++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2553

อารมณ์ขันในดนตรีและศาสนา (๓-ตอนจบ)

วิลาศ มณีวัต

            ท่านอาจารย์จวนนั้น ท่านเทศน์เป็นแบบคลาสสิค แปลพระคัมภีร์มาเทศน์กันเลย แต่สำหรับชาวบ้าน ท่านเล็งเห็นว่า ปัญญาไม่ถึง คงจะรับไม่ได้ ท่านก็มีเรื่องขันๆ มาเทศน์ให้ฟัง กัณฑ์ที่ป็อบปูล่าที่สุดของท่าน ซึ่งชาวบ้านแถวภูทอกยังเล่าให้ลูกหลานฟังต่อๆกันมาจนถึงปัจจุบัน ก็คือ เทศนาว่าด้วยเรื่องหมาขี้เรื้อนของท่าน

            นิทานเรื่องหมาขี้เรื้อนที่ท่านเล่าให้ชาวบ้านฟังมีดังนี้
            "กาลครั้งหนึ่ง ยังมีหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่ง มันเป็นขี้เรื้อนเต็มตัวของมัน มันคันขี้เรื้อนของมันทุกวัน และอยู่มาสมัยหนึ่งถึงฤดูหนาว เจ้าของหมาขี้เรื้อนไปก่อกองไฟไว้ข้างล่าง หวังจะผิงไฟแก้หนาว ครั้นลงไปผิงไฟในเวลาใด ก็เห็นแต่หมาขี้เรื้อนตัวนั้นนอนขวางอยู่หน้ากองไฟ ครึ่งหนึ่งอยู่เสมอ เพราะมันคันขี้เรื้อนของมัน เจ้าของเลยเอาดุ้นฟืนตีหมาขี้เรื้อนตัวนั้น ไล่ออกไปไม่ให้ขวางทาง หมาขี้เรื้อนถูกคนตีแล้วก็รู้สึกเจ็บปวดรำคาญ มันก็เลยคิดว่า บ๊ะ อะไรหนอ อยู่สูงกว่าโลกนี้ เฮาเป็นหมาขี้เรื้อนนี่ไม่ดีเลย ถูกคนตีทุกวัน มันเจ็บปวดรำคาญมาก มันก็เลยแหงนหน้าขึ้นดูบนท้องฟ้า  เห็นพระอาทิตย์อยู่สูงกว่าโลก หมาขี้เรื้อนตัวนั้นก็เลยคิดว่า บา...เรานี่ต่อไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ดีกว่าละโว้ย ..ว่างั้น พอคิดเช่นนั้น อยู่มาวันหนึ่ง ก็เลยตายไปแล้วไปเกิดเป็นพระอาทิตย์ ครั้นได้เป็นพระอาทิตย์แล้วก็เปล่งแสงส่องสว่างลงมาสู่โลกมนุษย์ จักรวาลมนุษย์ ท้าทายมนุษย์ว่า ...มึงมาซิ อวดเก่งมาซิ ..หมัก.หมัก-นุษย์ มนุษย์หมัก-หมามนุษย์ เขาว่ามึงจะตีกับกูหลายว่า อ้าว  มึงตีกูได้บ่อ กูอยู่สูงแล้ว กล้ามาตีกูอีกซี ท้าทายเช่นนั้นก็ไม่มีมนุษย์กล้ามาตอแยพระอาทิตย์ก็มีความสุขดีอยู่

            ต่อมาวันหนึ่ง มีขี้เมฆลอยมาบดบังแสงอาทิตย์เอาไว้ ทำให้มิดมิดปิดแสงสว่าง บ่ให้ส่องมาจักรวาลโลกมนุษย์ได้ พระอาทิตย์ก็เลยคิดว่า  อ้อ...ขี้เมฆดีกว่าเฮาโว้ย ปกปิดเฮาได้ ฮา เฮานี้สู้ขี้เมฆข่ได้โว้ย ว่างั้น เฮาอยู่สูงยังสู้ขี้เมฆบ่ได้โว้ย เฮานี้สู้ขี้เมฆไม่ได้ เฮาตายเป็นขี้เมฆเถอะโว้ย... ว่างั้น พอคิดดังนั้น ก็เลยเปลี่ยนสภาพจากพระอาทิตย์เป็นขี้เมฆ ครั้นได้เป็นขี้เมฆก็บดบังพระอาทิตย์อยู่อย่างนั้น

