เรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ใน ต่วย'  ตูน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๓๑
    เรื่องเก่าๆที่น่าอ่าน
           - ๑ - 
             เมื่อเอ่ยถึงโรงเรียนนายอำเภอ ผมเชื่อมั่นว่าในแวดวงข้าราชการของกระทรวงมหาดไทย  หรือไม่ก็ข้าราชการของกรมการปกครองคงคุ้นเคยชื่อดี  (โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีความหวังจะเป็นนายอำเภอ)
             เมื่อหลายปีก่อน นักเขียนท่านหนึ่งของ ต่วย' ตูน  เคยเขียนถึงการเรียนในโรงเรียนแห่งนี้บ้างแล้ว  (นักเขียนท่านนั้นปัจจุบันท่านไม่ได้เป็นนายอำเภอแล้ว  เพราะท่านมีตำแหน่งเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี ในปัจจุบัน ท่านคือ  คุณอนันต์ แจ้งกลีบ (พ.ศ. ๒๕๓๑) ) ชาวบ้านย่านธัญบุรี คลองหก   นั้นรู้จักโรงเรียนแห่งนี้ดีพอสมควร เนื่องจากคุ้นเคยกับชุดกีฬ่าสีขาวที่วิ่งไปและร้องเพลงไป  ปลุกชาวบ้านแถวนั้นให้ตื่นจากที่นอนในยามเช้าบ่อยๆ
             อันว่านิวาสถานของโรงเรียนนายอำเภอแห่งนี้ ตั้งอยู่ที่ ตำบลรังสิต อำเภอธัญบุรี  จังหวัดปทุมธานี  ขอโทษที่ตำบลรังสิตที่ว่านี้ไม่ใช่บริเวณที่เรียกว่าตลาดรังสิตแต่อย่างใด  ตลาดรังสิตนั้นตั้งอยู่ในเขตตำบลประชาธิปัตย์ (ขอโทษอีกครั้ง  ไม่ได้โฆษณาหาเสียงให้พรรคการเมืองแต่อย่างใด)   การเดินทางสู่โรงเรียนนายอำเภอนั้นต้องเดินจากตลาดรังสิตไปตามถนนสายรังสิต-นครนายก  อีก ๑๒ กิโลเมตร เลียบชายคลองรังสิตไปจนเห็นคำว่า วิทยาลัยการปกครองนั่นแหละ  ก็เป็นอันถึงที่หมายโรงเรียนนายอำเภอ
             เริ่มชักจะงงกันแล้วใช่ไหม เพราะแรกเริ่มก็เขียนถึงโรงเรียนนายอำเภอ  มาตอนนี้กลับเขียนถึงวิทยาลัยการปกครอง
             ก็ขอเฉลยกันแก้งงว่า  โรงเรียนนายอำเภอนั้นเป็นหน่วยงานโรงเรียนหนึ่งของวิทยาลัยการปกครอง
             วิทยาลัยแห่งนี้มิได้แบ่งแยกการเรียนการสอนออกเป็นคณะ  เหมือนวิทยาลัยที่ให้การศึกษาแห่งอื่นๆ แต่กลับแบ่งแยกเป็นโรงเรียนต่างๆ ๖ โรงเรียน  คือ
