ขณะวิกฤตเศรษฐกิจโลกถดถอยและอาหารโลกขาดแคลนขนาด 1.02
พันล้านคนหิวโหยจากการนำธัญพืชมากกว่า 1 ใน 3 มาใช้เลี้ยงปศุสัตว์แทนคน
และ
สัดส่วนที่เหลือจำนวนมากนำมาผลิตพลังงาน
หากทว่าบรรษัทเกษตรกรรมระดับโลกต่างทำกำไรได้ถ้วนหน้าจากการจำหน่ายเคมี
ภัณฑ์และเมล็ดพันธุ์ ดัง
กำไรก่อนภาษีที่พุ่งสูงถึงร้อยละ 120, 63, 40, 37 และ 19 จากปี 2007 ของ
Monsanto, Dow, Bayer, BASF และ Syngenta ตามลำดับ ตามรายงานของ
Grain เดือนเมษายน 2008
ใช่แค่เมล็ดพืชผักเพื่อการบริโภคหรือวัตถุดิบในสายพานอุตสาหกรรม
(Grain) จะขาดแคลน เพราะแม้แต่เมล็ดพันธุ์เพื่อการเพาะปลูก (Seed)
ที่เป็น
ปัจจัยการผลิตหลักของเกษตรกรก็ยังเผชิญชะตากรรมไม่ต่างกัน
ทั้งยังมีแนวโน้มรุนแรงกว่ามากจากสภาวะถูกล่ามร้อยโดยข้อสัญญาทาสในนามของ
เกษตร
เชิงเดี่ยว (Monoculture) และเกษตรพันธสัญญา (Contact Farming)
ไม่เว้นแม้แต่ประเทศไทยที่ได้ชื่อว่ามีความหลากหลายทางชีวภาพและอุดมสมบูรณ์
สูงสุดแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ด้วยขณะกำไรในการจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ของบรรษัทเกษตรกรรมข้ามชาติในไทย
ทะยาน แต่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ไม่เพียงหนี้สินทับถมทวีคูณ หากหน
ทางเข้าถึงปัจจัยการผลิตยังตีบตันคับแคบขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรรายย่อยยากครอบครอง
เพราะเริ่มต้นฤดูปลูกเมื่อไรก็ต้องกู้หนี้
ยืมสินซื้อหาเมล็ดพันธุ์เมื่อนั้น
ซ้ำร้ายยังตกเป็นเบี้ยล่างตลอดวงจรชีวิตพืชผักและตนเอง
อันเนื่องมาจากบรรษัทเกษตรกรรมต่างๆ จะประกอบกิจการใน
ลักษณะครบวงจร (Vertical Integration) มากขึ้น
จึงมีอำนาจมากขึ้นนับแต่กำหนดราคาปัจจัยการผลิตจนถึงแทรกแซงตลาดไปโดยปริยาย
เกษตรกรรายย่อยจึงถูกผู้ประกอบการเกษตรกรรมรายใหญ่ในตลาดเอารัดเอา
เปรียบเรื่อยมาด้วยเทคนิคหว่านล้อมชักจูงใจให้สินเชื่อทั้งเงินสดและปัจจัย
ผลิต รับซื้อเมล็ดพันธุ์คืน
และตรวจเยี่ยมให้คำแนะนำเกษตรกรที่แปลงปลูกพืชและการประชุมเกษตรกร
โดยการสนับสนุนของบางหน่วยงานรัฐ
การรวมกลุ่มเกษตรกรเป็นเครือข่ายหรือองค์กร
โดยเฉพาะสภาเกษตรกรตามเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 84 (8)
จึงพอจะต้านทานการ
กอบโกยกำไรในหยาดเหงื่อแรงงาน
กระทั่งพลิกกลับมาสร้างสรรค์การแข่งขันที่เป็นธรรมระหว่างผู้ประกอบการที่
ต่างกันทั้งขนาด ระดับ และรูปแบบการ
ดำเนินธุรกิจได้
ในเวลาเดียวกันก็เปิดกว้างต่อการเข้าถึงและครอบครองปัจจัยการผลิตด้วย
สิทธิ เกษตรกร (Farmers' Rights) ที่กำลังจะถูกปฏิบัติการจริงใน
พ.ร.บ.สภาเกษตรกรจะสร้างสรรค์ความสามารถด้านการแข่งขันในตลาดโลกและพึ่ง
พิง ตนเองและพึ่งพาซึ่งกันตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงได้
ด้วยเกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงสิทธิในการครอบครองเป็นเจ้าของปัจจัยการ
ผลิต 'เมล็ด
