++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2552

กายทิพย์ ประสบการณ์นอกกายเนื้อ - อ.ยุทธพงษ์ แสงอรุณกุศล

มีประสบการณ์เร้นลับจากการฝึกจิตอย่างหนึ่งซึ่งน่า สนใจและน่าพิสูจน์
นั่นคือเรื่องของการถอดจิตจน "กายทิพย์"
สามารถแยกออกจากกายเนื้อไปท่องเที่ยวตามที่ต่างๆหรือแม้แต่ใน "โลกทิพย์"
ภพภูมิของวิญญาณได้ โดยที่กายเนื้อยังมีชีวิตอยู่


การฝึกถอดจิตนับเป็นหนึ่งใน 8
ศาสตร์วิชาทางศาสนาพุทธซึ่งเชื่อกันว่าในประเทศไทยมีผู้ที่มีความสามารถทาง
ด้านนี้หลายท่าน
นับแต่พระเกจิอาจารย์ที่มีอภิญญาชั้นสูงหลายๆรูปหรือแม้แต่ฆราวาสที่เป็นนัก
ปฏิบัติธรรมชั้นสูงบางท่านก็สามารถทำได้
อย่างนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งที่ผู้เขียนได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานจึง
อยากจะพาไปรู้จัก ท่านนี้คืออาจารย์ยุทธพงษ์ แสงอรุณกุศล
ท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่มีลูกศิษย์ลูกหาเยอะแยะมากมาย
ซ้ำยังมีประสบการณ์จากสมาธิหลายเรื่องที่จะเล่าให้เราฟัง


อาจารย์ยุทธพงษ์เล่าให้เราฟังว่าท่านสนใจในเรื่องของพลังอำนาจจิตและวิญญาณ
มานานแล้ว เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2510 ที่ไหนมีการแสดงพลังจิต
มีการประทับทรงท่านก็ชอบไปศึกษาแต่ในระยะแรกจะเป็นไปในลักษณะเชื่อครึ่งไม่
เชื่อครึ่ง จากนั้นก็เริ่มศึกษาวิธีการปฏิบัติอย่างจริงจังเพราะต้องการจะรู้ว่าเรื่อง
ของพลังจิตและวิญญาณมีจริงหรือไม่และที่สำคัญคืออยากจะรู้ว่าทำไมคนเราจึง
ต้องมาเกิด อาจารย์ได้เริ่มต้นเล่าประสบการณ์ของการฝึกจิตให้เราฟังว่า


"ผมเริ่มสนใจปฏิบัติสมาธิจริงๆตอนอายุ 26
อาจเป็นบารมีเก่ามาหนุนให้เรามีความสนใจเรื่องนี้ จึงทำให้เราอยากไปดู
อยากไปเห็น ฝึกครั้งแรกก็เป็นสมาธิธรรมดา
พุทโธๆต่อมาผมได้พบกับอาจารย์ซึ่งเป็นท่านแรกที่สอนผมให้มอง
"กึ่งกลางระหว่างคิ้ว"
คนที่สอนผมคนนี้เป็นคนลาวนะเขาสอนผมแค่ให้หลับตาและมองกึ่งกลางระหว่าคิ้ว
ให้รวมจิตให้เป็นหนึ่งแล้วกายทิพย์จะแยกออกจากร่างไปเที่ยวตามที่ต่างๆที่
เราปรารถนาจะไปได้

ท่านสอนเพียงเท่านี้ เราก็หัดหลับตามองไปที่กึ่งกลางระหว่างคิ้ว
ปรากฏว่าฝึกๆไปมันเกิดหนึบๆเกิดปวดเสียวและตึงๆที่กีงกลางระหว่างคิ้ว
แต่ผมก็ยังเพ่งไปที่จุดตำแหน่งนั้นอยู่ตลอดเวลา ทั้งกลางวันกลางคืน
ฝึกจนแม้เวลาหยุดเพ่งก็ยังมีอาการปวดหนึบๆอยู่ตรงนั้นฝึกปีหนึ่งครับก็เริ่ม
ลอดได้แต่ใหม่ๆจะยังไม่คล้อง
แต่ก็พอมองเห็นว่าภาวะที่กายทิพย์แยกออกจากกายเนื้อนี่เป็นยังไง"