            ๑.  โรงเรียนนักปกครองระดับสูง (ชื่อตัวย่อว่า นปส.)  แต่เดิมโรงเรียนนี้ผู้ที่จะเข้าเรียนได้จะต้องเป็นปลัดจังหวัด หรือไม่ก็รองผู้ว่าฯ  คือ เรียนจบออกมาแล้วจะได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด  แต่เนื่องจากว่าตำแหน่งว่างในแต่ละปีมีน้อย คนเข้าเรียนหลักสูตรนี้มีเยอะ  ในระยะหลังผู้จบโรงเรียนนี้ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นเพียงรองผู้ว่าฯแล้วก็ลดลงมาเป็นปลัดจังหวัด  ระยะหลังๆนี้จบออกมาแล้วก็เป็นเพียงแค่นายอำเภอ  จนมีคำกล่าวว่า  รับนายอำเภอซีเตี้ยเข้าเรียนเพื่อจบแล้วก็แต่งตั้งให้เป็นนายอำเภอซีสูงต่อไป
             โรงเรียนที่ ๒ คือ โรงเรียนนายอำเภอ มีชื่อเรียกย่อๆว่า นอ. (อ่านว่า นอ - ออ  ไม่ใช่ นอเฉยๆ เพราะถ้าอ่านอย่างนั้นทำให้นึกไปถึงพวกนอแรดไปนั่น)  โรงเรียนนี้ก็รับเข้าเรียนมาจากพวกตำแหน่งจ่าจังหวัด  (คนละพวกกับจ่าทหาร) ,  ปลัดอำเภอ ผู้ตรวจราชการส่วนท้องถิ่น ป้องกันจังหวัด เสมียนตราจังหวัด, ปลัดอำเภอ  ผู้เป็นหัวหน้าประจำกิ่งอำเภอ 
             หลักสูตรโรงเรียนนายอำเภอนี้  เมื่อเรียนจบแล้วท่านก็จะแต่งตั้งให้ไปดำรงตำแหน่งนายอำเภอ (ซีเตี้ย) ต่อไป  แต่บางครั้งบางคราวก็ยังอาจจะไม่ได้เป็นนายอำเภอในทันที อย่างเช่น ใน ๒-๓  รุ่นหลังๆนี้ เรียนจบออกมาแล้ว ก็ยังต้องไปเป็นปลัดอำเภอก่อนอีกประมาณปีกว่าๆ  ถึงจะเป็นนายอำเภอ
            พี่สมหวัง  นักเรียนนายอำเภอรุ่นที่แล้วกล่าวเอาไว้ในวันรายงานตัวทันทีว่า "พวกเรา นอ.๒๗  นี้เตรียมตัวเตรียมใจได้เลยเรียนจบแล้วทางกรมมีอัตราว่างบรรจุให้ทันทีเลย ๖๐  ตำแหน่ง"
             "ตำแหน่งอะไรล่ะพี่"
            " ปลัดอำเภอซี  ๗ ไง"
             โรงเรียนที่ ๓ คือ โรงเรียนปลัดอำเภอ โรงเรียนนี้จะดำเนินการฝึกวิทยายุทธให้กับพวกปลัดอำเภอที่ยังอ่อนวัยไม่แก่วัด  เพื่อให้ไปเป็นปลัดอำเภอที่ดี  ฉะนั้นการฝึกฝนของโรงเรียนนี้จึงจัดอยู่ในลักษณะที่ว่าค่อนข้างเน้นความหนักพอสมควร  คือ เรียนหนัก วิ่งหนัก เล่นหนัก ฝึกหนัก  ฉะนั้นจึงไม่มีปัญหาที่ว่าจะกินหนักและดื่มหนักด้วย
            ๓  โรงเรียนที่กล่าวถึงข้างต้น จะเป็นโรงเรียนที่ฝึกเฉพาะผู้ชายเท่านั้น  ส่วนโรงเรียนนี้ที่จะเขียนถึงต่อไปมักจะมีผู้หญิงเรียนเป็นส่วนมาก นั่นคือ  โรงเรียนข้าราชการฝ่ายปกครอง  การฝึกอบรมของโรงเรียนนี้ในระยะหลังๆจะเป็นการฝึกในหลักสูตรเสมียนตราอำเภอเป็นส่วนมาก   ที่สำคัญก็คือ ผู้เข้าเรียนส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิง มีผู้วิจัยไว้ว่า  ในแต่ละรุ่นจะมีผู้เข้าเรียนเป็นหญิงร้อยละ ๙๐ เปอร์เซ็นต์  เมื่อมีหลักสูตรนี้เข้ามาอบรมเรียนทีไร บรรดาพวกที่เรียนหลักสูตร นปส., นอ.   