++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2552

เวทีนโยบาย:โพสต์ม็อบ

โดย ภาณุเบศร์ มหาเรือนขวัญ 10 สิงหาคม 2552 15:05 น.
หนึ่งดัชนีชี้วัดพัฒนาการประชาธิปไตยคือเปิดกว้างเสรีภาพการชุมนุม
(Freedom of assembly)
ที่ต่อยอดมาจากเสรีภาพการแสดงความคิดเห็นแบบรวมหมู่ทางการเมืองทั้งเชิงสนับ
สนุนและต่อต้าน

ดุจเดียวกันกับพัฒนาการของผู้นำรัฐนาวาก็ต้องส่งเสริมเสรีภาพในการ
พูดของประชาชน เฉกเช่นที่วิศวกรผู้ประสบความสำเร็จในการจัดการน้ำเลือกขุดลอกคลองให้น้ำไหล
ได้สะดวกแทนสร้างเขื่อนขึ้นขวางลำน้ำ
เพราะการขัดขวางการวิพากษ์วิจารณ์ของประชาชนนั้นอันตรายร้ายแรงกว่าการสร้าง
เขื่อนขวางกั้นกระแสน้ำเชี่ยวกราก
ด้วยถึงที่สุดแล้วแม้แต่รัฐบาลฉ้อราษฎร์บังหลวงสูงสุดก็ยังสามารถอยู่รอดได้
ชั่วขณะหนึ่งหากเปิดโอกาสให้ประชาชนวิพากษ์วิจารณ์
ดังที่ปราชญ์จีนระบุไว้

การชุมนุมที่พัฒนาการจากการแสดงความคิดเห็นของประชาชนจึงทรงพลานุภาพ
ดังพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ต่อยอดจากรายการเมืองไทยรายสัปดาห์
สัญจรที่มาแทนรายการเมืองไทยรายสัปดาห์หลังรัฐบาลสั่งถอดออกจาก อสมท
เพราะวิพากษ์วิจารณ์
ที่ท้ายสุดก็สามารถทลายรัฐบาลทุจริตคอร์รัปชันลงได้แม้นต้องใช้เวลาระยะ
หนึ่ง

อนึ่ง ในการกล่าวเช่นนี้มิได้หมายความว่าทุกการชุมนุมจะเกิดขึ้นได้โดยไม่มี
เงื่อนไขถึงแม้นได้มวลชนจำนวนหนึ่งรวมตัวกันสนับสนุนแสดงความคิดเห็นสู่
สาธารณชน เพราะไม่เพียงเสรีภาพการชุมนุมไม่ใช่เสรีภาพเด็ดขาด
หากยังควรคำนึงถึงจารีตวัฒนธรรมประเพณีที่ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศยึดเป็น
กรอบโครงด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็นการชุมนุมซุกซ่อนวาระซ่อนเร้นล้มล้าง

รวมทั้งยังต้องปฏิบัติตามหลักเสรีภาพการชุมนุมที่ต้องสงบและปราศจาก
อาวุธอย่างเคร่งครัด
ด้วยทั้งสองเงื่อนไขไม่เพียงเป็นใบรับประกันการใช้เสรีภาพด้านนี้
ทว่ายังป้องกันไม่ให้ความรุนแรงเกิดกับขบวนการมวลชนและเจ้าหน้าที่รัฐด้วย
ดังความรุนแรงจากมวลชนช่วงสงกรานต์เลือด
การเคลื่อนมวลชนเข้าปะทะมวลชนอีกฝั่งที่ถูกอุปโลกน์เป็นปรปักษ์ทั้งกลางพระ
นครและหนองประจักษ์
ขณะความรุนแรงจากเจ้าหน้าที่รัฐก็ประจักษ์แจ้งจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม
7 ตุลาคม 2551

เนื่องจากว่าช่วงเวลานั้นจะก่อเกิดกระบวนการทอนความเป็นมนุษย์
(Dehumanization)
ที่เข้มข้นขนาดปลุกปั่นประชาชนลุกขึ้นมาฆ่าฟันกันได้ในฝั่งของมวลชน
เช่นเดียวกับฟากเจ้าหน้าที่รัฐก็ท่วมท้นไม่แพ้กัน
มิเช่นนั้นคงไม่ถั่งโถมอาวุธใส่ผู้ชุมนุมเพศแม่แบบเลือดเย็นตั้งแต่อรุณรุ่ง
จนจรดคืนค่ำ