อาจารย์ยุทธพงษ์บอกกับเราว่า
จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้วนั้นคือประตูสู่สวรรค์ ซึ่งหลายประเทศให้ความสำคัญ
อย่างชาวจีนก็มีการสอนกันมาว่า "หน้าผาก"
คือแหล่งเปล่งรัศมีไว้คุ้มครองตัว ล้าใครไว้ผมบิดหน้าผาก
เส้นผมจะบังรัศมีทำให้พบภูติผี วิญญาณได้
และชาวอินเดียก็จะมีการเจิมหน้าผากที่กึ่งกลางหน้าผาก
ซึ่งจะสังเกตได้ว่าทั้งเทวดาอินเดียและจีนก็มีตาที่สามที่มีอิทธิฤทธิ์อยู่
ที่กึ่งกลางหน้าผากเช่นกัน
ส่วนชาวไทยเราก็มีการเจิมอุณาโลมที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วเช่นกัน
นับว่าตำแหน่ง "จุดกึ่งกลางระหว่างคิ้ว"
นี้ถือเป็นตำแหน่งสำคัญที่ใช้สัมผัสกับโลกวิญญาณมานานแสนนาน
ตั้งแต่ครั้งโบราณจนถึงปัจจุบัน

คำว่า "กายทิพย์" นั้นผู้อ่านหลายท่านอาจจะสงสัยว่าคืออะไร
อาจารย์ยุทธพงษ์ได้อธิบายให้ฟังว่า
กายทิพย์มีสภาพคล้ายอากาศที่โปร่งแสงและจะแฝงแนบสนิทอยู่กับกายเนื้อดุจเป็น
เนื้อเดียวกันและเมื่อเวลาหลุดแยกออกจากร่างจากการฝึกถอดจิต
ร่างที่เป็นกายเนื้อของเราก็ยังมีชีวิตอยู่มีเพียงกายทิพย์ที่หลุดออกไปโดย
เป็นร่างโปร่งแสงที่ไม่อาจสัมผัสได้
และระหว่างที่กายทิพย์แยกออกไปนี้จะมีสายใยที่เรียกว่า "สายใยแห่งชีวิต"

ซึ่งมีลักษณะโปร่งใสเป็นสีเงินยวงเชื่อมโยงอยู่ตลอดเวลาและยังสามารถยืดยาว
ไกลออกไปได้ดังใจปรารถนา
และสายใยแห่งชีวิตนี้จะทำหน้าที่พิเศษอยู่อย่างหนึ่งคือถ้ากายเนื้อยังมีสาย
ใยนี้เชื่อมอยู่ก็ยังมีชีวิตอยู่
แต่ถ้าสายใยนี้ถูกตัดขาดลงเมื่อไหร่กายเนื้อก็จะตายลงทันทีซึ่งก็หมายถึงถ้า
กายเนื้อหรือมนุษย์ผ็นั้นตายลงวันใด "สายใยแห่งชีวิต"
นี้ก็จะขาดจากกายเนื้อมนุษย์ผู้นั้นในทันที

ประสบการณ์นอกกายเนื้อจากการลอดกายทิพย์ของอาจารย์ยุทธพงษ์นั้นท่านได้
บันทึกเรียบเรียงไว้ในหนังสือประสบการณ์จากสมาธิ-วิญญาณ
ซึ่งผู้เขียนได้ขออนุญาตนำเรื่องเล่าที่น่าสนใจมาเผยแพร่ต่อไปดังนี้
ลอดจิตไปนมัสการเจ้าพ่อหลักเมือง

