ปัญญา ฤกษ์อุไร
(นวนิยายเก่าที่ตีพิมพ์ในพ๊อคเกตบุคส์ หนอนยิ้ม เมื่อ พ.ศ.2530)
            ผมออกจากบ้านแต่เช้า  ตั้งใจว่าจะไปเซ็นใบโฉนดที่ดินที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทำงานกองท่วมหัวท่วมหูให้หมดเสียที  ชาวบ้านเขาอยากได้โฉนดเร็วๆ กะว่าวันนี้จะเซ็นโฉนดให้ได้สัก 100-200 ใบ
             สั่งรถออกจากบ้านพักรองผู้ว่าราชการจังหวัดอย่างคนอารมณ์ดี ฮัมเพลง....  "ฉันรักคนแก่ ใครจะทำไม?" .....ไปเรื่อยๆ
             "ท่านครับ... วันๆเห็นท่านนั่งเอาแต่เซ็นหนังสือลูกเดียว ไม่เห็นออกท้องที่บ้างเลย  ...ไม่เซ็งแย่หรือครับ"
            ไอ้คูณ  คนขับรถผมเอ่ยขึ้นตามประสาคนปากอยู่ไม่สุข
            "อ๊วไม่เซ็นแล้วใครจะเซ็นวะ  โฉนดที่ดินเป็นตั้งๆ" ผมบอกมัน
             "ความจริงการออกโฉนดเป็นอำนาจของผู้ว่าเขาโดยเฉพาะนะท่าน เขาน่าจะเซ็นเอง  ทำไมจึงมามอบให้ท่านเซ็นก็ไม่รู้" บักคูณออกความเห็น
             "ก็เพราะผู้ว่าเขามีคนติดตารางแทนน่ะซี เซ็นโฉนดถ้าผิดพลาดดีไม่ดีติดคุก  ผู้ว่าที่เขามีความคิดปราชญ์เปรื่องอย่างผู้ว่าของอั๊วคนนี้  เขาไม่โง่มานั่งเซ็นโฉนดอยู่หรอก ...." ผมบอกบักคูณมัน
            "อ้อ ยังงั้นหรือครับ  " ว่าแล้วบักคูณมันก็หัวเราะเห็นเหงือกแดงแจ๋
             พอขึ้นถึงศาลากลางเซ็นหนังสือไปได้สักพักหนึ่ง  เกษตรจังหวัดก็มาขอพบเพื่อปรึกษาเรื่องงาน
             "มีอะไรก็ว่าไป" ผมเอ่ยขึ้นก่อน  เกษตรจังหวัดคำนับผมครั้งหนึ่งแล้วนั่งเก้าอี้ตรงกันข้ามกับผม
             "เรื่องการจัดซื้อวัวพ่อพันธุ์แจกให้กลุ่มเกษตรกรนั่นแหละครับ มันมีปัญหา"  เขาชี้แจง
             "ผมไม่เห็นมีปัญหาอะไร เรื่องส่งเสริมการเลี้ยงวัวพันธุ์ดี  ผู้ว่าเขาก็ส่งเสริมอยู่แล้ว  เงินงบประมาณที่จะซื้อวัวพ่อพันธุ์ตัวละหมื่นห้าพันบาทเราก็ตั้งไว้แล้ว  และได้รับอนุมัติให้ซื้อได้แล้ว 100 ตัว เป็นเงิน หนึ่งล้านห้าแสนบาท  และจะมีปัญหาอะไรอีก ?"
             ผมถามเขา....ตามที่ผมรู้เรื่องมาแต่ต้น
             "ก็เพราะมันมีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องน่ะซีครับ ผมถึงบอกกับท่านรองว่า  มันมีปัญหา" เขายืนยัน
             "ไหนลองเล่ามาซิว่า ปัญหาของคุณมันอยู่ที่ตรงไหน บางทีผมอาจจะช่วยคุณแก้ไขได้บ้าง"
             "คือ....อ้า..คือ... ทีแรกผมคิดเอาไว้และวางแผนตามโครงการเอาไว้ว่า  วัวพ่อพันธุ์ในราคาตัวละหมื่นห้านี้จะซื้อพ่อวัวพันธุ์ บรามันห์ จากเกษตรที่กรุงเทพ  ฯ เพราะพ่อพันธุ์เขาได้มาตรฐานดี...."