            อยู่มาวันหนึ่ง มีลมจำพวกหนึ่งพัดมากำจัดปัดเป่าขี้เมฆออกไปให้ทะลุสายตาจนไม่มีเหลือเลย ขี้เมฆเลยว่า เออ...เฮาเป็นขี้เมฆนึกว่าดี สามารถปิดบังแสงพระอาทิตย์ได้แล้ว ที่ไหนได้กลับสู้ลมไม่ได้ ลมนี่พัดเราให้กระจัดกระจายไปได้อีก ขี้เมฆเลยคิดว่า เฮามาเกิดเป็นลมเถอะโว้ย .. ปรารถนาดังนั้นก็เลยเปลี่ยนสภาพจากขี้เมฆมาเกิดเป็นลม ครั้นได้เกิดเป็นลมแล้ว ลมก็ไม่อยู่เฉย วิ่งไปพัดไป พัดไปพัดมาให้เมฆกระจายก็สนุกดี สุดท้ายพัดมาโดนที่จอมปลวกกลางทุ่งนา พัดเท่าไรๆ จอมปลวกก็อยู่นิ่งไม่ไหวไม่ขยับเขยื้อน ลมจึงมาคิดว่า เฮ้อ เราเป็นลมก็นึกว่าดี พัดขี้เมฆได้ ที่ไหนได้ กลับสู้จอมปลวกไม่ได้ สู้โพ้นไม่ได้เลย จอมปลวกนี่ดีกว่าเรา เราพัดไม่ติง เรามาเกิดเป็นจอมปลวกเถอะโว้ย คิดขอเปลี่ยนสภาพใหม่แล้วก็ได้เปลี่ยนจากลมมาเป็นจอมปลวก เป็นโพ้น  ครั้นได้เป็นโพ้นแล้ว ..เป็นจอมปลวกแล้วก็ตั้งอยู่กลางทุ่งนา เด่นอยู่หยั่งงั้น แล้วก็ท้าทายลมต่อไป  บักลมมึงเก่งจริง มาพัดกู พัดมาซี สู้ กูได้หรือวะ อยู่ต่อมาถึงฤดูฝน ฝนตกมากจอมปลวกก็ชื้นแฉะ เปียกไปด้วยน้ำฝน ชาวนาปล่อยควายบักตู้ใหญ่ออกมาในทุ่งนา ควายตู้มันบ่มีเขา พอมันได้ออกทุ่งมันก็วิ่งเล่นสนุก เห็นอะไรก็ชนดะ มาพบจอมปลวก ควายตู้ก็รี่เข้าชนเอาจอมปลวกต้องทลายราบลงไป โพ้นคือ จอมปลวก ก็มาคิดว่า เฮ้อ เฮาเป็นพระอาทิตย์ก็นึกว่าดีกว่ามนุษย์ เป็นขี้เมฆก็นึกว่าดีกว่าพระอาทิตย์ เป็นลมก็นึกว่าดีกว่าขี้เมฆ  เป็นโพ้นเป็นจอมปลวก ก็นึกว่าดีกว่าลม ดีสู้ ลมไม่ได้ ที่ไหนได้ สู้ควายบักตู้ไม่ได้เว้ย  ควายบักตู้ ยังดีกว่าเรา ชนเราได้ เฮาเปลี่ยนมาเกิดเป็นควายบักตู่ เถอะโว้ย

           
เมื่อเห็นควายบักตู้ดีกว่าตัว จอมปลวกก็เลยเปลี่ยนมาเป็นควายบักตู้ ครั้นได้เป็นควายบักตู้ใหญ่ขึ้นมาแล้ว คอมันขึ้น มันก็เห่า เห่าฮื้น เห็นโพนที่ไหนก็ลัดเล็งไปชน ชนโพนใส่ข้าวเขา โพนอยู่กลางข้าว กลางทุ่งนา เข้าไปชนโพนเต้า  โพนแตง โพนพริก โพนเขือ ไปชนโพนใส่ข้าวเขา เหยียบข้าวเขา กินข้าวเขาอยู่อย่างนั้น อ้ายตู้ใหญ่มันห้าว คอมันขึ้น ทีนี้เจ้าของข้าวก็มาร้องทุกข์กับเจ้าของควายว่า ป้าเอย ลุงเอย ลูกหลานเอย พ่อใหญ่ แม่ใหญ่เอย ผูกควายบักตู้ไม่ให้ปล่อยนะ ควายบักตู้เจ้ามันเป็นร้าน เป็นฮื้น ชนโพน ใส่ข้าว ใส่น้ำ ผูกไม่ให้ปล่อยนะ... ว่างี้