รวมทั้งหลักสูตรปลัดอำเภอทั้งหลายต่างรู้สึกกระชุ่มกระชวยกันเป็นการใหญ่  บรรดาพวกที่ห่างบ้านห่างเมียมารู้สึกคึกคักกันทีเดียว   ห้องเรียนของหลักสูตรนี้มักจะมีแขกไปเยี่ยมเยียนเสมอ ซึ่งก้ไม่ใช่ใครหรอก  บรรดาสิงห์เฒ่าสิงห์หนุ่มทั้งหลายเหล่านี้นี่เอง ข้ออ้างที่ใช้ในการเยี่ยมคือ  เพื่อที่จะได้รู้จักกันไว้ ต่อไปอาจจะได้อยู่อำเภอเดียวกัน  (มีหลายคนเลยไปถึงขั้นอยากให้ไปอยู่บ้านเดียวกันด้วย ถ้าไม่เกรงใจคนที่บ้าน)
            เนื่องจากโรงเรียนนี้หลักสูตรส่วนใหญ่จะมีสาวๆ เข้าเรียนนี่เอง  พวกเราทั้งหลายจึงพร้อมใจกันเรียกผู้อำนวยการโรงเรียนนี้ว่า "ป๋า"  โดยพร้อมเพรียงกัน (คำว่า "ป๋า" ในที่นี้จะเป็นป๋าโดยตำแหน่ง และขอยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับป๋าคนอื่นๆ  แต่อย่างใด)
   
         ยังมีโรงเรียนอีก ๒ โรงเรียน คือ โรงเรียนข้าราชการส่วนท้องถิ่น  และโรงเรียนการป้องกันฝ่ายพลเรือนซึ่งจะขอยกยอดไปกล่าวถึงในคราวหลัง  คราวนี้จะขอว่าถึงในส่วนที่เกี่ยวกับโรงเรียนนายอำเภอเสียที
             ในการเล่าเรียนในโรงเรียนนายอำเภอแต่ละรุ่นนั้น มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด  ในรุ่นแรกๆนั้น เมื่อเริ่มตั้งโรงเรียนใหม่ๆ ใช้ระยะเวลาเรียนกันรุ่นละ ๑ ปีเต็มๆ  ระยะหลังลดลงมา จนกระทั่งในปัจจุบันเรียนกันรุ่นละ ๗ เดือนแต็มๆ  ซึ่งในการเรียนนั้นจะแบ่งเป็นการเรียนในห้องเรียนประมาณ ๕ เดือน ไปฝึกลูกเสือ ๑๐  วัน ดูงานตามภาคต่างๆทุกภาค และก็ไปดูงานต่างประเทศด้วย ประมาณ ๓๐ วัน ไปฝึก อส.  อีก ๑ เดือน
             การที่จะเข้าเป็นนักเรียนนายอำเภอนั้น นักเรียนนายอำเภอรุ่นแรกๆ  หลายท่านบอกว่าในยุคสมัยของท่านนั้นต้องถึงขั้นขอร้องให้เข้ามาเรียนกัน  (เนื่องจากว่าในยุคแรกๆนั้นคนที่เข้าเรียนส่วนใหญ่จะเป็นนายอำเภอกันแล้ว)  บางครั้งก็ต้องมีการขู่กันว่าถ้าไม่มาเข้าเรียนจะไม่แต่งตั้งให้เป็นปลัดจังหวัด
             นายอำเภอรุ่นอาวุโสท่านหนึ่งกล่าวให้ฟังว่า "สมัยผมเข้าโรงเรียนนั้น ทางกรมฯ  ต้องมีหนังสือไปเรียนเชิญให้มาเข้าโรงเรียนกันเลยทีเดียว หนังสืออย่างเดียวไม่พอ  มีทั้งโทรเลข โทรศัพท์ ไปสั่งผู้ว่าฯ ให้ลากตัวมาเข้าเรียนให้ได้  เพราะตอนนั้นผมเป็นนายอำเภอแล้วทางแถวชายแดนภาคอีสาน พอเรียนจบแล้ว กรมฯ  ก็ปรารถนาดี ย้ายผมจากชายแดนอีสานมาเป็นนายอำเภอชายแดนกรุงเทพฯ คือ ที่พระประแดงได้  ๒ ปีย้ายผมมาอยู่ที่ป้อมปราบสตรีพ่าย (ท่านเรียกของท่านอย่างนั้นจริงๆ)