เรื่องนี้เป็นประสบการณ์จากการลอดจิตครั้งแรกของอาจารย์ยุทธพงษ์
หลังจากที่เพียรฝึกฝนมาเป็นเวลา 1 ปี
โดยตั้งความหวังไว้ว่าอยากจะลอดกายทิพย์ให้หลุดจากกายเนื้อให้ได้คืนหนึ่งก็
รู้สึกว่าขณะที่ปฏิบัติอยู่นั้นเกิดอาการปวดเสียงตึงเหมือนลูกข่างปลายแหลม
ปักลึกเข้าไปในหัวกะโหลกและหมุนอยู่ตลอดเวลาจนทะลุถึงท้ายทอยตรงก้านสมอง
อาการอย่างนี้หมายถึงเริ่มจะลอดกายทิพย์ได้แล้ว
และขณะนั้นก็มีความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเป็ฯกายเนื้อเข้าไปในโลกอีกโลก
หนึ่ง (โลกวิญญาณ) ที่มโหฬารไพศาล
สลับซับซ้อนด้วยแสงสีและเกิดความรู้สึกหวาดเสียวล้อมรอบตัวมากมาย
เห็นวิญญาณรูปร่างต่างๆทั้งที่แปลกหูแปลกตาไม่เคยพบเห็นในโลกมนุษย์
ทำให้กายทิพย์เกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันทีและกายทิพย์ก็แล่นกลับคืนสู่กาย
เนื้อทันทีทันใด เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจนจบใช้เวลาเพียง 1 นาที
เท่านั้น ซึ่งในบันทึกของอาจารย์ยังได้เล่าต่อไปอีกว่า...


"ต่อมาวันหนึ่งตั้งใจนอนแต่หัวค่ะประมาณ 6
โมงเย็นเราก็รีบเข้านอนโดยทำใจให้สบายๆหลับพักผ่อนเต็มที่
ตื่นขึ้นมาอีกครั้งประมาณตี 3 รู้สึกไม่ง่วง
สำรวมจิตทำใจให้ปลอดโปร่งสบายและนอนท่าหงายตัวขึ้นรวมจิตเป็นหนึ่งมองไปที่
จุดปวดเสียวตึงกึ่งกลางระหว่างคิ้วเพียงแวบเดียวก็สามารถรวมตัวเป็นลูกข่าง
ที่หมุนเจาะลึกเข้าไปในสมอง
ขณะนั้นเราคิดได้ว่าทุกครั้งที่เราถอดกายทิพย์ได้นั้นมักจะพบกับสิ่งน่ากลัว
คราวนี้เราตั้งต้นใหม่
เราตั้งใจจะไปหาครูอาจารย์ของเราคือท่านเจ้าพ่อหลักเมืองสนามหลวงกรุงเทพฯ
ท่านต้องคุ้มครองเราแน่นอน เราก็ตั้งจิตอธิษฐานนึกถึงเจ้าพ่อหลักเมือง
โดยไม่ได้นึกถึงสถานที่ (ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่สนามหลวง)

ทั้งนี้เมื่อเรานึกถึงบุคคล ชื่อ
นามสกุลแล้วก็เน้นให้เห็นใบหน้าของคนนั้นให้ปรากฏชัดแจงในความนึกคิดขณะนั้น
แม้ว่าเราะจะไม่รู้ว่าเขาตอนนั้นอยู่ที่ไหนก็ตาม
กระแสพลังจิตก็ดึงดูดเหนี่ยวนำให้เข้าไปหากันจนได้
และเมื่อกายทิพย์หลุดพ้นจากกายเนื้อแล้ว
กายทิพย์จะหลุดลอยออกไปด้วยความเร็วสูงมาก
พุ่งเข้าไปในห้วงอวกาศอันเงียบสงัด เวิ้งว้างกว้างใหญ่ ไม่มีขอบฟ้า

