ้ และเชื่อว่าถ้าลูกได้ดูดนมของเธอบ่อยมากเท่าไร
จะยิ่งมีโอกาสที่เธอจะมีน้ำนมมากเท่านั้น

และท้ายที่สุดเธอก็ประสบความสำเร็จ
สามารถให้นมแม่ได้จนลูกอายุขวบครึ่ง ทั้งสองคน

นั่นคือ ความภาคภูมิใจ
และเธอก็ไม่รอรีที่จะบอกคนที่เป็นเพื่อนคุณแม่
หรือคนที่เธอรู้จักให้มุ่งมั่นในการให้นมแม่
เพราะเธอได้เห็นประโยชน์ของการให้นมแม่มากมาย
และปัจจุบันลูกของเธอก็มีสุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งทางด้านร่างกายและ
จิตใจทั้งสองคน

ส่วนวิทยากรอีกท่านหนึ่งน่าทึ่งทีเดียว

คุณอภิชญา หรือ แม่แป๊ว มีลูกชายฝาแฝด 2 คน ชื่อ น้องธรรศ
และน้องธรณ์ เธอเลี้ยงลูกด้วยนมแม่เช่นกัน แต่เธอก็ต้องพึ่งนมผงด้วย
เพราะเธอมีลูกฝาแฝด

แม่แป๊ว เล่าว่า น้องธรรศ (แฝดพี่)
เป็นโรคมะเร็งที่ไตเมื่ออายุได้เพียง 3 ขวบ 10 เดือน
ปัจจุบันน้องธรรศและน้องธรณ์ อายุ 5 ปี 10 เดือน อยู่ชั้นเด็กเล็ก
ที่โรงเรียนประถมสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร

ครั้งแรกที่เธอรู้ว่าลูกชายเป็นมะเร็งระดับรุนแรง เธอยังงงๆ
กับชีวิตอยู่ เพราะลูกของเธอยังร่าเริงสมวัย
ไม่ได้มีอาการผิดปกติแต่อย่างใด อาการเริ่มเมื่อน้องธรรศ ท้องป่อง
และคุณหมอตรวจพบว่าเป็นเนื้อร้าย แต่พอตั้งสติได้
เธอก็ยอมรับและเข้าใจได้ว่า
เธอต้องเข้มแข็งเพื่อที่จะเลี้ยงดูลูกทั้งสองคนของเธอต่อไป

น้องธรรศ ต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลด้วยการฉายรังสี หรือ
คีโม เธอมีวิธีการในการพูดคุยกับลูกว่าที่ท้องของลูกป่อง ฉะนั้น
ต้องให้คุณหมอให้พลัง ซึ่งน้องธรรศเป็นเด็กที่ชอบตัวการ์ตูนฮีโร่อยู่แล้ว
จึงกลายเป็นเรื่องง่ายในการรับพลัง

ในช่วงเวลานั้น การตั้งสติและสงบนิ่งคือหนทางที่แม่แป๊วเลือก
เพราะเธอมีลูกสองคน เธอไม่ต้องการปฏิบัติต่อน้องธรรศเหมือนเด็กป่วย
เธอไม่เลือกวิธีดูแลน้องธรรศเป็นพิเศษ
เพราะเธอก็เป็นห่วงจิตใจของน้องธรณ์เช่นกัน

เธอ พยายามทำชีวิตให้ปกติที่สุด และยอมรับต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
ในช่วงเวลาเช่นนั้น มุมมองในด้านบวกเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะต้องสร้างกำลังใจให้ตัวเอง
และเมื่อตัวเองมีกำลังใจก็จะทำให้ลูกมีกำลังใจด้วย

"ไม่อยากให้ความรักทำให้เป็นทุกข์ เราจะคอยโอบอุ้มเขาอยู่ห่างๆ"

ทุกวันนี้ น้องธรรศ ไม่รู้ว่าเขาเป็นโรคร้าย
รู้แต่ว่ามีท้องป่องอยู่ในท้อง และต้องเอาออกไป

แม่แป๊ว เล่าว่า ช่วงที่ทำคีโมน้องธรรศไม่มีผม น้องเขาก็อาย
จะใส่หมวกเวลาออกไปข้างนอก แต่เราไม่อยากให้เขาใส่หมวก เวลาไปไหน
ไม่เคยหยิบหมวกให้เขา เพราะอยากให้เขาเรียนรู้ที่จะยอมรับมันให้ได้
และทำตัวให้เป็นปกติ จนทุกวันนี้ ก็ไม่มีปัญหาอะไร และน้องธรรศ
ก็ไม่ได้ใส่หมวกอีกแล้ว

ถึงตอนนี้ไม่มีใครตอบได้ว่าน้องธรรศจะหายหรือไม่ แต่สิ่งสำคัญคือ
ทำอย่างไรจะให้ลูกมีคุณภาพชีวิตที่ดี ใช้เวลาอย่างมีคุณค่าและมีความสุข
เรียนรู้ที่จะต่อสู้อย่างเข้มแข็ง อดทนยอมรับสภาพความจริงที่เป็นอยู่

บทสนทนาในวันนั้นจบลงตรงที่ว่าทั้งสองท่านได้รับแรงบันดาลใจดีๆ
และกำลังใจจาก "แม่" ของเธอมาก่อน จนถึงวันที่เธอเป็นแม่
เธอสัมผัสได้ว่าหัวใจรักของคนเป็นแม่ยิ่งใหญ่เหลือเกิน

เรื่องราวของแม่แป๊วและแม่เตยเป็นเพียงตัวอย่างรักของแม่ในมุมหนึ่ง
ของชีวิตที่ต้องมีสุขทุกข์ปะปนกันไป
อุปสรรคขวากหนามไม่ว่าจะมากมายขนาดไหน
หัวใจรักของคนเป็นแม่สามารถฝ่าฟันไปได้เพื่อลูกจริงๆ

คำรักจากแม่ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูด
เพราะยังมีเรื่องราวอีกมากมายหลากหลายวิธี ที่จะสื่อถึง "รัก"
ระหว่างแม่ลูก

รูปแบบไม่สำคัญเท่ากับหัวใจที่สัมผัสรักของแม่ลูกได้ค่ะ
http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000091363

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น