|
คุณ Kelly กล่าวตอบว่า “ไม่ใช่มันเป็นเรื่องของคุณ มันเป็นการต่อสู้ระหว่างพระเจ้า กับซาตาน” ถ้าจะช่วยกันวิเคราะห์จะได้รับเรียนรู้อะไรได้บ้าง?
สิ่งที่น่าจะเรียนรู้ได้คือ....
1.คนไทยไม่เข้าใจว่าก ารเมืองนั้นเกี่ยวข้องกับชีวิตทุกชีวิต ของคนทั้งประเทศ.
2.คนไทยส่วนใหญ่ขาดความรู้เรื่องสิทธิ-หน้าที่ของตน.
3.คนไทยขาดการคิด พิจารณา ถึงประเด็นของปัญหาที่แท้จริงของการประท้วง จึงไม่ใส่ใจและอยู่นิ่งไม่มีการตัดสินใจไดๆ จึงปล่อยทิ้งให้คนที่รู้เรื่อง และเข้าใจปัญหา ต้องทนลำบาก ประท้วงอยู่อย่างทนทุกข์ทรมาน.
4.นักการเมืองในประเทศที่เจริญแล้ว เขากลัวการประท้วง เพราะประชาชนของเขาตื่นตัวต่อข่าวสาร และคิดพิจารณาต่อประเด็นการประท้วง เขาไม่หลับหู หลับตา ด้วยความขลาดเขลา หรือความเป็นกลาง ที่มีกระบวนการข่าวสารสร้างขึ้น ภายใต้การจัดตั้งของนักการเมือง.
5.นักการเมืองจะมีอำนาจน้อยลง ถ้าประชาชนมีการตื่นตัว ต่อการกระทำของนักการเมือง และมีการประท้วง.
6.สถานการณ์ทางการเมืองจะดีขึ้น เป็นประโยชน์มากขึ้นกับประชาชน ถ้านักการเมืองจะต้องมีสัจจะ ต่อประชาชน และถูกควบคุมด้วยการประท้วง.
7.เครื่องมือที่การเมืองไทยขาดหายคือแนวทางนโยบายในการบริหารจัดการประเทศ ที่เป็นสัญญาประชาคม ข้อตกลงร่วมกันระหว่างนักการเมือง และประชาชน ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นประเด็นในการที่ประชาชน จะใช้เพื่อการควบคุมผู้บริหารรัฐ และเสริมสร้างอำนาจในการชุมนุมประท้วง.
8.ขอตั้งข้อสังเกตระบบการเมืองไทย พัฒนาได้แต่รูปแบบเชิงประจักษ์ แต่เราไม่สามารถพัฒนาสาระในทางการเมืองซึ่งเป็นธรรม ที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงกับประชาชน.
9.ขอตั้งข้อสังเกตทำไมอธิการบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงไม่เข้าใจถึงความจริง ที่นักศึกษาจะได้ในระดับภาคปฎิบัติ ที่มีความลุ่มลึก สร้างสรรค์กว่าคัมภีร์ ที่ท่องจำแต่ขาดความรู้และความเข้าใจ ตกและขังตนเอง และขังสติปัญญาของชาติเอาไว้กับโลกของสมมุติ ของการศึกษาที่เป็นอยู่. ขอสรุปว่าการเมืองใหม่ทำได้งายนิดเดียวเพียงแต่ประชาชน ทั้งชาติตื่นขึ้น ตื่นตัว ต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองเท่านั้น กระบวนการ และวิธีการมันจะเกิดขึ้นเอง
7.เครื่องมือที่การเมืองไทยขาดหายคือแนวทางนโยบายในการบริหารจัดการประเทศ ที่เป็นสัญญาประชาคม ข้อตกลงร่วมกันระหว่างนักการเมือง และประชาชน ซึ่งจะพัฒนาไปเป็นประเด็นในการที่ประชาชน จะใช้เพื่อการควบคุมผู้บริหารรัฐ และเสริมสร้างอำนาจในการชุมนุมประท้วง.
8.ขอตั้งข้อสังเกตระบบการเมืองไทย พัฒนาได้แต่รูปแบบเชิงประจักษ์ แต่เราไม่สามารถพัฒนาสาระในทางการเมืองซึ่งเป็นธรรม ที่จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงกับประชาชน.
9.ขอตั้งข้อสังเกตทำไมอธิการบดีของมหาวิทยาลัยต่างๆ จึงไม่เข้าใจถึงความจริง ที่นักศึกษาจะได้ในระดับภาคปฎิบัติ ที่มีความลุ่มลึก สร้างสรรค์กว่าคัมภีร์ ที่ท่องจำแต่ขาดความรู้และความเข้าใจ ตกและขังตนเอง และขังสติปัญญาของชาติเอาไว้กับโลกของสมมุติ ของการศึกษาที่เป็นอยู่. ขอสรุปว่าการเมืองใหม่ทำได้งายนิดเดียวเพียงแต่ประชาชน ทั้งชาติตื่นขึ้น ตื่นตัว ต่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองเท่านั้น กระบวนการ และวิธีการมันจะเกิดขึ้นเอง
พราะคนไทยไม่น้อยขาดปัญญา
ขาดปัญญาเพราะการเมืองเป็นเรื่องน้ำเน่า ไม่อยากยุ่งเกี่ยว
ขาดปัญญาเพราะนักการเมืองไม่ต้องการให้ประชาชนมีปัญญา จึงจะสามารถรักษาอู่ข้าวอู่น้ำของพวกมันเอาไว้ได้ยาวนาน
คนไทยจึงมักง่าย เอาสบายแต่ตนก็พอ ส่วนรวมก็แล่วแต๊หวะ
แ ต่โชคดีที่ยังมีชาวพันธมิตรกลุ่มหนึ่งที่อุดมด้วยปัญญาและริเริ่ม ยืนหยัดต่อสู้ จนสามารถปลุกระดมให้คนไทยที่เฉื่อยชา มัวเมาและเบาปัญญาเริ่มตื่นตัว เช่น เหล่านิสิตนศ.ที่เพิ่งจะเริ่มตื่นกันขึ้นมา
ขาดปัญญาเพราะการเมืองเป็นเรื่องน้ำเน่า ไม่อยากยุ่งเกี่ยว
ขาดปัญญาเพราะนักการเมืองไม่ต้องการให้ประชาชนมีปัญญา จึงจะสามารถรักษาอู่ข้าวอู่น้ำของพวกมันเอาไว้ได้ยาวนาน
คนไทยจึงมักง่าย เอาสบายแต่ตนก็พอ ส่วนรวมก็แล่วแต๊หวะ
แ ต่โชคดีที่ยังมีชาวพันธมิตรกลุ่มหนึ่งที่อุดมด้วยปัญญาและริเริ่ม ยืนหยัดต่อสู้ จนสามารถปลุกระดมให้คนไทยที่เฉื่อยชา มัวเมาและเบาปัญญาเริ่มตื่นตัว เช่น เหล่านิสิตนศ.ที่เพิ่งจะเริ่มตื่นกันขึ้นมา
from http://www2.manager.co.th/mwebboard/listComment.aspx?QNumber=271244&Mbrowse=9
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น