"คนเสฉวน"
             พลตรียุทธนา รูปขจร ได้เขียนเล่าถึงอาการของคนที่มีอายุย่างเข้าปีที่ ๖๖  อย่างท่านว่ามีอาการรวม ๑๔ อย่าง (ต่วย' ตูนปักษ์แรก  เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๖) แต่อาการที่สำคัญมีรวม ๓ อย่างด้วยกัน
             ๑.มีใครมาบอกว่ายาดีอะไรเป็นต้องกินไปเสียหมด ทั้งๆที่ยานั้นแสนที่จะขม
            ๒.  เห็นผู้หญิงรู้สึกว่ามันสวยไปเสียหมด และ
            ๓.  เวลาคุยกับใครอดที่จะนำความหลังไปเล่าให้เขาฟังเสียไม่ได้
             ที่ว่าเป็นอาการสำคัญเพราะเป็นอาการที่พ้องกับคำกล่าวถึงอาการของคนแก่ที่ว่า  "ชอบของขม ชอบชมเด็กสาว ชอบเล่าความหลัง" เดี๊ยะเลย
             แต่ที่อ่านแล้วใจคอไม่ดี คือ ท่านพูดถึงเรื่องมรณะสติ โดยบอกว่า  คิดว่าที่อยู่มาถึงขณะนี้ น่าจะเพียงพอแล้ว อย่าให้คนอื่นต้องเดือดร้อนกว่านี้เลย  ยังไงก็ขอให้ไปอย่างสบายๆ อย่าให้คนข้างเคียงเดือดร้อนในการรักษาพยาบาลเลย
             ผมเลยอยากขออนุญาตให้กำลังใจท่านว่า อายุ ๖๖ ปีนั้น เพิ่งเริ่มแก่ (ย้ำ! เพิ่งเริ่มเท่านั้นนะครับ) ยังมีเวลาชื่นชมสิ่งสวยๆงามๆ เขียวๆ แดงๆ  ไปอีกนานครับ คนอายุเท่านี้  หรือแก่กว่านี้อีกจำนวนมากมายยังรู้สึกรื่นรมย์ในการมีชีวิตอยู่  และมีหลายๆคนริอ่านมีเมียเด็กซะด้วย สำหรับท่านดูท่าจะไม่ใช่คนเจ้าชู้  ก็ขอให้อยู่เขียนเล่าความหลังอันสนุกสนานให้แฟนานุแฟน ต่วย'ตูน  ที่มีเป็นจำนวนนับแสนได้อ่านกันต่อไปเถิดครับ
             คนเรานี่ก็แปลก ตอนเป็นเด็กรุ่นกระทง นมเพิ่งแตกพาน ก็ดันไปชอบหนุ่มห้าว สาวใหญ่  แต่พอแก่ตัวลงกลับมีรสนิยมชอบเด็กๆ หาความสมดุลย์ยาก !  ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เกิดสำนวนเรียกคนแก่ที่ชอบเด็กสาวว่า "โคเฒ่า" หรือ "โคแก่"  แต่จะเสียดแทงหัวใจเหลือเกินถ้าถูกเรียกขานว่า "เฒ่าตัณหากลับ"  เพราะที่จริงไม่ใช่สักกะหน่อย เพียงแต่เรา "เอ็นดูเด็ก" ก็เท่านั้นเอง  จริงไม๊ครับท่านผู้สูงวัยทั้งหลาย
            ลุงแม้น  ผู้เฒ่าวัยเกือบเจ็ดสิบแถวบ้านผม  เมื่อภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของแกเสียไปเมื่อแกอายุได้หกสิบปี  แกก็ทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย  ด้วยความรู้สึกที่ยังอาลัยอาวรณ์ถึงคู่ทุกข์คู่ยากที่พลันมาเสียชีวิตอย่างกะทันหัน  แต่เมื่อต้องทนนอนหนาวเปล่าเปลี่ยวมาหลายเหมันต์เข้าก็ชักจะทนไม่ไหว  ถึงฤดูคิมหันต์ก็ขาดคนปรนนิบัติพัดวี ลูกหลานไหนเลยจะมาเข้าใจในหัวจิตหัวใจเมีย  อย่ากระนั้นเลย เมื่อทนไม่ไหวก็อย่าทนมันเลย (ว่าเข้านั่น! ) หาผู้หญิงวัยเอ๊าะๆ ชีๆ  แปะแป๊ะมาเป็นคู่ใจคอยแก้ไขปัญหาในทุกข์ฤดูเห็นจะดีเป็นแน่แท้ (ภาษาประกิตเขาว่า woman for all seasons)  ว่าแล้วเฒ่าแม้นก็เริ่มเปรยกับลูกๆว่าเหงา