             "ก็ดีแล้วนี่.... ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ?"
             "แต่..ผู้ว่าท่านไม่เห็นด้วยน่ะซีครับ"
             "ก็เป็นหลักการที่ดี ทำไมท่านไม่เห็นด้วยเล่า" ผมชักจะสงสัย
            "คือ...  ท่านบอกว่า เราควรจะส่งเสริมชาวเกษตรพื้นบ้านของเราเอง  โดยซื้อวัวพ่อพันธุ์จากชาวบ้านที่เขาผสมลูกวัวขาย ชาวบ้านเขาจะได้มีรายได้เพิ่มขึ้น  และเงินก็จะได้หมุนเวียนอยู่ในจังหวัด ไม่ไปกองอยู่ในกรุงเทพฯ " เขาชี้แจง
             "ก็เป็นความคิดที่ดี เป็นการส่งเสริมให้คนในท้องถิ่นมีงานทำ มีรายได้  ถ้าจะทำอย่างที่ท่านผู้ว่าคิดก็ไม่มีอะไรเสียหาย น่าจะซื้อเอาภายในจังหวัดก็ได้ "  ผมออกตามความเห็นผู้ว่า เกษตรจังหวัดตีหน้าเบ้ สั่นหัวไปมา
            "เป็นไง  คุณไม่พอใจหรือ? หรือคุณไม่เห็นด้วย มีเหตุผลอย่างไรก็ว่ามา"
            "  คือ..วัวพันธุ์ที่จะซื้อมาเป็นพ่อพันธุ์นั้น ต้องเป็นพ่อพันธุ์ชั้นหนึ่ง  จึงจะได้ผลดี ไม่ใช่วัวพ่อพันธุ์ชั้นลูกชั้นหลานซึ่งเป็นชั้น 2 ชั้น 3 ไป  ที่เรามีอยู่ในกลุ่มเกษตรกรนั้นเป็นวัวพันธุ์ที่กลายไปมากแล้ว  จะไม่ได้ผลสมตามความมุ่งหมายของทางราชการ  ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องซื้อวัวพันธุ์ชั้นที่หนึ่ง  จากกรมส่งเสริมการเกษตรหรือกรมปศุสัตว์ของเกษตร" เขาชี้แจงในทางเทคนิค
             "แล้วทำไมคุณไม่ชี้แจงท่านผู้ว่าแบบนี้ ให้ท่านเข้าใจ" ผมซักต่อ
             "ผมชี้แจงแล้ว แต่ท่านไม่เห็นด้วย ท่านยืนยันจะซื้อวัวพ่อพันธุ์ภายในจังหวัดให้ได้  ยิ่งกว่านั้นท่านแย้มๆออกมาว่าจะให้ผมซื้อจากเถ้าแก่จุ้ยในตลาดด้วย"
            "อะไรกัน  เถ้าแก่จุ้ย แกเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง แกไม่มีอาชีพเลี้ยงวัว  ยิ่งกว่านั้นแกไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกรเลย  นอกจากซื้อถูกขายแพงลูกเดียว...." ผมชักเอะใจในความคิดของผู้ว่า
            "นั่นน่ะซิครับ..ผมถึงได้กลุ้มใจอยู่ทุกวันนี้  มีคนที่จะช่วยพูดกับท่านผู้ว่าได้ก็มีท่านรองนี่แหละ  ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ท่านผู้ว่าซื้อวัวพ่อพันธุ์จากเกษตรให้ที"
