++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2552

แม่แห่งแผ่นดิน

โดย ว.ร.ฤทธาคนี 13 สิงหาคม 2552 14:48 น.
ช่วงเย็นวันที่ 11 สิงหาคม ที่ผ่านมา
เชื่อว่าคนไทยทุกคนคงได้ฟังพระราชดำรัสตอบพสกนิกรที่มาเฝ้าทูลละอองธุลีพระ
บาทถวายพระพรชัย ณ ศาลาดุสิดาลัย ในบริเวณพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
ซึ่งมีความแตกต่างจากที่ประทับของพระมหากษัตริย์ชาติอื่น
เพราะภายในพระตำหนักสวนจิตรลดารโหฐานนั้น
จะประกอบไปด้วยทุ่งหญ้าเลี้ยงโคนม มีบ่อเลี้ยงปลาเรียงรายกันหลายบ่อ
มีโรงสีข้าว มียุ้งข้าว มีบ่อเลี้ยงสาหร่ายและโรงวิจัยต่างๆ มากมาย
รวมทั้งเป็นที่ตั้งโรงเรียนสวนจิตรลดา ภายในตัวพระตำหนัก
ก็จะมีห้องรับรองอยู่ไม่กี่ห้องประดับประดาด้วยเครื่องกระเบื้องและภาพวาด
ตั้งแต่ครั้งเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
ไม่มีเครื่องเรือนหรือสิ่งตกแต่งหรูหราเลยแต่เรียบง่าย

ในวันนั้นเองก็มีราษฎรทั่วไปประมาณ 15,865 คน มาเข้าเฝ้าฯ
ถวายพระพรรายรอบศาลาดุสิดาลัย พร้อมกันกับคณะบุคคลต่างๆ
ประกอบด้วยองคมนตรี นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ข้าราชการทหาร ตำรวจ
และพลเรือน ซึ่งทั้งหมดนี้คงจะมีความรู้สึกร่วมกับคนทั้งประเทศที่ได้เห็นพระราช
อิริยาบถเรียบง่ายของพระองค์ท่าน
ทั้งยังได้ยินพระอารมณ์ขันขณะรับสั่งเรื่องราวต่างๆ ซึ่งทำให้รู้สึกว่า
โลกทั้งโลกช่างรื่นรมย์สวนกระแสความวุ่นวายทางการเมือง
และเศรษฐกิจที่รุมเร้าประเทศชาติอยู่ในขณะนี้

และคาดว่าทุกคนคงจะมีความรู้สึกผ่อนคลายที่ได้ยินพระองค์ท่านรับสั่ง
ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า "พระองค์ทรงมีพระพลานามัยที่แข็งแรง
ทรงออกพระวรกายเป็นปกติ" ซึ่งเชื่อว่าพสกนิกรผู้จงรักภักดีทุกคนคงจะดีใจ
และมีกำลังใจในการที่จะทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองตามรอยพระบาทของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงอุทิศพระราชหฤทัยและพระวรกายให้กับประเทศชาติ
และพสกนิกรของพระองค์มาเป็นเวลากว่า 60 แล้ว

ประชาชนคนไทยคงจะเห็นพระราชกรณียกิจของทั้งสองพระองค์ตลอด 60
ปีที่ผ่านมาที่เสด็จฯ ไปเยี่ยมเยียน และทรงแก้ไขปัญหาให้ราษฎร
รวมทั้งทรงสร้างสรรค์ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นให้กับราษฎรผู้ด้อยโอกาสในถิ่น
ทุรกันดาร มาจนเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา
ด้วยเพราะการเสด็จพระราชดำเนินไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน จึงมิได้เสด็จฯ
ไปเยี่ยมราษฎรที่อาศัยอยู่ไกลๆ แต่ยังทรงติดตามโครงการพระราชดำริต่างๆ
ซึ่งสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ก็ทรงทุ่มพระวรกายเสด็จฯ
ออกเยี่ยมราษฎรแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในห้วง 2-3 ปีที่ผ่านมา
ทั้งๆ ที่พระกำลังก็ถดถอยเช่นเดียวกัน

