++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ใคร? ทำให้สูญเสียทุกอย่าง แก้ไขเหตุวิกฤตชาติไม่ได้

โดย ดร.ป. เพชรอริยะ
ทำไมรัฐบาล ไม่เสนอหลักการปกครองโดยธรรม หรือเสนอระบอบโดยธรรม
รัฐบาลเริ่มทันที ก็เกิดความถูกต้องขึ้นมาทันที จากนั้นจึงค่อยมาคิดแก้ไข
ปรับปรุงรัฐธรรมนูญให้สอดคล้องกับหลักการปกครองโดยธรรม
เท่ากับว่ารัฐบาลได้เปลี่ยนทัศนะที่ถูกต้องเพื่อประโยชน์ของชาติอย่างยิ่ง
ใหญ่ แต่ยากเย็นเหลือเกิน

รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ
โดยมีความมุ่งหวังว่าแนวทางเหล่านี้จะทำให้เกิดความสามัคคี ยุติปัญหา
ความขัดแย้งในบ้านเมือง เราเคยบอกเตือนนับแต่แรกแล้วว่า แค่คิดก็ผิดแล้ว
เมื่อลงมือทำ ก็ทำผิด อีกเช่นเคย

ผลที่สรุปออกมา เราฟันธงเลยว่า สูญเสียทุกอย่าง ทั้งเงิน เวลา
ทั้งเพิ่มปัญหาให้กับประเทศชาติ มันกลายเป็นเรื่องของความเห็นแก่ตัว
เอาแต่ได้ มันเป็นผลประโยชน์ของพวกนักการเมืองล้วนๆ
ไม่เกี่ยวกับปัญหาของประเทศชาติและประชาชนเลย
และไม่ใช่หนทางที่จะแก้ไขปัญหาเหตุวิกฤตชาติได้ ท่านนายกฯ ฟังไว้เถิด

แนวทางที่คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ เป็นแนวทางลัทธิกฎหมายรัฐธรรมนูญ
อันเป็นลัทธิเผด็จการชนิดหนึ่ง อันเป็นแนวทางแห่งความเห็นผิด
สร้างความหายนะ ล้มเหลวมาแล้วถึง 77 ปี ผิดมาแล้วอย่างซ้ำซาก
พวกเขาไม่เคยฉุกคิดกันเลย จมปลักดักดานอยู่กับลัทธิรัฐธรรมนูญ

คิดง่ายๆ หากว่า แนว ทางร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย
หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย ได้จริง ป่านนี้
ประเทศไทยไม่ต้องมีรัฐธรรมนูญมากถึง 18 ฉบับหรอก จริงไหมครับพี่น้อง
ส่วนแนวทางที่ถูกต้อง อยู่ช่วงท้ายของบทความ

นายดิเรก ถึงฝั่ง ส. ว. นนทบุรี
ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐ
ธรรมนูญ ให้มีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550
ในบางประเด็นและบางมาตราเป็นการเร่งด่วนเฉพาะหน้า เพื่อลดความขัด
แย้งในบ้านเมือง นำไปสู่การสร้างความสมานฉันท์และปฏิรูปการเมือง 6
ประเด็น คือ

1. มาตรา 237 ประเด็นการยุบพรรคการเมือง
และเพิกถอนสิทธิการเลือกตั้งของหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรค
โดยแก้ไขให้ยกเลิกการยุบพรรค
แต่ให้คงการเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งสำหรับผู้สมัครที่กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ประเด็นนี้ ผู้รักความเป็นธรรม ไม่มีใครยอมรับได้หรอก
เพราะเป็นประโยชน์ของพวกนักการเมือง ความในใจของนักการเมือง คือ
ต้องการซื้อเสียงแล้วถอนทุน นี่เอง

2. มาตรา 93 ถึง 98 ที่มาของ ส.ส. แก้ไขให้มี ส.ส. 500 คน
มาจากการเลือกตั้งเขตเดียวเบอร์เดียว 400 คน แบบบัญชีรายชื่อ 100 คน

นี่ก็เป็นแบบเดียวกับรัฐธรรมนูญปี 2540 การมี ส.ส. 500 คน
มันมากเกินไปสำหรับประเทศไทย เปลืองงบประมาณ ส่วนการเลือกตั้งเขตเดียว
เบอร์เดียว ก็เอื้ออำนวยให้นักธุรกิจการเมืองให้ได้รับการเลือกตั้ง
แบบบัญชีรายชื่อ ก็คือกลุ่มนายทุนพรรค หรือเป็นนายทาส

