Key to Your Heart - กุญแจใจ- “เคร็ดวิธีนอมเขาหาตนเพื่อดูใจ” สิริมตี นิมมานเหมินท
Page 3
-3- บทที่ ๑เปดกับไก ฉันเองก็เหมือนคนทั่วไปที่เวลาไมพอใจ ไมถูกใจ หรือหงุดหงิดอะไรขึ้นมา ก็จะโทษวา“เปนเพราะเธอนั่นแหละที่ทําให.......”ไมวาจะเปนเพื่อนเจานายคนขางตัวใครก็ไดที่เกี่ยวของฉันจะตองเอาเรื่องกับคนๆนั้นใหไดเหตุการณตอไปนี้...ที่หลายคนอาจมองวาเปนเรื่องเดิมๆ ธรรมดาๆ แตถือเปนจุดเปลี่ยนที่ใหญหลวงสําหรับชีวิตของฉันเลยทีเดียวกอนที่ฉันจะเลา ตองขอขอบคุณทุกคนที่มีสวนเกี่ยวของกับเรื่องที่เกิดขึ้นนี้อีกครั้ง ไมวาจะเปนเพื่อนรวมบานของฉันทุกคนและญาติธรรมทุกทานที่ชี้ทางสวางใหฉันตอนนั้น...ฉันเปนนักเรียนทุนรัฐบาลไปเรียนตอปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ ดวยความที่มีเงินไมมาก ทําใหมีทางเลือกนอย จึงขอใหทางมหาวิทยาลัยชวยจัดการหาที่พักให เพราะตองการประหยัดใหมากที่สุด เปนความโชคดีที่ทางมหาวิทยาลัยจัดใหฉันอยูบานพักที่อยูใกลกับตึกเรียนมากๆ เพียงขามถนนก็ถึง แถมยังเปนบาน penthouse คืออยูชั้นบนสุดของหอพักสําหรับนักศึกษาปริญญาตรี มีสามหองนอน สองหองน้ํา พรอมทั้งหองครัวและหองนั่งเลนในตัว สะดวกสบายมากแตนอกจากฉันที่จะไดอยูในบานหลังนี้แลว ยังมีนักเรียนปริญญาโทตางชาติอีก 3 คน ซึ่งไมเคยรูจักกันมากอนพักรวมอยูดวย TIP: “ ขณะที่อานขอใหทานไดจินตนาการไปดวย ใหเหมือนกับวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวทานจริงๆ จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นก็ยังได หรือจะโยงเขากับเรื่องคลายกันๆที่ทานประสบมาก็ทําไดเชนกัน เพื่อใหเกิดประโยชนตอทานมากที่สุด ”
Page 4
-4-เมื่อยายเขาบานในวันแรกจึงไดรูวาฉันเปนคนไทยคนเดียวในบาน อีกสองคนเปนอเมริกันและปากีสถาน เขาตกลงอยูหองใหญที่สุดดวยกัน สวนฉันอยูหองเดี่ยวขนาดกลาง และเหลือหองเล็กสุดไวสําหรับคนที่สี่ซึ่งยังไมไดยายเขามา หลังจากพูดคุยกันไดสักพัก ดวยน้ําเสียง วิธีการพูดคุยและอัธยาศัยฉันรูสึกวาชอบเพื่อนอเมริกันมากกวาเพื่อนปากีสถานทันทีชวงเปดเทอมนี้เปนเดือนตุลาคม อีกไมนานก็จะถึงวันคริสตมาสและปใหมแลว เราทั้งสามจึงคุยกันเลนๆวา ถาอีกหองหนึ่งยังวางอยางนี้ตอไปก็คงดี เพราะจะไดใชตอนรับแขกที่จะมาเยี่ยมเราในชวงสิ้นป แขกจะไดไมตองเสียเงินคาที่พักสองสามวันตอมา เพื่อนปากีสถานมาเลาใหฉันฟงอยางตื่นเตนวา วันนี้เขาเจอจดหมายที่สงถึงสมาชิกคนที่สี่ที่ยังไมไดยายเขามา แตเพื่อใหเปนไปตามที่พวกเราคิดกันไว เขาไดทําลายจดหมายนั้นเรียบรอยแลวฉันคิดวา‘แหม..ทําไมตองทําขนาดนั้นยังไงเขาก็ตองยายเขามาอยูดี’ ไมนานสมาชิกคนสุดทายก็ยายเขามาจริงๆ เขาเปนคนกรีก วันแรกๆที่ยายเขามา เพื่อนกรีกตองเจอกับปญหาไมมีที่เก็บของ ทั้งตูในหองน้ํา หองนั่งเลน หองครัวหรือแมแตในตูเย็น ก็เพราะเพื่อนปากีสถานเอาของของเขาใสไวจนเต็มหมดแลว เพื่อนกรีกมาปรับทุกขกับฉันวา “ดูซิทําไมคนปากีสถานถึงทําอยางนี้...