             เขาว่าแล้วก็ลุกขึ้นโค้งคำนับออกจากห้องทำงานของผมไป  ผมมานั่งนึกตรึกตรองดูเห็นว่าเกษตรจังหวัดมีเหตุผลดีกว่าผู้ว่า  เพราะวัวพ่อพันธุ์ควรจะเป็นวัวพ่อพันธุ์ชั้นที่หนึ่ง   จะได้ให้พันธุ์วัวที่ตัวใหญ่และแข็งแรง  ถ้าซื้อวัวชาวบ้านอาจได้พ่อพันธุ์ชั้นสองชั้นสาม อาจให้ลูกไม่ดีนัก  และชาวเกษตรกรเองก็คงอยากได้พ่อพันธุ์ที่ดีที่สุด เมื่อคิดหน้าคิดหลังดีแล้ว  ผมจึงเข้าพบผู้ว่าซึ่งอยู่ห้องทำงานติดกัน
             ผู้ว่าเงยหน้าขึ้นมองผม ความจริงผู้ว่าคนนี้ก็คุ้นเคยกันมาก่อน ไม่ใช่ใครที่ไหน  สมัยเมื่อผมเป็นเลขานุการกรมการปกครองก็เคยนั่งเกาะโต๊ะผมอยู่บ่อยๆ  ขอให้ช่วยพูดกับอธิบดีเรื่องโน้นเรื่องนี้อยู่เสมอ
             "ท่านรองมีธุระอะไร ว่าไปเลย"
             "เรื่องการซื้อวัวพ่อพันธุ์ แจกกลุ่มเกษตรกรนั่นแหละครับ"
             "ผมสั่งเกษตรจังหวัดไปแล้วให้ซื้อจากกลุ่มเกษตรกรในท้องที่จังหวัดเรา  เงินจะได้ไม่หมุนเวียนไปที่อื่น คงอยู่ในจังหวัดเรา"
             "ท่านครับ...แต่วัวภายในจังหวัดเป็นวัวพันธุ์ ชั้น 2 ชั้น 3  ไม่ดีเท่าที่เราตั้งเป้าหมายเอาไว้ เกรงว่าเกษตรกรเขาจะไม่พอใจ  .....อีกประการหนึ่งเกษตรจังหวัดเขาก็ไม่เห็นด้วย  เขาเห็นว่าควรจะซื้อจากเกษตรมากกว่า...."
             "พวกคุณเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เสียเปล่าไม่รู้จักการหมุนเวียนเงินทางเศรษฐกิจเพื่อให้ท้องถิ่นเจริญ  ซื้อที่กรุงเทพฯ เงินก้ไปกรุงเทพฯ หมด ถ้าซื้อที่นี่  ซื้อจากกลุ่มเกษตรกรเงินก็อยู่ในกลุ่มเกษตรกร เป็นการส่งเสริมอาชีพเขาอย่างหนึ่ง  ทำให้เขามีกำลังใจในการเลี้ยงวัวเพิ่มขึ้น เป็นการช่วยเขาในทางเศรษฐกิจอีกทางหนึ่ง  คุณเรียนมาทางกฎหมายอาจมองคนละแง่กับผม เรื่องนี้ผมรับผิดชอบเอง  และผมก็ได้สั่งการไปแล้วให้ซื้อวัวพ่อพันธุ์ภายในจังหวัดของเรา  โดยวิธีพิเศษไม่ต้องประกวดราคา"
         ผมได้ฟังดังนั้นก็รู้โดยสัญชาติญาณว่าถึงเอาช้างมาลากผู้ว่าก็คงไม่เห็นด้วย  คงต้องซื้อวัวพ่อพันธุ์ภายในจังหวัดวันยังค่ำ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
             ต่อมาอีกประมาณ 15 วัน  เถ้าแก่จุ้ยคนสนิทของผู้ว่าในทางเศรษฐกิจก็ออกกว้านซื้อวัวพ่อพันธุ์จากบรรดากลุ่มเกษตรกรทั้งหลายทั่วทุกอำเภอๆละ  5 ตัวบ้าง 10 ตัวบ้าง จนได้ครบ 100 ตัว ตามจำนวนที่ต้องการ  วัวที่ซื้อมาเป็นวัวตัวผู้พันธุ์ บรามันท์ แต่เป็นพันธุ์ชั้นที่ 2 หรือ 3  ไม่ใช่พ่อพันธุ์ชั้นที่ 1