ในวันนั้น สมเด็จพระบรมราชินีนาถ ทรงให้กำลังใจคนไทยทั้งชาติ
และทรงสะท้อนให้เห็นถึงความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของชาวประมงชายฝั่งทะเล
ด้วยการที่ทรงพระราชดำริให้สร้างปะการังเทียมจนทรัพยากรประมงชายฝั่งได้รับ
การฟื้นฟู ทำให้ราษฎรที่อาศัยการประมงชายฝั่งมีรายได้กว่า 10,000
บาทต่อเดือน

แต่พระราชกรณียกิจภาระงานที่สำคัญยิ่งของพระองค์คือ
ศูนย์ฝึกศิลปาชีพที่พระองค์ทรงฟื้นฟูงานศิลปะของชาติไทยอย่างเป็นระบบ
และปรัชญาเริ่มแรกของพระองค์คือ ทรงปรารถนาให้ราษฎรที่ว่างเว้นจากงานสวน
ไร่ นาแล้วมีงานเสริมทำเพื่อสร้างรายได้
แต่พระองค์ทรงต้องการให้มีงานสำเร็จออกมาอย่างมีคุณภาพ
และดำรงไว้ซึ่งมรดกทางปัญญาของคนไทย แต่พระราชกิจที่สำคัญของพระองค์คือ
การลดภาระครอบครัวคนจนที่มีครอบครัวใหญ่ในชนบทที่มีพรสวรรค์ได้ส่งบุตรหลาน
ที่มีพรสวรรค์ ความสามารถเข้ามาฝึกศิลปาชีพ การฝีมือต่างๆ
การทำโลหะอะไรต่อมิอะไรต่างๆ
ซึ่งขณะนี้งานศิลปาชีพมีการแสดงนิทรรศการอยู่ที่พระที่นั่งอนันตสมาคม
ซึ่งใครได้เห็นก็จะรู้ว่า งานฝีมือเหล่านี้วิเศษยิ่งอย่างไร
จึงเป็นการประเสริฐแล้วที่ชาวต่างชาติที่ได้เห็นแล้วชมว่า
เป็นฝีมือระดับโลก

การสร้างงานศิลปะ งานฝีมือ
และการเพิ่มคุณค่าศิลปหัตถกรรมทั้งหลายเป็นการสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจอย่าง
แน่นอน เพราะงานศิลปะเป็นงานที่สร้างรายได้อย่างงดงามเหมือนอย่างชาวตะวันตกมักจะ
พูดว่า "Creative Handcraft is Expensive"
งานฝีมือสร้างสรรค์เป็นสิ่งมีราคา

นอกจากงานฝีมือแล้วศิลปะการแสดงทั้งแบบสากลและของไทยนั้น
พระองค์ทรงให้การสนับสนุนเสมอมาและทรงมีความห่วงใยว่าจะสูญหายไป เช่น
กรณีเรื่องโขนซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี
ทรงห่วงใยว่าจะหมดความนิยม
และได้รับพระราชทานเพื่อใช้ในการสร้างโขนชุดใหม่
เพราะเสื้อผ้าตัวโขนนั้นราคาแพง และทรงเกรงว่าจะหมด "ครูโขน" อีกด้วย
และโขนนั้นเป็นการแสดงระดับสูงของกลุ่มประเทศเอเชียใต้และอาเซียนที่แสดงถึง
อารยธรรมขั้นสูง

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระบรมราชินีนาถ
มีมากมายและยังทรงเป็นพระมารดาแห่งชาติ
ที่ทรงห่วงใยในรายละเอียดของแต่ละครอบครัวที่พระองค์ทรงพบเห็น
ทรงแน่วแน่ในการรับคนไข้อนาถาที่หมดโอกาสนับร้อยนับพันมาไว้ในพระบรมราชินูป
ถัมภ์

อะไรเป็นพื้นฐานแห่งความสุขสมบูรณ์ของคนไทยที่มีสถาบันพระมหา
กษัตริย์ที่เป็นเลิศกว่าชาติอื่นๆ
และชาติไทยเป็นชาติหนึ่งที่ไม่ปรากฏว่าราษฎรลุกฮือต่อต้านสถาบันพระมหา
กษัตริย์ เพราะว่า "ทรงปกครองราษฎรอย่างไร้คุณธรรม"