ทั้งนี้ เหตุแห่งวิกฤตก็คือที่ผ่านมาไม่ได้แปรหลักการว่าด้วยการชุมนุมโดยสงบและ
ปราศจากอาวุธตามมาตรา 63 และ 44 ในรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ 2550 และ 2540
หรือย้อนไปไกลถึงรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 มาเป็นกฎหมายลำดับรอง
ตลอดจนขาดการตีความด้านสิทธิการชุมนุมหลังไทยเข้าเป็นภาคีกติการะหว่าง
ประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) ตั้งแต่ต้นปี 2540

กล่าวอีกนัยหนึ่ง
การขาดกฎหมายลำดับรองรองรับเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญเป็นตัวแปรสำคัญหนึ่งที่ถึง
ไม่ใช่ลำดับแรก ทว่าถ้ามีก็จะตัดตอนความรุนแรงลงได้ไม่น้อย
โดยเฉพาะจากเจ้าหน้าที่รัฐที่อ้างการไม่มีกฎหมายโดยตรงแล้วกระทำการลุแก่
อำนาจผ่านแผนสลายการชุมนุม เช่น แผนกรกฎ ปฐพี ไพรีพินาศ
หรือไม่ก็สกัดกั้นการชุมนุมด้วยกฎหมายที่ไม่ได้ตราขึ้นเฉพาะ เช่น
พ.ร.บ.ทางหลวง 2535 พ.ร.บ.รักษาความสะอาดฯ 2535 และ
พ.ร.บ.ควบคุมการโฆษณาฯ 2493

เพราะการกระทำเช่นนี้นอกจากจะขัดเจตนารมณ์กฎหมายสูงสุดของประเทศโดย
การใช้ 'ดุลพินิจแบบเห็นว่า' ของตำรวจและทหารที่มักกระทำเกินกว่าเหตุ
และสองมาตรฐานตั้งข้อกล่าวหาเกินจริงแก่ผู้ชุมนุมเดินขบวนที่ใช้อำนาจ
อธิปไตยเคลื่อนไหวแล้ว
ยังทำให้มวลชนไม่เรียนรู้การชุมนุมและเดินขบวนตามระบอบประชาธิปไตยแบบมีส่วน
ร่วมที่ต้องบริหารจัดการความสมดุลระหว่างสิทธิของผู้ชุมนุมและเดินขบวนกับ
สิทธิของบุคคลที่สามในการใช้พื้นที่สาธารณะ
หรือกระทั่งสิทธิในชีวิตทรัพย์สินของฟากฝั่งตรงข้าม ทั้งๆ
ที่ทั้งหมดได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญด้วยกันทั้งสิ้น

ยิ่งกว่านั้นสังคมโดยรวมก็ปรามาสการชุมนุมเดินขบวนเป็นแค่ 'ม็อบ'
วุ่นวายทำลายความสงบเรียบร้อยของชาติบ้านเมืองที่รักสมัครสมานสามัคคี
มากกว่าจะเห็นเป็นคุณูปการต่อการผลักดันนโยบายสาธารณะแบบมีส่วนรวมและสร้าง
เสริมประชาธิปไตยที่ลงหลักปักฐานตั้งมั่น
รวมทั้งส่วนมากมักเห็นดีเห็นงามกับการสลายการชุมนุมโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ
ด้วยความรุนแรงกับฟากฝั่งปฏิปักษ์

กระบวน การเช่นนี้มีแต่นำประเทศไทยในห้วงยามระบอบประชาธิปไตยระยะเปลี่ยนผ่านไม่อาจ
ผ่านไปสู่ความมีอารยะยอมรับความคิดต่างเห็นแย้งที่เป็นคุณลักษณะที่สังคมพหุ
นิยม (Pluralistic society) ต้องการได้
หรือย่ำแย่กว่าก็เกิดสงครามกลางเมืองอันเนื่องมาจากความต้องการหลากหลายขนาด
สวนทางกันทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม
ที่ผู้คนพร้อมจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มกดดัน (Pressure group)
และกลุ่มผลประโยชน์ (Interest group) ออกมาชุมนุมเดินขบวนบนท้องถนน

ดังนั้นการกำหนด 'พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะและการเดินขบวน พ.ศ. ...'
ตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญที่มุ่งคุ้มครองการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของ
ประชาชนอย่างแท้จริงจึงจำเป็นยิ่งยวด ด้วยจะป้องปรามไม่ให้ทั้งก่อน
ระหว่าง และหลังการชุมนุมเดินขบวนเกิดความรุนแรงสูญเสียเลือดเนื้อ เหมือน
7 ตุลา 51 ที่ล่วงเกือบปีแล้วก็ยังนำเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงและนักการเมืองเบื้องหลัง
คำสั่งสลายการชุมนุมโดยมิชอบจนเป็นเหตุให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บเสียชีวิตมารับ
โทษไม่ได้ ในขณะเดียวกันมวลชนที่กลุ้มรุมทำร้ายฝ่ายตรงข้ามก็คงลอยนวลด้วยใจลิงโลด
พร้อมละเมิดสิทธิต่อไป

