++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ดอนหอยหลอด จอดไม่เห็นหอย (๒ - ตอนจบ)

กุลฉัตร


            พอเรือเคลื่อนลำได้ นายท้ายเรือยอดเยี่ยมของเราเกือบจะลืมวีรบุรุษ ๒ ท่านของเราที่ยังลอยคออยู่ในทะเล ก็เร่งเครื่องทีเดียว พวกเราต้องช่วยกันตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องยนต์ให้หยุดรับสมาชิกในทะเลให้ครบคนก่อน พร้อมกับพรรคพวกที่นั่งยืนอยู่หัวเรือก็พากัน ส่งมือช่วยกันฉุดลากวีรบุรุษขึ้นมาหอบหายใจยาวๆอยู่ตรงหัวเรือ สักครู่จึงลุกขึ้นผลัดผ้าได้ พอหายเหนื่อยก็คุยจ้อทีเดียวว่า "ขากลับผู้ใหญ่บ้านจะผัดเผ็ดปลาดุกให้กินเป็นการปลอบใจ" เอาอีกแล้ว ไหนล่ะผู้ใหญ่บ้าน คงไม่ใช่บุคคลในชมรมของเราแน่ๆ เอาเถอะขึ้นบ้านแล้วก็รู้เองว่าคนไหน

            เรือแล่นช้าๆชิดฝั่งขวามือเช่นเคยมาได้สักครู่ ก็จอดที่ท่าน้ำหน้าบ้านหลังหนึ่ง บริเวณกว้างขวางดูฐานะไม่เลว พวกที่ไม่รู้ความต่าง เดาว่าเป็นบ้านผู้ใหญ่บ้าน จึงตั้งตาดูตัวผู้ใหญ่บ้านกันตาไม่กะพริบ แต่เนื่องจากน้ำลงต่ำ กว่าจะระบายพลขึ้นบกครบถ้วนก็เหนื่อย พอเหยียบพื้นดินก็ตัวใครตัวมัน วัฒนธรรมอันดีงามไม่คำนึงกันแล้ว สอบหาห้องเล็กๆกันทุกคน บอกแล้วไม่เชื่อว่าออกทะเลกว้าง ไม่มีใครเห็นหรอก หลับตาเสียก็แล้วกัน  พอตั้งตัวติดก็พากันหาทำเลปักหลักตั้งวงกันบนบกรอบสอง ได้ระเบียงหน้าบ้านยื่นลงไปในน้ำ โอ๊ย อย่าบอกใครเทียว ถ้าอยู่ใกล้บ้านเราคงจะของีบพักนัยน์ตาสักตื่น ค่อยลุกขึ้นบริโภคต่อ มันเย็นชื่นใจกว่าในห้องแอร์เป็นก่ายกอง ลมทะเลยะเยือกเย็น

            ช่วยตัวเองบ้าง บริกรประจำบ้านบ้างต่างลำเลียงเครื่องดื่มตามสั่งมาวางเรียงให้ดื่มกันอย่าให้ปากว่างได้ ประเดี๋ยวเดียวก็มีบริกรชายคนหนึ่ง ในสามคนชาวพื้นบ้านแม่กลอง ซึ่งข้าพเจ้าชมโฉมในตอนต้นว่า "ร่างเป็นแมน สูงสง่า ดำสนิท" และเป็นคนชี้แนะให้เรือแวะซื้อน้ำปลาเพราะเจ้าของเป็นญาติกัน ก็ยกผัดเผ็ดปลาดุกมาให้ ๑ จาน สมาชิกรุ่นลูกก็แซวว่า "แม้ผู้ใหญ่ลงแรงยกมาเอง คงอร่อยแน่" พอข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นจากแก้วน้ำเปลี่ยนนิสัยขวดเดิมซึ่งเหลืออยูไม่ถึงครึ่งกลม ก็ถึงบางอ้อ นั่นแน่ยอดชายนายคนนี้เอง "ผู้ใหญ่บ้าน" พระภูมิเจ้าที่ของตำบลนี้ ติดเรือมาจะกลับบ้านและช่วยอำนวยความสะดวก อาหารจานต่อๆไปก็ลำเลียงมาไม่ขาดระยะ พวกเราต่างก็ฉลองศรัทธากันโดยไม่มีใครเรียกหาแม่โพสพกันเลย เพราะเวลาล่วงเลยมาจนถึง ๑๕.๐๐ น.แล้ว นึกว่ากินอาหารว่างตอนบ่ายก้แล้วกัน เป็นที่น่าสังเกตว่า ทุกๆจานมีแต่ผัดเผ็ดทั้งนั้น ไม่มีทอดหรือยำเลย เริ่มแต่ปลาดุกทะเล ปลาหมึก หอยหลอด เจ้าตัวร้าย ไม่ได้เห็นแม้แต่รูและตัวเป้นๆ ดังที่ตั้งใจมา เอาละกินผัดเผ็ดแก้แค้นให้หมดจาน ตามด้วยหอยแมลงภู่ บางจานก็สั่งรอบสอง  ในระหว่างบริโภคก็แย่งกันพูดตามธรรมชาติของผู้เสพเครื่องดองของเมาปฏิบัติกัน สอบถามถึงพันท้ายของเรา จึงได้ความว่า เป็นคนทำงานอยู่ที่อู่ซ่อมรถยนต์ของเจ้าของเรือ คงเป็นเครื่องยนต์อยู่บ้าง นายท้ายตัวจริงไม่อยู่ จึงขอให้มาขับเรือแทน พ้นเคราะห์ไปที ดีว่าไม่ออกทะเลลึกหรือเข้าคลองที่มีจราจรคับคั่ง ได้ทราบว่า ส่วนมากนักทัศนาจรไปกันเองโดยไม่มีผู้นำท้องถิ่นที่รู้สภาพน้ำขึ้น น้ำลงอย่างแท้จริง ตลอดจนถึงร่องน้ำและเรือท้องแบนกินน้ำตื้นคอยถ่ายคนจากเรือใหญ่เข้าไปยังหาดทรายแล้วมักจะประสบอุปสรรคเช่นเดียวกับพวกเรา  ไม่ได้เห็นตัวหรือรูหอยหลอดกันเลย ดังที่ข้าพเจ้าได้ตั้งหัวเรื่องไว้ หรือท่านผู้ใดจะมีชื่อที่เหมาะสมกว่านี้ก็ตั้งเอาเอง ไม่ขัดข้องประการใด พอกลับมาขึ้นเรือที่วัดเดิม ต่างก็แยกย้ายกลับ กทม. ข้าพเจ้าและน้องชายถึงบ้านเอาประมาณ ๑๙.๓๐ น. ด้วยความทรงจำมิรู้เลือนและอาฆาตไว้ว่า

        "ดอนหอยหลอดจอดไม่เห็นหอย"


ที่มา ต่วยตูน ฉบับเดือนตุลาคม ๒๕๓๐ ปีที่ ๑๗ เล่มที่ ๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น