คนไทยควรจะศึกษาเรื่องพระธรรมศาสตร์ซึ่งเป็นแม่บทหนึ่งแห่งกฎหมายไทย
อันสืบเนื่องมาจากอินเดีย และมอญตกทอดมาตั้งแต่ก่อนกรุงสุโขทัย
และในพระธรรมศาสตร์นั้นก็มีสาขากฎหมายย่อยเรียกว่า
ราชศาสตร์ที่พระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นใช้ในรูปพระราชกำหนด บทพระอัยการ
และพระราชบัญญัติมาแต่อดีตกาล
อันมีคัมภีร์พระธรรมศาสตร์กำหนดกรอบความยุติธรรม และคุณธรรมไว้
แต่คำนึงถึงความเหมาะสมของเหตุการณ์บ้านเมืองในขณะนั้น
ทั้งนี้โดยอาศัยและคำนึงถึงความเหมาะสมกับเหตุการณ์
และวัฒนธรรมประเพณีในสมัยนั้น พระราชศาสตร์จึงเป็นกฎหมายเฉพาะกาล

ในคัมภีร์พระธรรมศาสตร์จะกำหนดถึงหลักปฏิบัติในการใช้พระราชอำนาจ
เช่น ในสมัยอยุธยาพระมหากษัตริย์มีการออกกฎมณเฑียรบาล
ป้องกันมิให้พระองค์ทรงใช้อำนาจในทางที่ผิดเป็นพระราชศาสตร์เช่นที่ว่า
"พระ เจ้าอยู่หัวดำรัสด้วยกิจการคดีถ้อยประการใดๆ
ต้องกฎหมายประเพณีเป็นยุติธรรมแล้วให้กระทำตาม
ถ้ามิชอบจงอาจเพ็ดทูลทัดทานครั้งหนึ่ง สองครั้ง สามครั้ง
ถ้ามิฟังให้รอไว้อย่าเพิ่งสั่งไป ให้ทูลในที่รโหฐาน
ถ้ามิฟังจึงให้กระทำตาม ถ้าผู้ใดมิได้กระทำตามพระอัยการดั่งนี้ ท่านว่า
ผู้นั้นละเมิดพระราชอาญา หรืออนึ่งทรงพิโรธโกรธแก่ผู้ใด
และตรัสเรียกพระแสงอย่าให้พนักงานยื่น ถ้ายื่นโทษถึงตาย"

จึงเป็นหลักฐานว่า "เจ้าชีวิต เจ้าแผ่นดิน"
ของคนไทยมาแต่อดีตกาลได้ใช้พระราชอำนาจด้วยความระมัดระวัง
ด้วยความเที่ยงธรรม มิได้ลุแก่พระราชอำนาจ กดขี่ รังแก
ข่มเหงราษฎรแต่อย่างใด
ทั้งพระมหากษัตริย์ไทยในสมัยโบราณยังต้องปฏิบัติตนให้อยู่ในราชธรรม 38
ประการ เช่น ต้องดูแลรักษาประชาชนดุจครูรักศิษย์ หรือมารดารักษาลูกของตน
เป็นต้น ถึงแม้จะเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์
แต่ก็มิได้ใช้พระแสงราชศาสตราปกครองเข่นฆ่า ข่มเหง
รังแกประชาราษฎรกลับใช้ธรรมะ คือ ทศพิธราชธรรม 10 ประการ ราชสังคหวัตถุ 4
ประการ และจักรพรรดิวัตร 10 ประการ
เป็นเครื่องมือและทรงใช้ปัญญาปกครองบ้านเมือง

จึง นับว่าคนไทยทั้งปวงโชคดีกว่าชนชาติใดๆ เพราะพระมหากษัตริย์
และพระราชินีไทยมีหลักการที่ชัดเจน เข้มข้น
และเป็นรูปธรรมในการปกครองพสกนิกรของพระองค์เยี่ยงบิดา มารดา
สมควรแล้วที่คนไทยยกย่องในหลวง และพระราชินีเป็นทั้งพ่อและแม่แห่งแผ่นดิน
ขอทรงพระเจริญ

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000092015

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น