             ปัจจุบันท่านนักเรียนนายอำเภอรุ่นอาวุโสท่านนี้  เป็นข้าราชการระดับสูงของกรุงเทพมหานคร ผมเองก็ลืมถามท่านไปว่า  ปัจจุบันท่านปราบสตรีพ่ายไปกี่รายแล้ว
             ผิดกับในยุคปัจจุบัน การเข้าเป็นนักเรียนนายอำเภอนั้น  ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ยากลำบากพอสมควร เพราะในแต่ละปี  โรงเรียนนายอำเภอจะเปิดรับปีละ ๑ รุ่นๆละไม่เกิน ๖๐ คน  แต่มีผู้ที่มีความประสงค์ต้องการเข้าเรียนถึงประมาณ ๗-๘๐๐ คน (อย่างรุ่นล่าสุดก็  ๗๕๖ คน) ดังนั้น  ขั้นตอนการคัดเลือกจึงอยู่ในลักษณะที่ค่อนข้างสุดขีดและสุดโหดกันเลยทีเดียว
             กรรมวิธีในการคัดเลือกบุคคลที่จะเข้ามาเป็นศิษย์โรงเรียนนายอำเภอนั้น  ท่านกำหนดไว้ว่าบุคคลที่จะมีสิทธิเข้าเรียนในโรงเรียนนายอำเภอนั้นต้องมีคุณสมบัติ  คือ
            ๑.  จะต้องเป็นข้าราชการระดับ ๖
            ๒.  ได้รับเงินเดือนตั้งแต่ขั้น ๘,๐๕๕ บาทขึ้นไป
            ๓.  เป็นข้าราชการกรมการปกครองมาแล้วไม่น้อยกว่า ๒ ปี
            ๔.  อายุไม่เกิน ๕๗ ปี
            ๕.  ข้อนี้สำคัญมาก ระบุไว้ว่าเป็นชาย
             กรรมวิธีในการคัดเลือกแต่ละปีนั้น  เริ่มด้วยการที่กรมการปกครองจะสำรวจและประกาศรายชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ในข้อทั้ง  ๕ ข้างต้น ซึ่งจะต้องมีคุณสมบัติครบทั้ง ๕ ข้อ จะขาดข้อใดข้อหนึ่งไปไม่ได้เลย  จากนั้นก็จะดำเนินการสอบข้อเขียนแล้วคัดเลือกผู้ที่ผ่านการสอบไว้ ๓๐ คน  จากนั้นก็ดำเนินการสอบคัดเลือกผู้ที่มีพฤติกรรมและบุคลิกภาพที่เหมาะสมที่สุดอีก ๓๐  คน รวมกันเป็น ๖๐ คน  แล้วนำมาสอบสัมภาษณ์อีกครั้งเพื่อคัดเลือกเอาบุคคลที่เหมาะสมจริงๆเข้าเป็น  "นักเรียนนายอำเภอ"
             นายอำเภอหลายท่านได้เคยบอกว่า "พี่เองนั้นมันสู้กับเค้าทางสายสอบไม่ได้  ก็ต้องพยายามหาทางสายคัดเลือก เช่นดูว่าตนเองปีนี้เงินเดือนเท่าไหร่  พยายามทำผลงานความดีความชอบให้มาก ระวังอย่าให้มีเรื่องทางวินัยเกิดขึ้น   ซึ่งเมื่อทำอย่างนี้ได้แล้ว  ก็นำมาเทียบเคียงกับของเพื่อนฝูงที่อยู่ในพื้นที่จังหวัดเดียวกัน  ซึ่งถ้าหากดูแล้วเราพอมีความหวัง   ก็จะต้องนำไปเทียบพวกที่อยู่จังหวัดข้างเคียงอีกด้วย  เรียกว่าหาข่าวข้อมูลกันอย่างเต็มที่ทีเดียว   ถ้าหากเปรียบเทียบดูแล้วสู้ไม่ได้ก็ต้องทำใจ และพยายามทำงานให้ดีต่อไป  เพื่อที่ปีต่อไปมันจะเป็นโอกาสของเราบ้าง
