++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อุดมการณ์พันธมิตรฯ (อุดมการณ์พรรคการเมืองใหม่)

โดย สันติ ตั้งรพีพากร 21 กรกฎาคม 2552 15:05 น.
การเคลื่อนไหวต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ ล้างการเมืองเก่า
สร้างการเมืองใหม่ ไม่เพียงหล่อหลอมจิตใจชาวพันธมิตรฯ
ให้กล้าแกร่งเท่านั้น แต่ยังได้จุดประกายความคิด
อุดมการณ์ที่ท้าทายให้ชาวพันธมิตรฯ ระดมสมอง กระตุ้นปัญญา
ว่าถึงที่สุดแล้ว จุดหมายปลายทางที่ชาวพันธมิตรฯ
ต้องการไปให้ถึงนั้นคืออะไร และจะต้องดำเนินการอย่างไรจึงจะ "ไปให้ถึง"
ได้จริงๆ หากมิใช่การวาดฝันหรือจินตนาการลมๆ แล้งๆ

กล่าวได้ว่า ภายหลังการเคลื่อนไหวต่อสู้ 193 วัน ชาวพันธมิตรฯ
ได้ตกผลึกทางความคิด บนฐานทางปัญญาเป็นเบื้องต้นแล้วว่า
การเคลื่อนไหวต่อสู้โค่นล้มระบอบทักษิณ
เป็นขั้นเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ทั้งนี้ บนเส้นทางที่เราได้
"เดินมาถูกทาง" แล้วนั้น จุดหมายปลายทางที่เราจะต้องเดินไปให้ถึงก็คือ
การสร้างประเทศไทยใหม่ ให้เป็น สังคมอุดมธรรม
ที่คนไทยดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข

ด้วย "ภูมิปัญญา" (เป็นส่วนหนึ่งของ "ปัญญาแกน" พันธมิตรฯ)
ที่ถักทอก่อเกิดขึ้นมาแล้ว ณ วันนี้ ชาวพันธมิตรฯ ภายใต้แกนนำชุดปัจจุบัน
สามารถกำหนดขั้นตอนในการต่อสู้ได้เป็นเบื้องต้นแล้วว่า
ภายหลังจากโค่นล้มระบอบทักษิณลงได้แล้ว
จะต้องเดินหน้าล้างการเมืองเก่า-สร้างการเมืองใหม่
การก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ให้เป็นเครื่องมือหลักในการต่อสู้เอาชนะอำนาจการ
เมืองเก่า เป็นความสำเร็จอีกขั้นหนึ่งของการขับเคลื่อนขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่มี
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นแกนนำ
ที่จะนำไปสู่การสถาปนาอำนาจประชาชนขึ้นแทนที่อำนาจกลุ่มทุน
เปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ก้าวไปสู่แถวหน้าแห่งยุคสมัย

ด้วย "ท่วงทำนอง" ที่ไม่ตัดอดีต (ตามหลักการสร้าง "ปัญญาแกน"
พันธมิตรฯ) ทำให้เราสามารถ "ออกแบบ" สังคมอุดมธรรมได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
และพร้อมพิสูจน์ตนเองว่า สังคมอุดมธรรมนี้
เป็นสังคมที่มีความก้าวหน้าและดียิ่งกว่าสังคมใดๆ
ที่มีอยู่ทั้งหมดของโลกในยุคปัจจุบัน
และสามารถสร้างขึ้นได้จริงในประเทศไทย
ด้วยน้ำมือและมันสมองของมวลมหาชนชาวไทย

ทำไม? เพราะสังคมอุดมธรรมเกิดขึ้นจากการต่อยอดพัฒนาการสังคมมนุษย์ทุกรูปแบบ
ตั้งแต่สังคมศักดินา สังคมทุนนิยม
และสังคมคอมมิวนิสต์หรือสังคมนิยมที่มีอยู่ในปัจจุบัน
โดยการสืบสานแก่นแกนที่เป็น "องค์ธรรม"
ของระบอบการปกครองในแต่ละยุคสมัยเหล่านั้น
มาประสานเข้ากับสภาวะเป็นจริงของสังคมไทย
ภายใต้การกำกับและกำหนดของมวลมหาชนชาวพันธมิตรฯ