ลูกๆก็พยักหน้าหงึกหงักทำท่าเข้าใจ  แล้วก็เพียรผลัดเวรกันมาเยี่ยมเยียน ปรนนิบัติเอาอกเอาใจอยู่ไม่ขาด  เมื่อเห็นท่าไม่ได้การ  แกก็เริ่มแผนที่สอง  คราวนี้แกเล่นเกมหนักเลยทีเดียวโดยเปรยกับลูกชายคนโตว่า  ระยับสาวแก่วัยใกล้สี่สิบซึ่งมีนิวาสถานอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าน ยังเป็นสาวโสด  ถ้าได้มาเป็นคู่ดูแลตัวแกก็คงจะมีความสุข  ลูกหลานก็จะได้ไม่ต้องเทียวกันมาดูแลแกอย่างทุกวันนี้ ลูกได้ฟังอยู่ข้างจะตกใจ  ได้แต่บอกพ่อว่าขอไปปรึกษาน้องๆดูก่อน  ถ้าเห็นพ้องกันก็จะได้ไปติดต่อทาบทามสาวเจ้าให้ต่อไป
             หลังจากนั้นลุงแม้นก็ค่อยสบายใจ  ครึ้มในหัวอกว่าจะได้เมียมากอดเล่นยามแก่เป็นแน่แท้แต่คอยไปก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า  แกก็เดินแผนสามโดยคอยเซ้าซี้ลูกๆว่าเรื่องไปถึงไหน  จนลูกๆทนไม่ไหวตกลงส่งพี่ชายไปทาบทามทางสาวว่าจะสมัครใจมาเป็นแม่เลี้ยงของเขาไหม ผลปรากฎว่าสาวระยับตอบปฏิเสธอย่างไม่มีเยื่อใย  ยิ่งกว่านั้นยามปะหน้าลุงแม้นสาวเจ้าก็แกล้งเปรยกับตัวเองออกมาให้ดังพอที่ลุงแม้นจะได้ยินว่า  แก่จวนจะเข้าโลงอยู่แล้ว ให้รู้จักลดกิเลสตัณหาลงบ้าง เด็กๆจะได้นับถือ  เฒ่าแม้นได้ยินแล้วท้อใจนัก รำพึงว่า ไอ้เราใช่ว่าจะตัณหากลับซักกะหน่อย  เพียงแต่เอ็นดูเด็กเห็นว่าอยู่มาจนจะครบสี่สิบแล้วยังหาคู่ไม่ได้  ก็เลยคิดจะทำบุญกะเด็ก แต่เมื่อเด็กมันไม่เข้าใจก็ช่างมันปะไร อยู่คนเดียวก็ได้  (วะ) หลังจากนั้นไม่นานแกก็ล้มเจ็บลง รักษาตัวได้ไม่นานแกก็ลาจากโลกบูดๆ  เบี้ยวๆใบนี้ไปอย่างสุดแสนจะเปล่าเปลี่ยว เฮ้อ! น่าสงสาร
            แต่กรณีของเจ๊เจียวไม่ใช่อย่างนั้น  เรื่องต่างกันราวกลับหัวกลับหาง แต่ผลลัพธ์ที่เกิดเหมือนกัน คือ พระเอกตายตอนจบ  (คนแก่ซวยอีกแล้ว) เรื่องของเรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ
            เจ๊เจียวเป็นสาวลูกจีนผิวขาวสะอาด  แต่เนื่องจากต้องอยู่กะเหย้าเฝ้ากะเรือน จึงไม่ค่อยมีโอกาสไปพบปะผู้คน  และไม่มีใครมาทาบทามสู่ขอก็เลยต้องอยู่เป็นโสดมาจนอายุสี่สิบปี   (ตอนเกิดเรื่องนี้) พี่สาวแกที่มีร้านขายผ้าเกิดขาดคนช่วยเลยให้แกไปช่วยขาย  ก็พลันมีอาแปะพ่อม่ายวัยหกสิบสองมาซื้อผ้าแล้วเกิดติดอกติดใจ   เทียวไปเทียวมาแวะเวียนไม่ขาดระยะ เจ๊เจียวในตอนแรกก็เรียกแกว่าอาแปะๆ  แต่ต่อมาพระเอกไม่ยอมให้เรียกว่า "อาแปะ" ซะแล้วโดยบอกว่า "อั๊วยังไม่แก่นา  ต้องเรียกว่าอาเฮียซี" เจ๊เจียวก็ยินยอมด้วยความมีอัธยาศัย  ซึ่งยังความยินดีให้แก่โคเฒ่า เอ๊ย! อาแปะเป็นอย่างมาก  เรื่องจึงเลยมาถึงตรงที่อาแปะให้ลูกชายมาติดต่อกับทางบ้านสาว  ขอให้เป็นเพื่อนคู่ใจของเตี่ย  สาวเจ้าก็ปรึกษากับแม่และพี่สาวแล้วก็เห็นพ้องต้องกันว่าจะน่าโอเค  เพราะอาแปะก็เป็นคนดี ยังแข็งแรงอยู่  และที่สำคัญคือฐานะดียอมสู้ค่าสินสอดอย่างไม่เกี่ยงงอนเลยแม้แต่น้อย