            เฮ้อ  กว่าจะเดินทางมาถึงขั้นนี้ได้ เหนื่อยจริงๆ
            - ๒ -
            วันที่ ๒๐  กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐  หนังสือพิมพ์ไทยรัฐลงประกาศผลรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือกและการสอบข้อเขียนเข้าโรงเรียนนายอำเภอ  รุ่นที่ ๒๗ จำนวน ๖๐ คน และให้ผู้มีรายชื่อดังกล่าวไปสอบสัมภาษณ์ในวันที่ ๒๖-๒๗  กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ที่วิทยาลัยการปกครองฝ่ายฝึกอบรมและพัฒนา  อำเภอธัญบุรี  ปทุมธานี
             การประกาศรายชื่อของหนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าวเป็นการดับความคิดฝันของคนจำนวนหกร้อยกว่าคนที่ไม่ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกคราวนี้  ทำให้ความคิดฝันที่จะเห็นตนเองดำรงตำแหน่งนายอำเภอโดยเร็วนั้น  จะต้องรอคอยไปอีกอย่างน้อย ๑ ปี เพราะต้องไปเตรียมตัวสอบใหม่ในปีหน้า
             สำหรับผู้ที่มีชื่อผ่านการสอบและผ่านการคัดเลือกในครั้งแรกจำนวน ๖๐ คนนั้น  ก็ยังไม่อาจแสดงความดีใจให้กับตัวเองให้มากนัก  เพราะยังมีขั้นตอนของการสอบอีกขั้นตอนหนึ่งคือ การสอบประเมินสัมภาษณ์  (กรมการปกครองใช้คำนี้) นั่นเอง
             กรรมวิธีการสอบประเมินสัมภาษณ์นั้นกรมการปกครองได้แจ้งให้ผู้เข้าสอบทราบว่าจะทำการสอบเพื่อดูบุคลิกภาพท่าทางและที่สำคัญที่สุดก็คือ  มีการทดสอบสมรรถภาพร่างกายด้วย  เพื่อที่จะคัดตัวบุคคลที่พิจารณาเห็นว่าไม่เหมาะสมตัดออกไปอีกบ้าง  และหวังว่าจะได้แต่นายอำเภอที่มีบุคลิกที่ดีเด่นต่อไป
             จากการชี้แจงของกรมการปกครองที่แจ้งออกไปนี้สร้างอาการสั่นประสาทหวาดผวาแก่ผู้ที่จะต้องเข้าสอบทั้ง  ๖๐ คนนี้เป็นยิ่งนัก  เพราะถ้าหากการสอบประเมินสัมภาษณ์ครั้งนี้ตนเองเกิดพลาดท่าเสียทีสอบไม่ผ่านในรอบนี้   ก็คงจะมีอาการประสาทรับประทานกันไปเลยแน่แท้  เหล้ายาปลาปิ้งที่เคยดื่มและกินกันบ่อยๆในช่วงนี้ก็จำต้องงดลง  อดกลั้นกันเป็นการชั่วคราว เรียกได้ว่า เป็นการอดเปรี้ยว (ปาก) ไว้กินหวาน  (ความจริงไม่ได้หวานแต่อย่างใด) กันนั่นเอง  เพราะถ้าหากดื่มแล้วไปมีอาการขวางหูขวางตาชาวบ้าน  พอดีพอร้ายอนาคตที่ยาวไกลก็จะมีอันหดสั้นลงเสียก่อนที่ได้เป็นนายอำเภอ  มันก็จบลงเท่านั้นเอง