ด้วยตราบใดไม่มีกฎหมายระดับ
พ.ร.บ.เพื่อแปรเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญสู่ภาคปฏิบัติการ
ตราบนั้นการสลายการชุมนุมที่ไม่คำนึงถึง 'หลักความพอสมควรแก่เหตุ'
ที่ใช้สำหรับตรวจสอบการกระทำของรัฐไม่ให้ใช้อำนาจแบบอำเภอใจจนไปละเมิดสิทธิ
เสรีภาพของประชาชน ก็น่าจะยังคงปรากฏต่อไป
ไม่ต่างจากอดีตที่ปฏิบัติการสลายการชุมนุมทุกครั้งรัฐไม่เคยนำหลักความเหมาะ
สม หลักความจำเป็น และหลักความได้สัดส่วนในความหมายอย่างแคบ
มาร่วมพิจารณาเลย

รวมทั้งผู้ชุมนุมเดินขบวนในอนาคตก็จะไม่ลังเลใจก้าวตามตัวอย่างม็อบ
เมื่ออดีต โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์
เพราะหลงยึดติดเป้าหมายอธิบายวิธีการ (The end justifies the means)
ว่าคือชัยชนะ ขณะที่ผู้นำหรือจัดการการชุมนุมและเดินขบวนก็จะลอยตัวไม่รับผิดชอบการนำ
เหมือนเดิมแม้จะเป็นผู้ปลุกปั่นมวลชนพกพาอาวุธ ระดมคนก่อจลาจล
หรือยั่วยุรุกไล่ล่าก่ออาชญากรรม ก็ตาม

ถ้า เป็นเช่นนี้ต่อไปการชุมนุมเดินขบวนของมวลชนจะเป็นม็อบรุนแรงไม่สันติอหิงสา
การสลายการชุมนุมด้วยอาวุธจะเป็นอาชญากรรมรัฐที่ยอมรับได้ถึงจะละเมิด
ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ขัดวัตถุประสงค์แห่งการบังคับทางปกครอง
และความชอบด้วยกฎหมาย ใช้กำลังได้โดยไม่แม้แต่จะแจ้งเตือนจากเบาไปหนัก

กล่าวถึงที่สุด
การไม่มีกฎหมายว่าด้วยเสรีภาพนี้โดยตรงเป็นหนึ่งอุปสรรคพัฒนาประชาธิปไตย
เพราะกว่ากระบวนการยุติธรรมจะนำความเป็นธรรมกลับคืนสู่มวลชนผู้สูญเสียก็ใช้
เวลาเนิ่นนานจนหลายฝ่ายมองว่า 'ความยุติธรรมที่ล่าช้าคือความอยุติธรรม'
ดังการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีตุลาล่าสุดของ ป.ป.ช.
ทั้งยังนับเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ต้องมีเหตุก่อนถึงจะเข้ามาจัดการได้
ไม่เหมือน พ.ร.บ.ฉบับนี้ที่ทำให้ทั้งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐที่รับผิดชอบรับรู้
ชัดเจนว่าสิ่งใดทำได้/ไม่ได้
ไม่ให้สถานการณ์บานปลายกลายเป็นคดีความตามมามากมายทั้งที่ควรด้วยเหตุผลและ
ถูกกลั่นแกล้ง

มิเอ่ยว่าจะขจัดการไม่ลงร้อยกันทางความคิดของสังคมเรื่องตุลาการ
ภิวัฒน์อันเนื่องมาจากการตัดสินคดีความเกี่ยวกับการชุมนุมเดินขบวนที่มีทั้ง
ภาคส่วนสนับสนุนและคัดค้านได้ด้วย

การ มุ่งคุ้มครองการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธของ
พ.ร.บ.ฉบับรื้อสร้างนี้จะนำพาปรากฏการณ์ 'โพสต์ม็อบ' (Post Mob)
มาสู่สังคมไทยได้
ด้วยไม่เพียงทำให้คดีความที่เกิดกับผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่รัฐลดน้อยลงหลัง
สิ้นสุดการเคลื่อนไหวในท้องถนนจากต่างฝ่ายต่างตระหนักขอบเขตสิทธิเสรีภาพ
ซึ่งกัน ทว่าขณะเดียวกันนั้นก็ยังรื้อถอนมายาคติว่าการชุมนุมเดินขบวนเป็นการก่อความ
วุ่นวายออกจากจิตใจพลเมืองผู้เคยอิหลักอิเหลื่อได้ด้วย

มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000090713

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น