             เรื่องน่าจะจบลงอย่างแฮปปี้ เอ็น (กรุดุ้งกระ) ดิ้ง เหมือนนิยายน้ำเน่า (ดี)  ทั้งหลาย ถ้าสาวไม่เซ้าซี้ให้ผัวแก่ไปเดินออกกำลังที่สวนสาธารณะข้างบ้านทุกเช้าเย็น  แต่จะไปโทษสาวฝ่ายเดียวก้ไม่ถูก แกก็คงอยากให้ผัวมีร่างกายแข็งแรง  เรื่องเศร้าเกิดขึ้นในเย็นวันหนึ่ง  ในขณะที่อาแปะออกกำลังกายเสร็จแล้วก็หาที่นั่งพัก  พอแกก้มตัวลงจะนั่งก็เกิดเป็นลมคาม้านั่ง เมียสาวตกใจร้องเรียกให้คนช่วยเสียงหลง  แต่กว่าจะนำพระเอกส่งโรงพยาบาลได้ก็สายเสียแล้ว  แกตายโดยไม่มีโอกาสสั่งเสียร่าเมียสาวแม้แต่คำเดียว
                 เรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์สำหรับ "โคแก่" ที่กำลังจะมี "หญ้าอ่อน" ไว้เคี้ยวว่า  จะหักโหมอย่างไรก็ต้องระวังสุขภาพตัวเองไว้บ้าง  การมีหญ้าอ่อนให้เคี้ยวไม่ได้เปลี่ยนแปลงร่างกายของเราให้กลายเป็นหนุ่มได้เหมือนจิตใจหรอกครับ  พับผ่า!!
            เอาเรื่องกระบวนการหาเมียเมื่อแก่ เอ๊ย!!  เมื่อแก่ที่สุดเศร้ามาเล่าสองเรื่องแล้ว  คราวนี้มาดูเรื่องรักของคนแก่ที่สุดแสนจะหวานชื่นบ้าง  ไม่อย่างนั้นจะเป็นบาปทางใจโทษฐานทำให้คนแก่อ่านแล้วไม่สุขใจ  มีโทษสมควรตายหมื่นครั้ง
                 ผมคิดว่าแทบทุกคนต้องรู้จักป้าล้อต็อกในฐานะที่เป็นดาวตลกที่ค้างฟ้าบันเทิงเมืองไทยมาหลายทศวรรษเต็มที  และคนที่รู้จักป๋าต๊อกก็คงเห็นพ้องต้องกันว่าหน้าตาของป๋านั้นไม่หล่อเหลาดูตลกที่สุด  เคยมีพิธีกรเกมโชว์รายการหนึ่งเชิญผู้ชมในห้องส่งให้มาจ้องหน้าป๋าต็อก  ถ้าจ้องได้เกินห้านาทีโดยไม่หัวเราะจะได้รับรางวัล ปรากฎว่าผู้ชมท่านนั้นจ้องหน้าป๋าได้ไม่เกินนาทีก็หัวเราะก๊าก  โถ! ก็หน้าป๋าดูแล้วตลกจนทนไม่ไหวนี่
             เห็นหน้าตาอย่างนี้อย่าไปดูถูกเชียว เพราะประวัติของป๋าต็อกในเรื่องผู้หญิงนั้นเหลือร้ายจริงๆ  เริ่มจากการมีภรรยาคนแรกเป็นนางเอกละครที่มีชื่อเสียงโด่งดัง คือ คุณแม่สมจิตต์ฯ  และต่อๆ มา ป๋าก็มีเมียอีกหลายคน (มีคนพูดกันว่าถ้าสาวใดถูกป๋าจับหัวเป็นต้องเสร็จแกทุกคน  ไม่ทราบว่าจริงหรือเปล่า) แต่กรณีที่ต้องยกหัวแม่มือให้ทั้งสองอันคือ  กรณีล่าสุดเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา  ซึ่งเป็นข่าวเกรียวกราวทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ และทางจอทีวี นั่นคือ  การที่แกมีลูกชายที่เกิดจากเมียสาวคนล่าสุดในขณะที่แกมีอายุ ๗๘ ปี ! และที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ  เมียสาวคนล่าสุดให้สัมภาษณ์ว่ารักป๋ามาก  เคยบอกป๋าว่าขอให้ป๋าหยุดเรื่องผู้หญิงไว้ที่ตัวเธอ  โห! อะไรจะยอดเยี่ยมขนาดน้าน อย่างนี้ต้องยกให้เป็น  "ซุปเปอร์โคเฒ่า" ที่ "โคถึก" ทำอะไรไม่ได้จริงๆ หรือใครจะเถียง!