             สิ่งที่สำคัญที่สุดในช่วงระยะเวลาใกล้สอบเข้าโรงเรียนนายอำเภออีกเรื่องหนึ่ง ก็คือ  พึงระวังอย่าให้มีเรื่องจำพวกวินัย ถูกตั้งกรรมการสอบสวนในเรื่องต่างๆ  เรื่องคดีอาญาคดีแพ่งทั้งหลายพึงระวังอย่าให้ตกเป็นจำเลยในช่วงนี้  โดยเฉพาะเรื่องชู้สาว อย่าให้มันพากันมารุมเร้าร้องทุกข์กันในช่วงนี้ก็แล้วกัน  เพราะถ้าหากเกิดมีเรื่องขึ้นมาในช่วงนี้ละก็  ไอ้ความหวังความฝันที่เคยฝันไว้รับรองได้เลยว่าพัง และจบเกมส์กันแน่นอน
             ร่นพี่ผมคนหนึ่ง  มีข่าวคราวขึ้นชื่อในเรื่องนี้ทุกคราวเมื่อถึงฤดูกาลสอบและคัดเลือกเข้าโรงเรียนนายอำเภอ  ก็เนื่องจากปัญหาที่ตนเองแอบไปมีบ้านเล็กเอาไว้แล้วก็ทอดทิ้งคุณนายบ้านใหญ่  คุณนายบ้านใหญ่รู้ข่าวก็ยื่นคำขาดถ้า ถ้าไม่เลิกกับนังนั่นละก็  จะร้องเรียนถึงผู้ใหญ่ในกรมฯ และลงหนังสือพิมพ์  รุ่นพี่ผมคนนี้ยอมทำตามที่บ้านใหญ่ยื่นคำขาด ปรากฏว่าบ้านใหญ่ก็คืนดีกันไป  ทีนี้ปรากฏว่าเรื่องมันไม่เงียบอย่างนั้นซีครับ  บ้านเล็กซึ่งเป็นฝ่ายถูกตัดสัมพันธ์ไมตรีเป็นฝ่ายร้องเรียนขึ้นมา  ทำหนังสือร้องเรียนถึงผู้ใหญ่ระดับจังหวัดระดับกรมกันเลย  เล่นเอารุ่นพี่ผมปีนั้นมีเรื่องราวฉาวโฉ่และทำให้อดเข้าโรงเรียนนายอำเภอไป  ปีแรกผ่านไป พอปีที่สอง พวกเล่นฟ้องศาลเป็นความทางอาญากันเลย  เรียกได้ว่างานนี้กว่าจะจบเกมเล่นเอารุ่นพี่ผมคนนั้นจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ได้เข้าโรงเรียนนายอำเภอกับเขาเลย
             ส่วนรุ่นพี่ผมอีกท่านหนึ่ง สมัยที่ท่านรับราชการเป็นปลัดอำเภออยู่ทางเมืองเหนือนั้น  มีอยู่วันหนึ่งท่านเผลอไปลงนามอนุญาตให้ทำไม้ในเขตพื้นที่ป่าสงวนเข้า  เรื่องมันเงียบไม่เคยมีเรื่องมาเลย  จนกระทั่งรุ่นพี่ผมคนนั้นย้ายออกมาจากอำเภอนั้นไปแล้ว  ย้ายไปอยู่ที่อื่นอีกหลายอำเภอ และจนกระทั่งมีสิทธิที่จะสอบเข้าโรงเรียนนายอำเภอ  เรื่องมันเกิดแดงขึ้นมาก็เพราะว่ามีชาวบ้านร้องเรียน  เรื่องนี้ปรากฏกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต ผลปรากฎว่างานนี้แรงมาก  รุ่นพี่ผมคนนั้นแทนที่จะได้เข้าโรงเรียนนายอำเภอก็ต้องไปเข้าเรือนจำแทน