3. มาตรา 111 ถึง 121 ประเด็นที่มาของ ส.ว. โดยแก้ไขให้ ส.ว.
มาจากการเลือกตั้ง 200 คน นี่ก็เป็นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 ลองคิดดู ถ้า
ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง แล้วจะมี ส.ว. ไปทำไม มี ส.ส. อย่างเดียว
ก็หมดเรื่อง การที่มี ส.ว.
เพื่อให้มีผู้แทนทุกสาขาอาชีพที่ชำนาญการอย่างเป็นสัดส่วน หาก ส.ว.
มาจากการเลือกตั้ง ผู้แทนอาชีพก็ไม่มี ความเป็นธรรมก็ไม่เกิด ก็จะได้แต่
ส.ว. ที่เป็นทาสน้ำเงินของนักการเมืองใหญ่ อย่างที่ผ่านมา
เป็นอันตรายต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

4. มาตรา 190 ประเด็น
การทำหนังสือสัญญากับต่างประเทศที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา
ให้คงไว้ แต่ให้กำหนดประเภทหนังสือสัญญาให้ชัดเจนขึ้นว่าแบบไหนควรให้สภาเห็นชอบบ้าง

ท่านทั้งหลายก็เคยเห็นตัวอย่างที่เลว สมัย นายนพดล ปัทมะ
เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ไปแอบซุบซิบทำสัญญาลับๆ กับเขมร
เพื่อแลกกับประโยชน์ของนายใหญ่ในทางธุรกิจ
ประโยชน์ของชาติและประชาชนเสียหายอย่างร้ายแรง จนถึงทุกวันนี้

5. มาตรา 265 ประเด็นการดำรงตำแหน่งทางการเมืองของ ส.ส. แก้ไขให้
ส.ส. ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ เช่น เป็นเลขานุการรัฐมนตรีได้

อันนี้ เพื่อหาช่องทางคอร์รัปชันได้ เพื่อถอนทุน
และหาเงินเข้าพรรค ใครๆ ก็รู้ทัน

6. มาตรา 266 ประเด็นการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนให้กับประชาชนของ
ส.ส. และ ส.ว. โดยแก้ไขให้ตัดวรรคหนึ่งออก เพื่อให้ ส.ส. และ ส.ว.
สามารถช่วยเหลือประชาชน ผ่านราชการได้

อันนี้ เพื่อแทรกแซงราชการ และหาเสียงโดยใช้งบประมาณของรัฐ
เอาเปรียบกันเหลือเกิน

นอก จากนี้ คณะกรรมการฯ ยังได้เสนอแนะแนวทางการดำเนินงานระยะสั้น
1 ปี ระยะกลาง 3 ปี และระยะยาว 5 ปี และมีแนวทางการดำเนินการ
ระยะเร่งด่วน คือ ผลักดัน
การคืนสิทธิและความชอบธรรมให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการบังคับใช้รัฐธรรมนูญ
และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น
กรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคและถูกตัดสิทธิเลือกตั้ง

สรุปแล้ว แนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ คล้ายจะปูทางให้ทักษิณ
ปูทางให้นักการเมืองชั่วนั่นเอง ไม่ใช่หนทางที่จะนำ
ไปสู่การแก้ไขเหตุวิกฤตชาติได้ ขอเอาชีวิตเป็นเดิมพัน

แนวทางแก้ไขเหตุวิกฤตชาติ เราให้ปัญญาที่แท้จริง
รัฐบาลควรจะรับฟัง และนำไปปฏิบัติ

สภาพการณ์ที่แท้จริงของการเมืองไทย
จมปลักอยู่กับการเห็นผิดมาตลอดยาวนานถึง 77 ปี คือ หลงผิดอย่างร้ายแรง
แก้ไขยากเหลือเกิน คือ

1) เห็นว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย แท้จริงรัฐธรรมนูญ คือ
กฎหมายที่รักษา หรือสะท้อนความเป็นระบอบฯ หรือหลักการปกครองโดยธรรม
ในความเป็นจริง 77 ปี ไทยเราไม่เคยคิดสร้างระบอบ
หรือสถาปนาหลักการปกครองโดยธรรมเลยแม้แต่ครั้งเดียว มีแต่ร่าง
สร้างรัฐธรรมนูญกันเพียงอย่างเดียว มันจึงไม่สมบูรณ์ สมดังอุปมาเหล่านี้
คือ ระบบสุริยะ มีแต่ดาวเคราะห์ ไม่มีดวงอาทิตย์,
เครื่องยนต์ที่ถอดกองอยู่อย่างระเกะระกะ, ว่าวขาด,
ชิงช้าสวรรค์ที่ไร้แกนกลาง, ดอกไม้ระเกะระกะ,
บุคคลไร้จุดมุ่งหมายดุจพายเรือในอ่างน้ำ,
ชาวพุทธที่ไม่มีพระรัตนตรัยอยู่ในใจ, ห้องเรียนที่ไม่มีครู,
ประเทศที่ไม่มีประมุข, เซลล์ที่ไม่มีนิวเคลียส ฯลฯ
ดังนี้แล้วจะดำรงอยู่อย่างมั่นคงได้อย่างไร