            แต่กระบวนการหาเมียเมื่อแก่ที่สนุกสนานที่สุดเห็นจะเป็นกรณีของ เจ้าคุณปัจจนึกฯ  แห่งหัสนิยายเอกอัครอภิบรมมหาอมตะนิรันดร์กาลสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน  (ที่ถูกควรเรียกว่า สี่เกลอ มิฉะนั้นคนที่ชอบ ดร.ดิเรก  ซึ่งก็เป็นตัวเอกอีกตัวหนึ่งจะน้อยใจเอาได้)
            พระยาปัจจนึกพินาศ  ตามท้องเรื่องเป็นข้าราชการบำนาญ ได้รับบำนาญเดือนละ ๘๐๐ บาท  (เป็นจำนวนเงินมหาศาลสำหรับปี ๒๔๘๐)  ท่านเป็นคนศีรษะล้านเลี่ยนเตียนโล่งสุดลูกหูลูกตา  (ของแมลงวันที่บังเอิญบินหลงมาเกาะบนศีรษะท่าน) และอ้วนพุงพลุ้ยเข้าตำรา   เป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวแสนสวยสองคนที่บ้านถนนรองเมือง ซอยเท่าไรไม่แจ้ง  เนื่องจากต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ในขณะเดียวกัน  ท่านเลยเป็นคนที่หวงลูกสาวราวกับจงอางหวงไข่  คนที่เคยอ่านสามเกลอตอนหวงลูกสาวจะจำได้ดีว่าท่านหวงลูกสาวขนาดไหน  แต่ที่สนุกกว่าเห็นจะเป็นตอนที่ท่านริอ่านจะมีเมีย ไม่ว่าจะเป็นตอนชิงนาง  และศึกม่ายสาวที่ เจ้าคุณปัจจนึกฯ เจ้าคุณวิจิตรฯ (บิดานายจอมทะเล้นนิกร) และ  ลุงเชย (มหาเศรษฐีปากน้ำโพ จอมขี้เหนียวพี่ชาย เจ้าคุณประสิทธิ์ฯ)  แย่งกันจีบ  คุณนายลิ้นจี่ ม่ายสาวใหญ่มารดาของ นวลละออ หรือตอนแม่ครูสาวที่เจ้าคุณปัจจนึกฯ  ริไปจีบแม่ม่ายผัวตายที่อ้วนราวกับกระปุกตังฉ่ายซึ่งมีลูกสาวเปิดโรงเรียนสอนหนังสือเด็กที่บ้าน  ซึ่งในท้ายที่สุดเจ้าคุณถึงกับถูกแม่ม่าย ถีบกระเด็นออกมาจากบ้าน  ตอนนี้ผมอ่านหลายครั้งเพราะสนุกสนานมาก โดยเฉพาะตอนที่ท่านเจ้าคุณต่อรองราคาไปป์และตู้กับเจ็กที่เวิ้งนาครเขษม  และตอนที่สามเกลอยอมเป็นนักเรียนโค่งเพื่อเปิดโอกาสให้เจ้าคุณปัจจนึกฯ  จีบแม่ม่ายได้อย่างสะดวกโยธิน  ถ้าใครอ่านเป็นครั้งแรกแล้วหัวเราะต่ำกว่าสิบครั้งผมยอมให้ถองกบาลเลยเอ้า!
            กระบวนการหาเมียเมื่อแก่ก็เป็นอย่างที่เล่าไปแล้วว่ามีทั้งทุกข์ทั้งสุข  ทั้งนี้แล้วแต่บุญแต่กรรมของแต่ละคน ถ้าอยากลองดูก็สุดแท้แต่ใจจะไขว่คว้า  แต่สำหรับผมนั้นขอเดินหน้าหาเมียคนแรกให้ได้เสียก่อน  เพราะแก่จนป่านนี้ยังหาไม่ได้เลยครับ !@!
ตีพิมพ์ใน ต่วย' ตูน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ปักษ์หลัง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น