สิ่งที่เรียกว่า "แก่นแกน" ที่เป็น "องค์ธรรม"
ของสังคมมนุษย์ในแต่ละยุคสมัย ตั้งแต่อดีตหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน ก็คือ

1. ระบบ "ธรรมาธิปไตย" ในสังคมศักดินา
เจ้าผู้ครองนครหรือแผ่นดินปกครองแผ่นดินด้วยทศพิธราชธรรม
ดำเนินการปกครองด้วยเมตตาธรรม ดุจพ่อปกครองลูก

สังคมอุดมธรรมที่เรากำลังจะสร้างขึ้นจะขาดเสียซึ่งความเป็น
"ธรรมาธิปไตย"ไม่ได้โดยเด็ดขาด การที่พันธมิตรฯ ใช้ธรรมนำหน้า
ก็หมายถึงว่า ระบบปกครองของไทยในสังคมอุดมธรรมจะต้องมีความเป็นธรรม
สิ่งดีๆ ที่สืบทอดมาตั้งแต่สังคมศักดินานี้
จะต้องได้รับการสืบต่อและสานสร้างให้เกิดความสมบูรณ์พร้อมในสังคมยุคใหม่
อย่างทั่วด้าน

เหตุที่สังคมทุนนิยมไม่สมบูรณ์ ไม่เอื้อต่อการดำเนินชีวิต
ไม่สามารถสร้างชีวิตสุขที่แท้จริงให้แก่ประชาชน ก็เพราะขาดซึ่ง
"ธรรมาธิปไตย" สังคมขาดซึ่งความเที่ยงธรรม
เพราะเน้นเสรีภาพปัจเจกชนแบบสุดขั้ว กระทั่งเกิดสภาวะ
"ใครมือยาวสาวได้สาวเอา" และ "ปลาใหญ่กินปลาเล็ก" อยู่ทั่วไป
แม้มีการพัฒนาระบบกฎหมายอย่างมากมาย
แต่อำนาจการใช้กฎหมายก็ยังอยู่ในมือของกลุ่มทุน ผู้เสวยโอกาสงามในทุกมิติ

การให้ความเป็นธรรมอย่างแท้จริงแก่มวลมหาชน อันเป็น "องค์ธรรม"
ที่ถือปฏิบัติกันในสังคมศักดินา จึงเป็นหลักการปกครองที่เราขาดไม่ได้
จำเป็นต้องนำปรับใช้ในการปกครองของประเทศไทยในยุคสังคมอุดมธรรม

2. ระบบ "เสรีประชาธิปไตย" ในสังคมทุนนิยม แก่นแกนที่เป็น
"องค์ธรรม" คือการเชิดชูสิทธิเสรีภาพปัจเจกชน
โดยกลุ่มทุนใช้จุดนี้เป็นอาวุธหลักดำเนินการต่อสู้ด้วยวิธีการปฏิวัติโค่น
ล้มอำนาจการปกครองของเจ้าศักดินา ดังคำขวัญของพวกเขาที่ว่า "เสรีภาพ
เสมอภาค ภราดรภาพ"

ในระบอบทุนนิยม
กลุ่มทุนผูกขาดอำนาจการปกครองในรูปของพรรคการเมืองแข่งขันครองที่นั่งใน
รัฐสภา จัดตั้งรัฐบาล ดำเนินการบริหารประเทศ แม้ว่าผลที่สุดแล้ว
จะสามารถสร้างความเจริญรุ่งเรืองอย่างมหาศาลแก่ตนเอง
และชักนำโลกทั้งโลกโลดแล่นไปบนเส้นทางทุนนิยม
ที่พรั่งพร้อมไปด้วยวัตถุปัจจัย
แต่ก็นำมาซึ่งการแยกขั้วระหว่างคนรวยกับคนจนอย่างรุนแรง กระทั่งเกิดสภาวะ
"คนรวยกระจุก" "คนจนกระจาย" เป็นสังคมที่ขาดความสมดุล
ดำรงอยู่ได้ด้วยการกดขี่ขูดรีด ปราบปรามทำลายล้าง
โดยการใช้กลไกอำนาจรัฐเป็นเครื่องมือ