             ผู้ว่าตั้งกรรมการตรวจรับวัว 100 ตัวโดยให้เกษตรจังหวัดเป็นประธานกรรมการ  ป้องกันจังหวัดเป็นกรรมการ หัวหน้าสำนักงานจังหวัด เป็นกรรมการ ตรวจรับวัว 100 ตัว
             การตรวจรับวัวเป็นไปด้วยความเรียบร้อยไม่มีปัญหาอะไร ตัวประธานกรรมการไม่สู้จะแฮปปี้นัก  เพราะไม่ได้วัวตามที่ตนต้องการ แต่ก็พูดอะไรไม่ได้มาก
             ต่อมาอีกหลายวัน ผมออกจากบ้านพักแต่เช้าตามเคย เพราะมีงานเซ็นหนังสือมากมายอย่างว่า
             "ท่านรองครับ" บักคูณเรียกผม
             "หือ....ว่าไง?" ผมตื่นจากภวังค์
             "วันนี้คงสนุกแน่" บักคูณบอกผม    
             "สนุกยังไง" ผมสงสัย
             "คือท่านผู้ว่าท่านนัดแจกวัวพันธุ์ที่สนามหน้าศาลากลางจังหวัด ....คงจะสนุกกันใหญ่"
             "แจกวัวพ่อพันธุ์เรื่องธรรมดา อั๊วไม่เห็นว่ามันจะสนุกอะไรเลย " ผมบอกมัน
             "ท่านคอยดูไปก็แล้วกัน เพราะท่านก็เป็นรองประธานในการแจกวัววันนี้  บางทีท่านอาจจะต้องแจกวัวแทนท่านผู้ว่าบ้างก็ได้ "  พูดจบมันก็อมยิ้มแก้มตุ่ยน่าเตะเป็นกำลัง
            เวลา 10.00  น.  บรรดาพ่อค้าข้าราชการที่ได้รับเชิญมาเป็นเกียรติในการแจกวัวพ่อพันธุ์ให้กลุ่มเกษตรกรก็มาพร้อมกันอย่างคับคั่ง  ผู้ว่าท่านต้องการให้คนทั้งหลายทราบว่าได้มีการซื้อวัวพ่อพันธุ์จริง  และเมื่อซื้อแล้วก็มีการแจกวัวดังกล่าวให้กลุ่มเกษตรกรจริง  ไม่ได้เอาไปขายโรงฆ่าสัตว์ หรือเอาไปทำลูกชิ้นขาย
             วัวพ่อพันธุ์จำนวน 100 ตัว ยืนกันหน้าสลอน บางตัวก็เคี้ยวเอื้องอยู่  บางตัวก็เอาหางปัดยุงไปมา บางตัวก็ขี้ราดแปร๊ดๆอยู่แถวนั้น  วัวทุกตัวต่างมีพวงมาลัยรวมที่คอทำให้ดูสวยงามมีชีวิตชีวาขึ้นไปอีก
            เวลา 10.30  น. ผู้ว่าซึ่งเป็นประธานในพิธีเดินย้ายพุงหัวล้านเหม่งมาถึง  แตรวงบรรเลงเพลงมหาฤกษ์มหาชัย  ทุกคนรวมทั้งผมด้วยลุกขึ้นยืนกระย่องกระแหย่งทำท่าตรงโดยที่ไม่แน่ใจว่ายืนเคารพผู้ว่าหรือเคารพวัว  (เพราะผู้ว่ายืนอยู่หลังวัว)
             เกษตรจังหวัดกล่าวรายงานถึงความเป็นมาของโครงการส่งเสริมการเกษตร  จากนั้นผู้ว่าราชการจังหวัดก็กล่าวตอบ  เนื่องจากจังหวัดของเรานี้มีทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ไพศาลทุกอำเภอ  (เนื่องจากโรงเลื่อยตัดไม้ไปขายหมดแล้วจึงเหลือแต่ทุ่งหญ้า)  ความในวงเล็บผู้ว่าไม่ได้พูด ผมคิดเอาเอง เมื่อผู้ว่ากล่าวจบก็มีพิธีจับสลากวัว  ซึ่งวัวทุกตัวมีหมายเลขประจำตัว กลุ่มเกษตรกรกลุ่มไหนจับสลากได้หมายเลขใด  ก็จะได้วัวพ่อพันธุ์หมายเลขนั้นไปเป็นสมบัติของกลุ่ม หลังจากจับสลากเสร็จแล้ว  ก็มีเกษตรกรกลุ่มหนึ่งโวยวายขึ้นมา