พันธุ์' อย่างมั่นคง ตลอดจนมีทักษะบริหารจัดการด้านการผลิต ต้นทุน และการตลาด
ทั้งนี้ การขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจพอเพียงในภาคเกษตรและพัฒนาคุณภาพชีวิตอยู่ดีมีสุข
ของเกษตรกร จำต้องพัฒนาทักษะความรู้ทั้งเกษตรเชิง
พาณิชย์และดำรงชีพ พร้อมกับเสริมสร้างการมีส่วนร่วมและจัดตั้งรูปแบบต่างๆ
ให้สามารถพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนจากการเข้าถึงที่ดิน น้ำ
และเมล็ดพันธุ์
เพราะเฉพาะข้าว ชาวนาไทยใช่ปรารถนาแค่ที่ดินและระบบชลประทานที่ดี
หากยังต้องการใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีราว 540,000 ตัน/ปีด้วย แต่กระนั้น
ปัจจุบันทั้งภาครัฐและเอกชนกลับผลิตได้เพียง 180,000 ตัน/ปี
จนเกิดภาวะขาดแคลนเมล็ดพันธุ์
อีกทั้งภาคเอกชนส่วนใหญ่ยังจำหน่ายเมล็ดพันธุ์ด้อย
คุณภาพหรือปลอมปนเพราะขาด ระบบควบคุมคุณภาพและหวังกำไรจากความไม่เท่าทัน
กอปรกับชาวนาส่วนใหญ่ไม่คำนึงถึงผลดีของการใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดี
หรือถึงคำนึงก็ไม่มีทางเลือกอื่นเพราะถูกจองจำไว้ด้วยสัญญาบริษัท
อุตสาหกรรม เกษตรที่มาพร้อมกับโฆษณาชวนเชื่อ (Propaganda)
ลวงหลอกคุณภาพเกินจริง
การใช้ชาวนาเป็นหนูทดลองคุณภาพพันธุ์พืชที่ยังไม่นิ่ง และ
การบังคับซื้อพ่วง (Tie-in-sale)
ซื้อปุ๋ยเคมีและยาฆ่าแมลงก็ต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ของบริษัทนั้นๆ ด้วย
ครั้นหวนหาเมล็ดพันธุ์พื้นบ้าน ต่างก็สาบสูญ
หรือเหลือไม่เพียงพอเพาะปลูก
รวมถึงขาดการส่งต่อภูมิปัญญาบรรพบุรุษเพราะถูกปฏิวัติเขียวกลืนกินเกือบ
เกลี้ยงความหลากหลายทางพันธุกรรม
ไม่เหมือนอดีตที่ครัวเรือนเกษตรกรจะคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ดี (Good
Seed) ไว้ทำพันธุ์
ด้วยการปันผลผลิตส่วนหนึ่งไว้ในกระพ้อมเพื่อเก็บไว้เพาะปลูกฤดู
กาลถัดไป หรือไม่ก็ใช้เมล็ดพันธุ์อินทรีย์ที่ได้จากกระบวนการจัดการแบบเกษตรอินทรีย์
ที่เน้นองค์รวมและเกื้อหนุนระบบนิเวศ เช่น บวบก็ตากแดด 2-3 วัน ถั่ว
ข้าวโพดก็แขวนผึ่งลมห้ามโดนแดด พริก มะเขือ
มะระก็นำเมล็ดไปล้างแล้วผึ่งแดดจนแห้ง ขณะมะเขือเทศ มะละกอ แตงกวา
ก็ขูดเมล็ดแล้วหมักไว้ 1-2 คืน
ล้างน้ำ และตากแดดให้แห้งสนิท
ฉะนั้น การกระจายเมล็ดพันธุ์คุณภาพที่ทั่วถึงต่อเนื่องจึงต้องกระทำควบคู่กับยกระ
ดับสิทธิเกษตรกรอย่างเข้มข้น โดยใช้ พ.ร.บ.สภาเกษตรกรเป็นคาน
งัดสำคัญในการเข้าถึงสิทธิเมล็ดพันธุ์ทั้งประเภท เมล็ดพันธุ์หลัก
(Foundation Seed) เมล็ดพันธุ์ขยาย (Stock Seed) และเมล็ดพันธุ์จำหน่าย
(Certified
Seed) ตามความเหมาะสมบนฐานคติว่าเป็นสมบัติร่วมกันของมนุษยชาติ
เพื่อสุดท้ายทลายวงจรชีวิตเกษตรกรไทยไม่ให้ตกห้วงเหวหนี้สินจากการซื้อหา
เมล็ดพันธุ์ที่ถูกผูกขาดและแสนแพง
กระบวนการคู่ขนาน (Dual Track Process)
ที่ต้องกระทำก็คือสืบสานองค์ความรู้เรื่องเมล็ดพันธุ์ท้องถิ่นที่สั่งสมใน
ผู้เฒ่าผู้แก่ ปราชญ์ชาวบ้าน
