++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สามจังหวัดชายแดนใต้…สบายดีรึ?

เหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่คุกรุ่นขึ้นมาใหม่ในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 7 มกราคม 2547 นับถึงวันนี้เป็นเวลา 6 ปีเศษแล้ว แต่ดูเหมือนว่าความรุนแรงยังไม่ลดลงเลย

ไม่เพียงแต่ไม่ลดลงเท่านั้น ระดับของความรุนแรงกลับมากขึ้นด้วย เพราะก่อนหน้านี้อย่างมากก็ใช้อาวุธชาวบ้านธรรมดาหรือใช้ระเบิดแสวงเครื่องเล็กๆ แม้กระทั่งใช้มีด ใช้ขวาน ทำร้ายราษฎรและเจ้าหน้าที่

แต่วันนี้ความร้ายแรงของอาวุธที่ใช้ต่อกันมีความรุนแรงมากขึ้น และความสูญเสียก็ยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีคำพูดอยู่เสมอๆ ว่ามาถูกทางแล้ว และเหตุการณ์ก็ดีขึ้นแล้ว

รวมความก็คือ เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังไม่สิ้นสุดยุติ ยังคงดำเนินต่อไป และยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลง กระทั่งยังไม่รู้ว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นการต่อสู้กับใคร

อย่าได้คำนึงถึงหลักการแห่งพิชัยสงครามที่ว่า อันการรบนั้น หากรู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง แต่ถ้าไม่รู้เขา รู้แต่เรา แพ้ชนะก็ก้ำกึ่ง ยิ่งไม่รู้ทั้งเขาและไม่รู้ทั้งเรา รบร้อยครั้งก็ต้องแพ้ทั้งร้อยครั้ง

เพราะถ้าคำนึงบนหลักการแห่งพิชัยสงครามแล้ว ก็อาจจะตอบไม่ได้ด้วยว่าในวันนี้เรารู้เราจริงหรือไม่ และรู้แค่ไหน เพียงใด ยังไม่ต้องพูดถึงการรู้เขา เพราะ 6 ปีเศษแล้วก็ยังบอกกันไม่ได้ว่ารบกับใคร

ดังนั้นสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงอยู่ในภาวะที่ไม่น่าไว้วางใจ เพราะภาวะที่ไม่รู้หรือที่เรียกว่าตัว Unknown นั้น เป็นอันตรายร้ายแรงยิ่งกว่าอันตรายใหญ่ที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ามากมายหลายเท่านัก

เพราะเหตุที่ไม่รู้เขา และอาจจะไม่รู้เราหรือรู้เราไม่กระจ่างนั่นเอง จึงทำให้สถานการณ์ยังคงดำเนินต่อมา โดยที่ยังไม่สามารถกำหนดได้อย่างแน่ชัดว่ายุทธศาสตร์ในการนำความสงบกลับคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นอย่างไร

เพราะที่ได้ยินเรื่องยุทธศาสตร์ที่พูดถึงกันอยู่บ้าง เนื้อแท้ก็หาใช่ฐานะที่เป็นยุทธศาสตร์ที่แท้จริงไม่ หากเป็นการเรียกกันโก้ๆ หรูๆ เท่านั้น

แต่กระนั้นถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าฝีไม้ลายมือของแม่ทัพภาคที่ 4 คนปัจจุบันนี้เป็นที่เชื่อถือได้ และอย่างน้อยที่สุดก็สามารถหยุดยั้งเหตุการณ์ไม่ให้ลุกลามบานปลายขยายตัวไปมากกว่านี้ และบางพื้นที่ก็สามารถกระชับพื้นที่ได้มากขึ้น

เพราะเหตุนี้จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องทบทวนถึงปัญหายุทธศาสตร์และปฏิบัติการทั้งปวง เพื่อนำความสงบสุขกลับคืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยต้องถือว่านี่คือวาระสำคัญวาระหนึ่งในการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย

เพราะถ้าหากไม่จัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย ไม่สามารถนำความสงบสุขกลับคืนพื้นที่นั้นได้ ความเป็นเอกภาพแห่งราชอาณาจักรและความมั่นคงปลอดภัยภายในราชอาณาจักรก็ไม่อาจเกิดขึ้นหรือไม่อาจดำรงอยู่อย่างสมบูรณ์ได้

คณะกรรมการปฏิรูปของรัฐบาลจะคำนึงถึงเรื่องนี้หรือไม่ วันนี้ยังไม่ปรากฏร่องรอยหรือวี่แววให้เห็นเลย แต่สำหรับภาคประชาชนนั้น ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้และเล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะต้องกำหนดขึ้นเป็นวาระหนึ่งในการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย

นั่นคือการปฏิรูปหรือการจัดวางยุทธศาสตร์ใหม่ในการนำความสงบสุขกลับคืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้เพื่อเอกภาพและความมั่นคงปลอดภัยของราชอาณาจักร ตลอดจนอาณาประชาราษฎรทุกหมู่เหล่า

ทำไมจังหวัดชายแดนภาคใต้จึงเป็นปัญหา? ทั้งที่บางห้วงบางเวลาพื้นที่นี้มีความสงบสุข มีความรุ่งเรืองไพบูลย์ และเป็นฐานสำคัญในการเป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยวระหว่างราชอาณาจักรนี้กับโลกอิสลาม

นั่นเพราะคิดเห็นแต่ปัญหา มองพื้นที่นั้นเป็นปัญหา เห็นประชากรในพื้นที่นั้นเป็นปัญหา และปฏิบัติต่อในฐานะที่เป็นปัญหา ยิ่งปฏิบัติผิดๆ และใช้คนผิดๆ มากเท่าใด นอกจากปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไขแล้ว ยังจะขยายตัวลุกลามบานปลายดังที่เห็นๆ กันอยู่

ดังนั้นเมื่อจะปฏิรูปในเรื่องนี้ ก็ต้องตั้งหลักกันที่ความคิดให้เป็นสัมมาทิฏฐิเสียก่อน ถอยออกมาจากขั้วแห่งปัญหา ก้าวไปสู่ขั้วแห่งโอกาส เมื่อนั้นโอกาสตลอดจนความสำเร็จก็จะบังเกิดขึ้น นี่คือหลักคิดที่จะนำไปสู่การกำหนดยุทธศาสตร์ในการนำความสงบกลับคืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

จะต้องคิดใหม่ว่าเป็นโชคดีและโอกาสอันยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรไทยที่เรามีประชากรที่นับถือศาสนาอิสลามร่วม 3 ล้านคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

จะต้องคิดใหม่ว่าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ธาตุแท้ไม่ใช่พื้นที่ปัญหา และธาตุแท้ก็คือเป็นประตูทองคำที่จะเปิดโอกาสอันกว้างใหญ่ให้กับราชอาณาจักรไทยกับประชาชาติมุสลิมทั่วโลกร่วม 1,500 ล้านคน

จะต้องคิดใหม่ว่าเมื่อใดก็ตามที่ประตูทองคำแห่งราชอาณาจักรไทยนี้เปิดกว้างและเอื้อมมือแห่งสันติภาพ การสร้างสรรค์และความร่วมมือกันด้วยน้ำใสใจจริงทั้งในด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว ระหว่างประเทศไทยกับประเทศอิสลามทั่วโลกแล้ว เมื่อนั้นความรุ่งเรืองไพบูลย์และภาวะสันติก็จะบังเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยและคนไทยทั้งผอง

จะต้องคิดใหม่ว่าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นเป็นแหล่งอารยธรรมที่รุ่งโรจน์แหล่งหนึ่งของราชอาณาจักรนี้มาตั้งแต่โบราณกาล มีชื่อเสียงและเกียรติภูมิอันเป็นที่ยอมรับของประชาคมมุสลิมมาช้านานแล้ว รอวันเวลาฟื้นฟูขึ้นมาใหม่เมื่อใด ความร่วมมือสมานฉันท์และความรุ่งเรืองไพบูลย์ก็จะฟื้นคืนมา

จะต้องคิดใหม่ว่าพื้นที่นั้นอุดมสมบูรณ์มั่งคั่งมาตั้งแต่โบราณกาล ไม่ใช่พื้นที่ที่มีแต่ความขาดแคลน ล้าหลังและยากจน รอแต่วันเวลาที่จะพลิกฟื้นให้เป็นด้ามขวานทองประดับเพชรในยุคสมัยนี้ เพื่อความไพบูลย์ร่วมกันและเพื่อสันตินิรันดรของประชาชาติไทยทุกหมู่เหล่า

จะต้องถอดความคิดตะวันตกล้วนๆ ออกไปแล้วคิดใหม่ว่าศาสนาอิสลามไม่ใช่ปัญหาของประเทศไทย แต่เป็นความจำเป็นและเป็นความยิ่งใหญ่ของราชอาณาจักรนี้ที่มีศาสนาอันสูงส่ง และเป็นสากลสถิตอยู่

จะต้องมองข้ามความคิดคับแคบที่อาศัยศาสนาเป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้ง ดังที่ท่านอยาตุลเลาะห์เชอรากี้ หนึ่งในคณะผู้นำศาสนาสูงสุดของสาธารณรัฐอิสลามแห่งอิหร่านเคยกล่าวปาฐกถาไว้ที่ประเทศไทย เนื่องในโอกาสครบวันอาสัญกรรมของท่านอิหม่ามโคไมนี่