             "วัวพ่อพันธุ์แบบนี้มันจะใช้ได้ที่ไหน วัวเฮงซวย มันจะไปเพาะพันธุ์ได้ยังไง"  เสียงหัวหน้ากลุ่มเกษตรกรบักสีหัวคลอนเอะอะโวยวายขึ้น
             "ไหนวัวตัวนี้มันเสียหายอะไรหา ?" เกษตรจังหวัดหันไปถามบักสีหัวคลอนเสียงเครียดๆ  เพราะแกเป็นประธานกรรมการตรวจรับวัว
             "ก็วัวตัวนี้มันชื่อไอ้ด่าง มันเป็นวัวของผมเอง มันเป็นวัวแก่เต็มที  อายุมันปาเข้าไปตั้ง 20 กว่าปีแล้ว ปลดชราแล้ว ผมจึงขายไอ้เถ้าแก่จุ้ยไป  ผมคิดว่ามันจะเอาไปส่งโรงฆ่าสัตว์ ผมขายมันไปแค่ 4 พันเท่านั้น "  บักสีหัวคลอนอธิบาย
             "วัวแก่ก็ไม่เป็นไร มันยังผสมพันธุ์ได้ ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร  "เกษตรจังหวัดเถียงบักสี ในใจนึกโมโหตะหงิดๆ   ที่ไอ้จุ้ยมันไปซื้อวัวแก่มาแหกตาจังหวัดได้
             "มันไม่ใช่แก่อย่างเดียวนะซีครับ....วัวผมตัวนี้หำมันเน่า  ผมเลยตัดหำมันทิ้งไปตั้งนานแล้ว  แล้วมันจะเอาอะไรไปผสมพันธุ์เล่าครับในเมื่อหำมันไม่มี "  บักสีมันยืนยันว่าวัวตัวนี้ยังไงก็ทำพ่อพันธุ์ไม่ได้แน่นอนเพราะเขาตัดมังกรมันออกเสียแล้ว
             เกษตรจังหวัดโมโหจนหน้าเขียว เกาหัวยิกๆ  หันไปทางเถ้าแก่จุ้ยที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของผู้ว่า
             "ไอ้จุ้ย..ไอ้เจ๊กเฮงซวย .....ลื้อซื้อวัวแก่มาสี่พัน  แล้วมาขายจังหวัดตัวละหมื่นห้า....วัวแก่อั๊วไม่ว่า แต่ยังถูกตัดหำทิ้งอีก  ....ลื้อนี่คดโกงราชการนี่หว่า  อั๊วต้องเอาเรื่องลื้อแน่....อั๊วไม่ปล่อยเอาไว้หรอก....ลื้อไม่ใช่เตี่ยอั๊วนี่หว่า....."  เกษตรจังหวัดพูดจบก็จุ๊ปากจิ๊กจั๊ก
             "อั๊วไม่ได้คดโกงทางราชการ....มันเป็นเรื่องเสกสะกิดหมุงเวียง ลื้อม่ายเข้าจาย....ไม่เชื่อลื้อไปถามอาผู้ว่าลูก้อล่าย...."
             "เศรษฐกิจหมุนเวียนในจังหวัด" เถ้าแก่จุ้ยมันเข้าใจตอบ
             "หมุนเวียนดีจริงๆนะครับท่านผู้ว่า" ผมได้แต่รำพึงในใจ  ไม่กล้าพูดกับผู้ว่าถึงเรื่องนี้อีกเลย เพราะเกรงท่านผู้ว่าจะเหยียบเอา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น