            ทีนี้ เจ้าของควายเมื่อได้ยินเจ้าของข้าว เขามาต่อว่าอย่างนั้น เขาก็เอาหนังสามเกลียวมาผูกคอควายตู้ ใส่หลักใส่ตอ อยู่กับต้นไม้อยู่อิ้งติ้ง ควายตู้จะดิ้นสักกะยงโคงเคง สักกะหย่องก่องแก่งอย่างไหนๆ หนังก็ไม่ขาด ควายตู้ก็เลยคิดว่า อ้อ เฮาเป็นควายตู้ ชนโพนมูลทลายทรายผง นึกว่าดี แต่ที่ไหนได้สู้หนังสามเกลียวเขาไม่ได้โว้ย หนังสามเกลียวเขาดีกว่าเรา  เห็นว่าหนังดีกว่าตัว จึงคิดอยากจะเป็นหนังบ้าง ทีนี้อยู่มาควายตู้ก็ตายลง  เจ้าของเขาจึงแล่เอาหนังมาเป็นริ้วๆ ควั่นเป็นหนังสามเกลียว เป็นหนังริ้ว เป็นหนังเส้น แล้วก็เอาไปผูกควายตู้ไว้ ควายตู้สู้เฮาบ่ได้ เฮาล่ามเจ้าไว้ หนังก็นึกกระหยิ่มลำพองอยู่อย่างนั้น อยู่มาหนังนั้นถูกฝนมันก็ส่งกลิ่น มีกลิ่นอันเหม็น อันเน่า อันหืน แล้วก็ส่งกลิ่นไปไกล ทีนี้หมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งมันได้กลิ่น หนังเน่า ซึ่งเป็นอาหารของมัน มันก็สืบเสาะแสวงหาตามกลิ่นนั้นมา ครั้นพบแล้วเจ้าหมาขี้เรื้อนตัวนั้น มันก็แทะหนังจะกัดกินเป็นอาหาร หนังก็เลยมาคิดว่า  เฮ้อ เฮาเป็นหนังผูกคอควายตู้อยู่ นึกว่าดี ที่ไหนได้กลับสู้หมาขี้เรื้อนไม่ได้โว้ย หมาขี้เรื้อนนี่ดีกว่าเฮา มากินเฮาได้ เฮาเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนดีกว่า

   
        มันอยากจะเกิดเป็นหมาขี้เรื้อน เพราะมันจำชาติเดิมเริ่มแรกไม่ได้เลย กิเลส ตัณหา มันห่อหุ้มอยู่หนาแน่น เห็นว่า หมาขี้เรื้อนดีกว่าตัว เพราะกินตัวได้ จึงคิดอยากจะเกิดเป็นหมาขี้เรื้อนบ้าง และก้ได้กลับมาเกิดเปลี่ยนสภาพเป็นหมาขี้เรื้อนอีกครั้งหนึ่ง มาเกิดเป็นหาขี้เรื้อนเช่นเก่า ...ลงบ่อนเก่านี่ละ

            นี่ละเพิ่นว่า กิเลสวัฏ  กัมมวัฏ มันวัฏฏไปวัฏฏมา แวดไปแวดมา วนไปวนมา เวียนมา จึงเรียกว่ากิเลสวัฏ กัมมวัฏ เป็นตัวเหตุตัวปัจจัย พัดสัตว์ทั้งหลายให้เที่ยวเกิด แก่ เจ็บ ตาย... คิดตามกิเลส ตัณหา คิดไปเท่าใดๆ ว่า ไอ้นั่นที่ดี ไอ้นี่ที่ดี มันก็พอเก่านั่นละ เพราะกิเลสเป็นของร้อน คิดไปแล้ว บ่ดีดอก ลงมาบ่อนเก่านั่นละ พึงเข้าใจ

            พี่ป้าน้าอาเต็มศาลาวันนั้น ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ต่างพอใจในอารมณ์ขันจากนิทานเรื่องหมาขี้เรื้อนของท่านอาจารย์จวน

           

ที่มา  ต่วยตูน เดือนมีนาคม ๒๕๓๑ ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๗ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น