Theขี้ฝุ่นริมทาง
วันเสาร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2553
บางลำพูยังรำไพ (๒-ตอนจบ)
ฉุ่ย มาลี
... แต่ถึงบางลำพูตะรำไพ
ก็ไม่รำไพเหมือนก่อน เนื่องจากไม่มีทั้งโรงหนังและโรงลิเก
ค่ำลงพอสามสี่ทุ่มก็เริ่มเงียบเหงา ไม่คึกคักเหมือนสมัยที่ยังมีโรงมหรสพ
ร้านกาแฟแบบไอ้แซที่อยู่ฝั่งตรงข้ามสมใจนึกหรือร้านกาแฟใต้ถุนโรงแรมดังเล่าแต่ต้น
เคยเปิดให้คนกลางคืนนั่งจนตีสองตีสามก็ไม่มี
บางลำพูจึงเหมือนกับยังสวยแต่ว่าขาดเสน่ห์
ชุนชนไหนก็ตามถ้าขาดมหรสพเสียแล้วจะหมดความครึกครื้น
เมื่อก่อนบางลำพูเป็นแหล่งหาความบันเทิงระดับชาวบ้าน
ทั้งคนรุ่นใหม่และคนรุ่นเก่า หนังโปรแกรมไหนดีๆ
คนจะไปรอกันหน้าห้องขายตั๋วแน่นขนัด ตอนนั้นยังไม่มีการเข้าคิว
ใครแย่งได้แย่งเอา
พอช่องขายตั๋วเปิดต้องอาศัยความไวและความแข็งแกร่งเสือกกำปั้นที่กำสตางค์พรวดเข้าไปทันที
ไอ้รูขายตั๋วหรือมันก็เล็กอยู่แล้ว
หนำซ้ำมือที่ยัดเข้าไปไม่รู้กี่มือต่อกี่มือ รูไม่พังหรอกครับ
แต่มือมันจะพัง ทำไงได้ต้องทนเอา ยากดูยากได้ที่นั่งดีๆ นี่
ลำบากตอนยัดมือเข้าแล้วยังลำบากตอนเอามือออกอีก
พอจะดึงออกไอ้มือหลังก็พยายามแทรกเข้าไป บางคนเอาออกไม่ได้ร้องจ๊ากๆๆๆ
ขอทางอย่างน่าสงสาร ไอ้ที่ร้ายกว่านั้น
คนที่ไม่ทันใจดันเสือกปีนขึ้นไปลอยอยู่บนหัวคนอื่นที่แย่งกันซื้อตั๋วแล้วยื่นมือเสือกเข้าไปในช่อง
ไม่รู้มันขึ้นไปลอยอยู่บนหัวคนอื่นได้ยังไง ไม่มีมารยาทซะเลย
ได้ตั๋วแล้วยังต้องมาแย่งกันเข้าไปในโรงอีกนะ
เพราะกว่าจะเปิดให้คนเข้าต้องก่อนลงมือฉายราวๆครึ่งชั่วโมง
เฉพาะชั้นต่ำสุดจะเป็นเก้าอี้ยาวๆ ประมาณ ๗-๘ แถว ต้องแย่งกันเข้า
เพื่อจะได้นั่งแถวหลัง
ใครเข้าทีหลังจะต้องนั่งม้ายาวหน้าสุดเวลาดูแทบจะต้องแหงนคอดู ดังนั้น
ตอนดันเข้าประตูที่เปิดออกเพียงบานเดียว
มีคนเก็บตั๋วคอยดันคนเข้าฟรีไม่มีตั๋วจึงต้องใช้กำลังสุดเหวี่ยง
ประกอบกับเสียงตะโกนแลบด้วยเสียงด่า บางทีพ่อหลุดเข้าไปได้
ไอ้ลูกชายยืนว๊ากๆๆติดอยู่ที่หน้าประตู
แม่บางคนเบียดแย่งเข้าไปนั่งที่หลังสุดอย่างดิบดี
ถึงเพิ่งนึกได้ว่าลืมลูกเอาไว้ข้างนอก...
เนื่องจากที่นั่งชั้นต่ำสุดมีจำกัดจึงต้องเป็นเช่นนี้ทุกรอบ
บางรอบ
เบียดกันแทบตายทั้งคนดูที่ดันและคนเฝ้าประตูที่กัน ออกแรงกันจนเหนื่อย
พอคนเข้าหมดจนไม่มีใครอีกแล้ว
ถึงได้เห็นว่าเก้าอี้หลังแถวเดียวคนยังนั่งไม่เต็ม
เหลือที่อีกบานเบอะ..เบียดกันเกือบตายกว่าจะเข้ามาได้
บางลำพูเดี๋ยวนี้กำลังเปลี่ยนแปลงไปสู่ความใหม่อย่างรวดเร็ว
ของเก่าๆนอกเขตบางลำพูไม่มีเหลือ
แม้แต่ร้านเหล้ายาอย่างท้งบางลำพูก็ไม่รู้หายไปไหน
ป๋าทุมที่ถนนตะนาวกลายเป็นร้านขายไอศครีม
ยาดองบ้านหม้อเมื่อก่อนสองคูหาอยู่ริมถนนหลบให้ร้านขายเพชรตัวเองไปอยู่ร้านเล็กๆในตรอก
แต่เดี๋ยวนี้หลบให้ร้านขายพวกเครื่องอาหลั่ยเทคโนโลยี่ตัวเองไม่รู้หลบไปอยู่ที่ไหน
เหลือท่าช้างอีกร้านก็ไม่มีที่นั่ง ต้องยืนเอา
พวกเราเรียกกันว่าร้านยาดองจิ้มดูด เพราะจะมีเกลือป่นวางไว้หนึ่งจาน
พอกินยาดองกรุ๊ปก็เอานิ้วจิ้มเกลือดูดจ๊วบจอกหนึ่ง ห้าบาทเล็กนิดเดียว
คออย่างผมกินสิบจอกก็ไม่เมา
อันที่จริงเหล้าแบบนี้เขากินกันเป็นยาทีละกรุ๊บสองกรุ๊บพอ
แต่พวกเรามันกินกันเอาเมากินกันทีละขวดครึ่งขวด
ไม่ได้กินเป็นยาเพื่อรักษาเนื้อรักษาตัว
มันกินเกินยาทำนองนอกเหนือคำสั่งแพทย์
เขียนถึงเรื่องบางลำพูยังรำไพ
ไหงกลายมาเป็นเรื่องยาดองไปได้เล่า..เอาเหอะน่า
ถึงไงผมก็ยังเป็นคนบางลำพูรุ่นเก่า พอโม้กะเขาได้บ้างหรอกน่าว่า
รู้จักบางลำพูมานมนานกาเลแล้ว
ที่มา ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗
 
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น