             ขอย้อนกลับเข้ามาถึงเรื่องการสอบสัมภาษณ์เข้าโรงเรียนนายอำเภออีกครั้ง  ในเรื่องที่แจ้งให้ทราบว่ามีการทดสอบสมรรถภาพทางร่างกายด้วยนั้น  ทำให้บรรดาผู้ที่จะต้องเข้าสอบทั้ง ๖๐  คนเร่งรีบดำเนินการฟิตตัวเองอย่างเร่งด่วนเท่าที่เวลาจะมีอำนวยให้เลยทีเดียว   ปรากฏว่ามีหลายท่านที่อุดมไปด้วยไขมันบางท่านอาจจะลืมไปแล้วว่า "เอว"  ของตนเองเคยมีลักษณะอย่างไร  บางท่านก็ฟิตซ้อมจนลืมสภาพสังขารของตนเอง  คิดไปว่าเป็นการฟิตซ้อมเตรียมไปแข่งโอลิมปิคไปโน่น  จากการที่ซ้อมจนกระทั่งไม่เจียมสังขารนั้น  หลายท่านลูกเมียต้องขู่ว่าอย่าซ้อมให้มากนัก  เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้เข้าโรงเรียนนายอำเภอ  จะต้องเข้าโรงพยาบาลหรือไม่ก็เข้าไปนอนที่วัดแทน  ซึ่งจะก่อความเดือดร้อนแก่ลูกเมียเป็นอย่างยิ่ง
            เช้าวันที่  ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ บริเวณอาคารโรงเรียนนักปกครองระดับสูง (สถานที่สอบ)  คึกคักตั้งแต่เวลาก่อน ๑๖.๐๐ น. ทั้งนี้เพราะกรรมการสอบฝ่ายจัดสถานที่สอบ  ผู้เข้าสอบและกองเชียร์ (คือบรรดาเมียที่ขับรถมาส่งผัวเข้าสอบนั่นแหละ)  ต่างเตรียมตัวกันมาพร้อม  ผู้เข้าสอบทุกคนพร้อมใจกันแต่งเครื่องแบบราชการกันมาโดยมิได้นัดหมายกันเลย  เครื่องราชอิสรยาภรณ์แถบเข็มเครื่องหมายป้ายชื่อ หัวเข็มขัด ได้รับการขัดสีฉวีวรรณกันอย่างเอี่ยมอ่องเต็มที่  เพื่อหวังจะให้เป็นที่ต้องตาต้องใจแก่ท่านกรรมการสอบสัมภาษณ์  ซึ่งหมายถึงว่าคะแนนที่จะได้ก็มีโอกาสมากขึ้น
             คณะกรรมการประเมินสัมภาษณ์นั้น ก็ประกอบด้วยตัวอธิบดีกรมการปกครองเป็นประธาน  นอกจากนั้นก็มีรองอธิบดีทั้ง ๓ คน ผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพ  ผู้อำนวยการกองต่างๆ ตลอดจนหัวหน้าฝ่ายในกองอัตรากำลัง ฯ  เรียกได้ว่าเตรียมกันมาเพียบพร้อมเพื่องานนี้โดยเฉพาะเลยทีเดียว
             การประเมินสัมภาษณ์นั้น  นอกจากจะใช้เวลายืดเยื้อยาวนานถึงสองวันเพี่อเป็นการเขย่าขวัญสั่นประสาทกันแล้ว  กรมฯ ยังบังคับให้ผู้เข้าสอบนอนพักในที่เดียวกัน  คือที่อาคารสถานที่สอบ  และตัวคณะกรรมการก็นอนพักกันที่นั่นด้วย  เรียกได้เลยว่างานนี้เอากันหนักหน่วงเลยทีเดียว
