++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

'It Is Never Too Late To Love' จุ๋ย จุ๋ยส์ นักหยิบเล็กผสมน้อยสารพันดนตรี/พอล เฮง

วงการเพลงอินดี้ในเมืองไทยก็ยังทรงๆ อยู่
ไม่มีอะไรที่น่าแปลกใหม่และแปลกใจเท่าไหร่นัก
แม้จะมีความเคลื่อนไหวในระดับคนฟังเฉพาะกลุ่ม
สร้างฐานกำลังประชาสังคมเฉพาะที่เฉพาะทางด้วยความหลากหลายก็ตาม

แต่อย่างที่ว่า
ดนตรีและบทเพลงของนักร้องหรือวงดนตรีในแบบอินดี้ที่ออกงานมาด้วยทุนทรัพย์
ของตัวเอง หรือออกกับค่ายเพลงเล็กๆ
หรือออกมากับค่ายเพลงในแบบอินดี้ในสังกัดค่ายใหญ่อีกที
ส่วนมากมักโด่งดังและฮิตผ่านทางการบอกต่อปากต่อปากกันเสียมากกว่า
ซึ่งเป็นเสน่ห์ของเพลงอินดี้ที่ดี
ในการแสดงถึงการไม่ต้องตกเป็นทาสการตลาดในวงการเพลง

จุ๋ย จุ๋ยส์ (Jui Juis) นักร้อง / นักแต่งเพลง / นักดนตรี
ซึ่งมีชื่อจริงว่า สุทธิพงศ์ สุทินรัมย์ กับอีพีชุดที่ 3 'It Is Never
Too Late To Love' ได้สร้างกระแสความตื่นเต้นในหมู่คนฟังเพลงใช่น้อย
จากแวดวงอินดี้เล็กๆ
ก็ไต่เพดานถึงกลุ่มคนฟังเพลงในกระแสหลักได้ในระดับหนึ่ง

สำหรับการไต่เต้าของ จุ๋ย จุ๋ยส์ นั้น ก็ไม่ธรรมดา
จากนักศึกษาศิลปะ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
มีความสนใจในเชิงชั้นดนตรีและเล่นดนตรีกลางคืนในละแวกเชียงใหม่
และเข้าสู่การประกวดดนตรีแบบ One Man Show ในรายการ 'Chang Draught
Journey to Glastonbury Festival 2007' ได้รางวัล 1 ใน 2 คนที่ชนะเลิศมา
จากนั้นเขาก็ทำงานเพลงของตัวเองในแบบ อีพี มาแล้ว 2 ชุด คือ 'Negative
Thinking but Positive Doing' และ 'To Behave with Abandon' ตามลำดับ


เพลงของเขาเป็นที่รู้จักของคนฟังแบบแนะนำกันมา
รวมถึงความขยันในการแสดงสดทั้งเล่นดนตรีกลางคืนและเข้าร่วมในอีแวนต์หรือ
เทศกาลดนตรีต่างๆ
พลังในการเล่นสดและสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมจึงเป็นจุดขายหลัก
ด้วยบทเพลงที่กวนๆ อารมณ์ดี ขี้เล่นแบบประหลาดด้วยเนื้อหา
แต่มีคุณภาพทางดนตรีและเสียงร้อง
ทำให้ชื่อของเขาขยายเป็นที่ใฝ่หาวงกว้างในหมู่คนฟังเพลง

อีพีชุดที่ 3 จึงถูกทางโซนี่ มิวสิคดึงเข้ามาในสังกัด
เพื่อช่วยขยายฐานคนฟังให้มากขึ้นจากจุดขายที่โดดเด่นอยู่แล้ว
เมื่อฟังบทเพลงทั้งหมดที่มีด้วยกัน 6 บทเพลง จะพบว่าแท้จริงแล้ว จุ๋ย
จุ๋ยส์ เป็นมนุษย์พันธุ์เครียดและลุ่มหลงในวิธีคิดเชิงปรัชญาแนวมนุษยนิยม
แต่ด้วยความเป็นคนศิลปะจึงแสดงออกด้วยลีลายียวนเต็มไปด้วยไอเดียของการเล่น
มุกแบบสนุกๆ ดูเก๋ไก๋ให้คนร่วมสมัยรู้สึกคล้อยตามไปด้วย

เนื้อร้องของเขานั้นมีมุกต่างๆ
ที่อดคิดไปถึงวิธีการเขียนเพลงในแบบเฉลียง ซีเปีย
กลุ่มโลกเบี้ยวอยู่ใช่น้อย
แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปคือพลังทางดนตรีของเขาที่กร้าวแกร่งและหนักแน่นกว่า
ในสไตล์สไตล์อะคูสติคร็อคที่เข้มข้น
หยิบเล็กผสมน้อยสารพันดนตรีที่ได้รับอิทธิพลมา
แต่ก็ถือว่าเป็นความเก่งที่เขาทำงานเองทั้งหมดทั้งโปรดิวซ์
เขียนเนื้อร้อง-ทำนอง และเล่นเครื่องดนตรีเองทุกชิ้น
เขาประมวลเอาทางดนตรีที่คุ้นหูมาย่อยสังเคราะห์และมีแนวทางของตัวเอง
และด้วยคำร้องที่เขียนขึ้นมาเองทำให้เป็นเอกภาพและดูลงตัวเป็นอย่างมาก

เสียงร้องของเขามีหลายมิติและพยายามดีไซน์เสียงต่างๆ
ตามอารมณ์ที่สื่อสารผ่านตัวละครในบทเพลง
ถือว่าสร้างความสนุกในการฟังอยู่พอควร
แต่ก็สงสัยอยู่เหมือนกันว่าถ้าเป็นอัลบั้มเต็มฟังยาวกว่านี้จะน่าเบื่อหรือ
ไม่

เพราะอีพี ซึ่งย่อมาจาก extended play (EP)
จะมีเพลงมากกว่าซิงเกิ้ล แต่น้อยกว่า แอลพี (LP-อัลบั้ม)
อีพีมักจะมีความยาวรวมของเพลงอยู่ราว 10-28 นาที
ความยาวขนาดนี้พอสบายหูรื่นรมย์และตกตะกอนกับมุกที่นำเสนอได้พอดิบพอดี
ซึ่งเหมาะกับทางเพลงแบบจุ๋ย จุ๋ยส์ของเขาอยู่มาก

บทเพลงขี้เล่นปล่อยมุก 'บทที่ 1 (Lesson 1)', 'จอมโจร ขโมยใจ',
'Anatawa' แฝงสาระก็ถือว่ากำลังดีสอบผ่าน ส่วนบทเพลง 'ย้อนแยง',
'อีกไม่นาน', 'ยาสุข' ก็เสนอสาระแต่แฝงมุกไว้
ทำให้เห็นบุคลิกของเขาชัดเจนมาก

จุ๋ย จุ๋ยส์ แสดงให้เห็นว่า บทเพลงของเขา คือ
เสียงแห่งยุคสมัยในแบบบทเพลงฮาเฮอารมณ์ดี ซึ่งเฉลียง, กลุ่มโลกเบี้ยว,
เนสเซอรี่ ซาวด์, ซีเปีย เคยบุกเบิกแผ้วทางมาแล้ว และก็มาถึงคิวของ จุ๋ย
จุ๋ยส์ ที่มาถมช่องว่างในเวลานี้
และน่าจะมีอนาคตบนเส้นทางสายนี้อยู่สวยงามทีเดียว


http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090584

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น