การเอารัดเอาเปรียบ ที่คนส่วนน้อยกระทำต่อคนส่วนใหญ่
นำไปสู่วิกฤตเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยสันติวิธี
ทำให้เกิดวิกฤตทางการเมืองเป็นระยะๆ ทั้งในและนอกรัฐสภา ในที่สุดแล้ว
ก็ต้องแก้ไขกันด้วยการเคลื่อนไหวต่อสู้ทางชนชั้น และด้วยกำลังรุนแรง
กระทั่งด้วยอาวุธ ที่ชนชั้นผู้ใช้แรงงานรวมตัวกันเข้าเป็นกลุ่มก้อน
สูงสุดในรูปพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพ ดำเนินการต่อสู้
โดยยึดแนวคิดทฤษฎีของคาร์ล มาร์กซ์เป็นเข็มทิศนำทาง

สังคมอุดมธรรมที่เราจะสร้างขึ้น
จำเป็นต้องนำเอาหลักการเชิดชูสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลมาปรับใช้อย่างเหมาะสม
สิ่งนี้เป็น "ของดี" ที่มวลมนุษยชาติถวิลหา
เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและได้รับการเชิดชูอย่างยิ่งในสังคมทุนนิยม
แต่การกดขี่ขูดรีดทางชนชั้น และการแยกขั้วในสังคม
ทำให้ไม่อาจปฏิบัติกันได้อย่างแท้จริง กลายเป็นเพียง "คำขวัญ" หรือ
"เครื่องหมายการค้า" ของระบอบทุนนิยมเท่านั้น

3. ระบบ "ประชาธิปไตยของประชาชน" ในระบอบสังคมนิยม
เชิดชูผลประโยชน์ของประชาชน และการรับใช้ประชาชน เช่น
ที่ดำเนินอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีน
ที่มีพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนใช้อำนาจบริหารประเทศแต่เพียงผู้เดียว

กระนั้น ด้วยอำนาจรวมศูนย์ที่พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นศูนย์รวมของอำนาจ
ทำให้การแสดงออกถึงสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคลกลายเป็นเรื่องยาก
และกลายเป็นจุดอ่อนของระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีน ถ้าจัดการไม่ดี
จะกลายเป็นปัญหาเรื้อรังที่ระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีน "เอาไม่อยู่"
สังคมจีนจะไม่สงบ ประชาชนชาวจีนจะไม่เป็นสุข

สิ่งที่เป็นแก่นแกนแห่ง "องค์ธรรม"
ของระบอบสังคมนิยมเอกลักษณ์จีนก็คือ
การถือเอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นตัวตั้งของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน

พันธมิตรฯ จะต้องนำสิ่งนี้มาปรับใช้ในการสร้างสังคมอุดมธรรม ที่คนไทยอุดมสุข


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082351


บ้านเราปัญหาหลักๆเลยคือจริยธรรมและการคอร์รัปชั่น
การเมืองใหม่ที่จะเดินหน้าต่อไปโดยไ่ม่หวังผลประโยชน์ตอบแทน
ในช่วงแรกๆอาจเป็นเพียงอำนาจในการตรวจสอบ
แต่เชื่อได้ว่าจะมีประโยชน์มหาศาลถ้าการเมืองภาคประชาชนมีอำนาจการตรวจสอบใน
มือบนสื่อสาธารณะและในสภา
เพราะขนาดสื่อเฉพาะกลุ่มยังมีอาณุภาพจัดการคนเลวๆในบ้านในเมืองได้ขนาดนี้
ค่อยเป็นค่อยไปครับอย่าหวังว่าจะเปลี่ยนคนเลวๆพวกนี้ได้
แค่ให้จำกัดวงและนำออกมาสู่ที่แจ้ง
คนเลวๆพวกนี้ก็จะค่อยๆเปลี่ยนตัวเองเพื่อเอาตัวรอดตามธรรมชาติเอง
และค่อยๆให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วๆไป
สังเกตุอย่างหนึ่งนะว่าช่วงนี้ข่าวเท็จที่กุขึ้นมาธรรมดา
ๆข่าวปล่อยข่าวไม่มีมูลกลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ยอมรับได้ของสังคมไทยไป
ซะแล้วโดยไม่รู้ตัว อันนี้ในสังคมประชาธิปไตยที่ยังไม่พัตนาอันตรายมากๆ
tanakon

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น