             กรรมวิธีในการสัมภาษณ์นั้น มีทั้งการให้ตอบคำถาม วิจารณ์หนังสือ เขียนบทความ  พูดในที่ชุมชน ทดสอบสมรรถภาพร่างกายโดยการวิ่ง  แล้วที่ทำให้ค่อนข้างทรมานใจกันอย่างยิ่งก็คือ  มีการจัดงานเลี้ยงต้อนรับผู้เข้าสอบในคืนวันแรกด้วย  ปรากฏว่ารายการนี้เป็นการทรมานใจพวกคอทองแดง  เพราะว่าเห็นขวดเหล้าตั้งวางอยู่แล้วไม่กล้าดื่มกัน  เนื่องจากเกรงว่าคณะกรรมการประเมินสัมภาษณ์จะให้คะแนนตกเอา
             นักเรียนนายอำเภอหลายท่านมาบ่นเอาทีหลังว่า "ประสาทพี่เครียดเอามากๆ  ก็เมื่อตอนมาสอบสัมภาษณ์นี่แหละ ๒ วันที่มาอยู่นี่กินก็กินไม่ได้ ถ่ายก็ถ่ายไม่ออก  เล่นเอาท้องผูกกันไปเลยทีเดียว คำถามคำตอบแต่ละครั้งค่อนข้างเกร็งกันพอสมควร  ยิ่งตอนงานเลี้ยงนั่นยิ่งหนักใหญ่  คิดดูซิว่าขวดเหล้าตั้งวางอยู่ตรงหน้าไม่กล้าดื่มเลย  จะหลบหน้านายขึ้นไปนอนบนห้องก่อนก็ไม่ได้  เพราะท่านเล่นประกาศบังคับให้ผู้เข้าสอบอยู่ในงานเลี้ยงทุกคนเสียด้วย  เล่นเอาพี่อึดอัดแทบแย่"
             ในการสอบวิ่งนั้น มีการกำหนดระยะทางวิ่งเอาไว้ ๑ กิโลเมตร ให้วิ่งภายในเวลา ๗ นาที  ก็ปรากฏว่ารายการนี้นักวิ่งส่วนใหญ่ที่เคยฟิตซ้อมกันมาอย่างเต็มที่นั้นเกิดอาการเกรงกลัวศักดิ์ศรีกัน  เลยมีมติตกลงกันว่าแต่ละกลุ่มที่วิ่งนั้นจะต้องวิ่งเกาะกลุ่มกันให้ตลอด   เพื่อจะได้เข้าเส้นชัยพร้อมกันและคะแนนจะไม่ต่างกันมากนัก  แต่ถึงแม้จะฮั้วกันอย่างนี้แล้ว บางคนก็ยังมีปัญหาจนได้ เช่น รายของพี่สมหวัง  ซึ่งมีบุคลิกลักษณะส่วนสัด ๔๐-๕๐-๔๐ คือรูปร่างอ้วนมาก  พี่สมหวังถึงกับเดินบ่นอุบออกมาจากสนามเมื่อวิ่งเสร็จว่า
            "ไอ้ห่ -  ไม่รู้มันจัดยังไงของมัน พี่ถึงโดนไปวิ่งกับไอ้กลุ่มพวกที่มันผอมๆกันทั้งนั้นเลย  ไล่ตามแม่ -มันกว่าจะทัน แทบตาย"
            ๑๖.๐๐ น.  ของวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๐ ภายในห้องเรียงของอาคาร นปส. เวลาที่ระทึกใจก็มาถึง  ท่านอธิบดีกรมการปกครองรับซองประกาศผลการสอบจากคณะกรรมการประเมินสัมภาษณ์แล้วประกาศว่า
            "น้องๆ  นักปกครองที่รักทั้งหลาย กรมการปกครองขอประกาศให้ทราบว่าการสอบสัมภาษณ์ครั้งนี้  ไม่มีใครสอบตกเลย ขอให้น้องๆ ทุกคนกลับไปบ้านเตรียมเก็บข้าวของมาเข้าโรงเรียนได้"
            ไชโย  ได้เป็นนักเรียนนายอำเภอกันแล้ว....
www.bagtophit.com
ตอบลบกระเป๋าแฟชั่นสำหรับสาวไทย ทันยุคสมัยไม่ตกเทรนด์จริงๆ
ยอดขายอันดับ 1