2) เห็นระบบรัฐสภา เป็นระบอบประชาธิปไตย แท้จริงระบบรัฐสภา
เป็นเพียงรูปแบบการปกครอง (Form of Government)
และเป็นวิธีการปกครองชนิดหนึ่ง
ซึ่งต่างจากระบบประธานาธิบดีแบบประเทศอเมริกา
และระบบกึ่ง-ประธานาธิบดีแบบประเทศฝรั่งเศส

3) เห็นพระมหากษัตริย์เป็นประมุขของระบอบฯ ดังเช่น
นักการเมืองพูดกันบ่อยเหลือเกินว่า
"การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ซึ่งเป็นการบัญญัติและพูดผิดอย่างร้ายแรงทั้งทางรัฐศาสตร์
และทางอักษรศาสตร์ และเป็นการยกพระมหากษัตริย์
ให้เป็นประมุขระบอบการเมืองที่มิจฉาทิฐิ เป็นการลดทอน บ่อนทำลาย
สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวก็ตาม
เป็นการลิดรอนพระบรมเดชานุภาพให้ต่ำลง
แท้จริงพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขแห่งรัฐ หรือแห่งราชอาณาจักรไทย
โปรดเข้าใจให้ถูกต้องด้วยครับ

4) เห็นการเลือกตั้งเป็นประชาธิปไตย
ทุกประเทศในโลกส่วนใหญ่มีการเลือกตั้ง
แต่ไม่ได้หมายถึงว่าเป็นระบอบประชาธิปไตยเสมอไป
แท้จริงการเลือกตั้งเป็นเพียงวิธีการขึ้นสู่อำนาจทางการเมืองอย่างปกติทั่วไป
จึงไม่ใช่ระบอบฯ ตัวระบอบฯ จริงๆ ก็คือหลักการปกครองนั่นเอง

ผู้มีอำนาจอย่างมีปัญญาและเห็นมองเห็นเหตุวิกฤตชาติ
ปัญญาเกิดจากไหน เกิดจากตนเอง เกิดจากการรับฟังผู้รู้ รับข้อคิดโดยธรรม
และก่อนอื่นสิ่งใดทั้งหมดในสภาพการณ์ของประเทศไทยในขณะนี้ คือ
ต้องสร้างหลักการปกครองโดยธรรม ก่อนการสร้าง หรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยมีหลักและวิธีคิดง่ายแสนง่าย แต่ยิ่งใหญ่ โดยย่อ ดังนี้

พระอาทิตย์ ย่อมเป็นเหตุของดาวเคราะห์ หรือดวงอาทิตย์มาก่อนดาวเคราะห์

จุดมุ่งหมาย ย่อมเป็นเหตุของวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย
หรือจุดมุ่งหมายต้องมาก่อนเสมอไป

ยุทธศาสตร์ ย่อมเป็นเหตุของยุทธวิธี
หรือยุทธศาสตร์ต้องมาก่อนยุทธวิธีเสมอไป แต่ผู้นำกองทัพไทยก็ไม่รู้
เพราะยังสนับสนุนการร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างมิจฉาทิฐิ อย่างเห็นผิด
ทำผิดอยู่เช่นเดิมทุกครั้งไป

ธรรม ย่อมเป็นเหตุของการเมืองที่แท้จริง หรือมาก่อนการเมืองเสมอไป

การเมือง ย่อมเป็นเหตุของวิชารัฐศาสตร์ หรือการเมืองต้องมาก่อนรัฐศาสตร์

รัฐศาสตร์ ย่อมเป็นเหตุของนิติศาสตร์ (กฎหมาย)
หรือรัฐศาสตร์ต้องมากก่อนกฎหมาย

หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นเหตุของวิธีการปกครอง
หรือหลักการปกครองฯ ต้องมาก่อนวิธีการปกครองเสมอไป ฯลฯ

ดังนี้ หลักการปกครองฯ ย่อมเป็นเหตุของรัฐธรรมนูญ หรือ
หลักการปกครองต้องมาก่อนรัฐธรรมนูญ นั่นเอง แต่ทำผิดมาแล้วยาวนานถึง 77
ปี ไม่เปลี่ยนทัศนะ ประเทศชาติต้องหายนะต่อไป ผู้มีปัญญาย่อมเปลี่ยนทัศนะ
ไปสู่ความถูกต้องยิ่งใหญ่ของชาติและประชาชน


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081867

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น