กายทิพย์เมื่อออกจากกายเนื้อจะเกิดมีอำนาจพิเศษหนุนนำคือ "ทิพย์อำนาจ"
เข้าผสมกับอำนาจพลังจิตที่กายเนื้อฝึกได้ในชีวิตประจำวัน
และเพียงจิตที่เปลี่ยนแปลงชั่วแวบว่าเราจะไปหา "เจ้าพ่อหลักเมือง"
ก็เกิดบันดาลเป็นอำนาจดึงดูดให้กายทิพย์เปลี่ยนทิศทางทันที
วูบหล่นมายืนอยู่บนพื้นดินทันทีซึ่งขณะนั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
ท่ามกลางความมืดนั้นพอจะมองเห็นรางๆกายทิพย์กำลังยืนอยู่ที่สนามหญ้าแห่ง
หนึ่ง

ข้างหน้าเรามีบ้านหลังหนึ่งใหญ่พอสมควร ข้างบ้านมีโรงรถติดกับบ้าน
ขณะที่เรากำลังยืนพิจารณาอยู่นั้นก็เกิดเห็นร่างยักษ์ผู้ชาย 5 ตน
ผิวดำร่างใหญ่โตมาก เท่ากับยักษ์วัดแจ้ง ผมหยิกตาโต
ปากแยกเขี้ยววิ่งเข้ามาจะตะครุบ หวังจับตัวเราให้ได้
เรากลัวมากอยากจะหนูไปให้พ้นจึงกำมือสองข้างเข้าหากันที่หน้าอก
รวมจิตเป็นหนึ่งอธิษฐานนึกอยากหนีให้พ้นจากตรงนั้น กายทิพย์ไม่ต้องเดิน
ไม่ต้องเหาะ ไม่ต้องวิ่ง กายทิพย์ล่องหนหายวับไปกับตาทันทีจากที่ตรงนั้น


การ เคลื่อนไหวหรือการเดินทางของกายทิพย์เร็วเท่าๆกับความนึกคิดของจิตที่นึกคิด
ด้วยใจที่อธิษฐานอย่างแน่วแน่ ทั้งมุ่งมั่นว่าจะกลับเข้ากายเนื้อ
กายทิพย์ก็ไปถึงกายเนื้อทันที
ชั่วแวบหนึ่งกายเนื้อก็เริ่มรู้สึกตัวมีความนึกคิดสมบูรณ์
นั่งตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง
ทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นว่าฝันไปหรือไม่ไม่ใช่ฝันแน่เพราะเรามีสติรู้เห็น
ตลอดเรื่อง เราจึงยืนยันว่า "เป็นการถอดกายทิพย์ออกจากกายเนื้อไปได้จริง"
.................................


ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ท
ที่มา : นิตรสารหญิงไทย
โดย : คุณสายทิพย์

ที่มา http://board.palungjit.com/f126/กายทิพย์-ประสบการณ์นอกกายเนื้อ-อ-ยุทธพงษ์-แสงอรุณกุศล-18149.html

2 ความคิดเห็น:

  1. สวัสดีครับ ตอนฝึกผมมีอาการใจสั่น เต้นแรงมากๆ แต่ตาชั้นในที่ มองนั้น เป็นความสว่าง สุดๆๆ ผมอยาก รู้ว่า ใจมันสั่นทำไม และ จะทำอย่าง ไรดีครับ ช่วยผมหน่อยครับ.

    ตอบลบ
  2. อ.ยุทธพงศ์ คืออดีตเข้าอาวาสวัดธารน้ำตกหลังเหวใช่ไหมครับ ผมเคยไปหาท่านประมาณ27 ปีมาเเล้ว ไปปฏิบัติอยู่ 7 วัน ได้ช่วยท่านสร้างศาลพระ ทาสีกำเเพงด้วยครับ

    ตอบลบ