เกษตรกรกระแสรอง โดยอิงแนวนโยบายด้านที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม มาตรา 85(1)
ที่คำนึงถึงการมีส่วนร่วมของวิถีชีวิตของชุมชนท้องถิ่น
และอนุสัญญาว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพ (Convention on Biological
Diversity: CBD) ที่มุ่งอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ความหลากหลายทาง
ชีวภาพอย่างยั่งยืน
และเพื่อแบ่งปันผลประโยชน์ที่ได้จากการใช้ทรัพยากรพันธุกรรมอย่างเท่าเทียม
ยุติธรรม ที่ไทยเป็นภาคีสมาชิกอยู่
ปฏิบัติการเข้าถึงเมล็ดพันธุ์จักแข็งแกร่งในสังคมทุนนิยมได้ก็ต่อ
เมื่อปลดพันธนาการเมล็ดพันธุ์ด้วยเครื่องมือที่มีความเป็นสากลอย่างความหลาก
หลายทางชีวภาพ สิทธิชุมชน และสิทธิเกษตรกร
กระนั้น ความหวังเป็นศูนย์กลางการผลิตและกระจายเมล็ดพันธุ์แห่งภูมิภาคก็ยังดำรงอยู่
เฉกเช่นเดียวกับสิทธิของบริษัทปรับปรุงพันธุ์ที่วิจัยพัฒนา (R &
D) คุณภาพเมล็ดพันธุ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดก็ยังมี
แต่ทั้งสองต้องไม่มากล้นจนกุมชะตาชีวิตเกษตรกรว่าจะหายนะหรือไม่
ไม่ใช่คิดจะ
ขึ้นราคาเมล็ดพันธุ์ก็ขึ้นจนเกษตรกรแบกรับต้นทุนไม่ไหว
หรือใช้ไทยเป็นฐานผลิตเมล็ดพันธุ์ แล้วส่งคืนเจ้าของสิทธิบัตร
ก่อนนำเมล็ดพันธุ์ราคาแพงกลับ
เข้ามาขายเกษตรกรไทย
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การพัฒนาเมล็ดพันธุ์จะจีรังมั่งคั่งอย่างไรได้
ถ้าไม่สนับสนุนเกษตรกรรายย่อยไทยให้เข้าถึงและครอบครองเมล็ดพันธุ์ได้มั่นคง
เพราะ
ไม่เพียงจะไม่มีเกษตรกรหน้าใหม่เข้ามาในระบบด้วยเห็นฉากตอนหนี้สินถั่ง
โถมบรรพบุรุษจนกลัวตกเป็นทาสในเรือนเบี้ยของบรรษัทเกษตรกรรมเท่านั้น ทว่า
ระยะยาวประเทศชาติจะสูญเสียบุคลากรการเกษตรที่มีทักษะความรู้ด้วยไร้ผู้ รับไม้ต่อ
ถึงสร้างทดแทน
แต่ก็ไม่อาจพ้นเพื่อรองรับการเกษตรเชิงเดี่ยวและเกษตรพันธสัญญา
เพราะถึงวันนั้นก็ไม่หลงเหลือความหลากหลายทางพันธุกรรมพืชที่
เกษตรกรรายย่อย ไทยเข้าถึงได้แล้ว
ไม่เท่านั้น
สิทธิเกษตรกรด้านเมล็ดพันธุ์ยังสัมพันธ์กับอธิปไตยอาหาร (Food
Sovereignty) ที่ประดุจทางเลือกของความมั่นคงอาหาร (Food Security)
อันเป็นปัจจัยกำหนดความอดอยากของประชากรโลกอีกต่อหนึ่ง
ด้วยถึงที่สุดถ้าเกษตรกรไม่มีเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีเพาะปลูก
จะเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ธัญญาหาร
จากที่ใด หรือกำไรในความหิวโหยหอมหวานเกินกว่าสายตาขอบคุณของผู้ขาดแคลน
การ ปลด 'เมล็ดพัน (ธุ์) ธนาการ'
ด้วยการเสริมสร้างสิทธิเกษตรกรให้เข้าถึงและครอบครองเมล็ดพันธุ์อันเป็น
สมบัติร่วมกันของมวลมนุษย์อย่างยั่งยืน
มั่นคงจึงเป็นความหวังมลังเมลืองทั้ง
กับเกษตรกรและประชากรทั่วทั้งโลกที่จะหลุดพ้นหนี้สินและความหิวโหย.
มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) www.thainhf.org
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น