ท่านอยาตุลเลาะห์เชอรากี้ได้แสดงความยิ่งใหญ่และเป็นสากลของศาสนาอิสลามในราชอาณาจักรนี้ว่า ศาสนาอิสลามมีความยิ่งใหญ่ สูงส่งและเป็นสากล ไม่สมควรที่ชนผู้ใจคับแคบจะใช้ความคับแคบของจิตใจตนไปทำให้ความยิ่งใหญ่ สูงส่งและเป็นสากลของศาสนาอิสลามต่ำต้อยไปตามความคิดของตน

จะต้องคิดใหม่ว่าพี่น้องไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้คือกำลังรบทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม ที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ ที่มีความรู้ความสามารถสูง ชนิดที่คนทั่วไปไม่เคยรู้และไม่เคยเข้าใจมาก่อน และนี่คือพลังอำนาจแห่งชาติที่เกรียงไกรอีกขุมหนึ่ง

จะต้องทำความรู้ความเข้าใจกันเป็นครั้งใหญ่ถึงหลักการแห่งศาสนา วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น ประวัติศาสตร์ และอารยธรรมอันรุ่งโรจน์ที่มีมาในพื้นที่นั้น เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องดีงามระหว่างชนในชาติทุกหมู่เหล่า

เมื่อตั้งต้นความคิดอย่างนี้ ก็จะเป็นรากฐานอันสำคัญของการกำหนดและดำเนินยุทธศาสตร์นำความสงบสุขกลับคืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ดังนั้นหลักยุทธศาสตร์ดังกล่าวนี้จึงพึงกำหนดว่า “พื้นที่จังหวัดชานแดนภาคใต้คือประตูทองคำแห่งโอกาสอันยิ่งใหญ่ที่จะเปิดกว้างและเอื้อมมือแห่งสันติสร้างสรรค์และอำนวยประโยชน์ร่วมกันระหว่างราชอาณาจักรไทยกับประเทศอิสลามทั้งปวงในโลก และเพื่ออำนวยประโยชน์ร่วมกันระหว่างประชาชาติไทยทุกหมู่เหล่ากับประชาชาติมุสลิมร่วม 1,500 ล้านคนทั่วโลก”

บนพื้นฐานแห่งยุทธศาสตร์นี้ อาจกำหนดเข็มมุ่ง 3x3 นั่นคือ

หนึ่ง ประสานงานสร้างความเข้าใจและความร่วมมือด้วยน้ำใสใจจริงระหว่างประเทศไทยกับองค์กรมุสลิมโลก 3 องค์กร คือสภาผู้นำศาสนาอิสลามโลก สันนิบาตประเทศอิสลามโลกและสันนิบาตมุสลิมโลก

สอง ประสานงานสร้างความเข้าใจและความร่วมมือด้วยน้ำใสใจจริงระหว่างประเทศไทยกับ 3 ประเทศอิสลามเพื่อนบ้าน คือมาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน

สาม ประสานงานสร้างความเข้าใจกับองค์กรมุสลิมในประเทศ 3 องค์กร คือ จุฬาราชมนตรี คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และคณะผู้นำศาสนาอิสลามในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

ด้วยความร่วมมือ 3x3 นี้ก็จะสามารถกำหนดมาตรการทั้งหลายทั้งปวงที่จะนำไปสู่การนำความสงบสุขกลับคืนพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ และเพื่อการนี้อาจจำเป็นต้องมี “สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมจังหวัดชายแดนภาคใต้” ขึ้นเป็นกรณีพิเศษ เพื่อเป็นองค์กรในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ที่ว่านี้

มาตรการหลักที่สำคัญที่สุดก็คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานไว้ นั่นคือเข้าถึง เข้าใจ และพัฒนา

ด้วยมาตรการนี้จะต้องใช้อาวุธหลักคือการพัฒนาสร้างสรรค์เพื่อความรุ่งเรืองไพบูลย์แห่งพื้นที่นั้นและประชากรในพื้นที่นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้การใช้กำลังอาวุธและความรุนแรงไม่ว่าจากฝ่ายไหนก็จะกลับกลายเป็นพวงมาลัยคล้องคอคล้องแขนให้แก่กัน

ขอสันติและความรุ่งเรืองไพบูลย์จงบังเกิดขึ้นเพื่อความมั่นคงสถาพรและความไพบูลย์แห่งราชอาณาจักรนี้ ตลอดจนประชาชาติทุกหมู่เหล่าในดินแดนแห่งนี้.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น