ไมรูจักขอบเขตของตัวเองเลย ไปบอกใหเขามายายของก็ทําเฉย” ฉันก็เห็นวาเปนอยางนั้นจริงๆนอกจากนี้ เพื่อนปากีสถานมักพูดจาชนิดไมยอมฟงใคร ไมมีใครถูกนอกจากเขาอีกดวยนับวันฉันก็ยิ่งไมชอบเขามากขึ้นทุกที บางครั้งฉันและเพื่อนกรีกกําลังดูทีวีรายการโปรดอยู เพื่อนปากีสถานมาถึงก็เปลี่ยนชองเฉยเลย...) ทีวีเปนสมบัติของเขา (เราสองคนก็รูสึกไมพอใจ บางทีเขาพาเพื่อนมาบานก็ทําเปนมองไมเห็นคนที่นั่งอยูกอน ทั้งคุยเสียงดังและทําทาไลใหคนอื่นเขาหองไปซะดวยทาทางไมสุภาพ ฉันรูสึกวาเพื่อนคนนี้ชางเห็นแกตัวจริงๆเมื่อเจอเหตุการณแบบนี้บอยๆเขาทําใหเกิดความไมพอใจซ้ําแลวซ้ําอีกจนเปนอัตโนมัติในที่สุดแคเห็นหนาคนปากีสถาน ฉันก็อารมณเสียไดทันที เรียกวาถาเขาอยูนอกหองฉันก็จะเก็บตัวอยูแตในหองจะไดไมตองเห็นหนากัน
Page 5
-5-ชวงนั้นการเรียนก็หนักมาก แทนที่กลับมาบานจะไดผอนคลาย ทําอาหาร ดูทีวีในหองนั่งเลนอยางสบายใจ แตไมเลย...กลับตองมาเจอคนที่เหม็นขี้หนากันในบานอีก เปนอยางนี้นานเปนเดือนๆ บางทีฉันกับเพื่อนอเมริกันและกรีกก็จะมานั่งจับกลุมปรับทุกขถึงความอึดอัดในบานกัน แตก็ไมไดทําใหอะไรดีขึ้น ยิ่งรูสึกวาไมชอบเพื่อนปากีสถานมากขึ้นเรื่อยๆ นานเขาชักทนไมไหวถึงขั้นมีปากเสียงกันก็มี ฉันพยายามหาทางออกทุกวิถีทาง คิดจะยายออกจากบานก็เคย แตไมสามารถหาที่พักใหมที่ราคาทั้งถูกทั้งดีอยางนี้ได พยายามคิดซะวา ‘เขาก็เปนอยางนี้กับทุกคนนั่นแหละไมใชเฉพาะกับฉัน’ หรือ ‘เขาก็มีสวนดีนะ ....’ แตก็ยังทําใจไมได เวลาเห็นหนาเขาก็ยังรูสึกเซ็งเหมือนเดิม เพราะตองเจอกับพฤติกรรมที่ไมชอบใจมากขึ้นทุกวัน อยูอยางกล้ํากลืนฝนทนอยางนี้นานถึง7 เดือนดวยกันพอดีชวงนั้น แมของฉันเริ่มสนใจปฏิบัติธรรมและไดพบกับญาติธรรมลูกศิษยหลวงปูทูลขิปปปญโญที่อยูที่อเมริกาแมเลาวาลูกศิษยหลวงปูกลุมนี้ปฏิบัติธรรมกันอยางจริงจังและสามารถนําธรรมะมาใชในชีวิตประจําวันไดจริง แมบอกฉันวา ปดเทอมแลวใหกลับบาน ทานจะพาไปเขาอบรมธรรมะเพราะญาติธรรมกลุมนี้จะมาจัดอบรมที่เมืองไทยชวงนั้นพอดีจะไดไปลองปฏิบัติดูแมบอกใหฉันคิดดูวา ฉันเปนทุกขใจเรื่องอะไรอยูบาง จะไดเอาไปเลาใหญาติธรรมฟง ทานจะไดชวยหาทางออกใหแมทิ้งทายไววา“เขาวากันวาวิธีนี้ไมยากหลายคนที่ไดฝกไมนานก็ทําไดแลว” จําไดวาชวงที่ปดเทอมมีจัดอบรมที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรพอดี ในการอบรมมีญาติธรรมจากอเมริกา มาเลาถึงแนวปฏิบัติที่ทานใชไดผลและเลาอุบายธรรมที่ทานใชสอนใจตัวเองใหผูเขาอบรมฟง ฉันก็ฟงไปเรื่อยๆแตยังไมเขาใจจริงๆวา “ตนและของของตน” “นอม...” “ไตรลักษณ” ที่หลายๆทานพูดถึงหมายถึงอะไรกอนจบรายการ นาวิทยากรถามผูเขารวมอบรมวาใครมีความทุกขอะไร ใหเลาสูกันฟงเปนวิทยาทานและวิทยากรจะไดชวยกันหาอุบายธรรมสอนใจใหไดเห็นจริงตามความเปนจริง จะไดคลายทุกข
Page 6
-6-เมื่อถึงตาฉัน ฉันก็บอกไปวาฉันไมคอยมีความทุกขอะไร มีแคเรื่องไมชอบหนาเพื่อนที่อยูบานเดียวกันแลวจึงเลาเรื่องทั้งหมดใหทุกคนฟงเมื่อเลาจบ นาบอกใหฉันนึกถึงเปดกับไกที่เปนเพื่อนกัน วันหนึ่งเปดกําลังวายน้ําอยางสบายใจอยูในสระน้ําพอดีไกเดินผานมาเปดก็รองเรียกไก“ไกไกมาวายน้ําดวยกันสิน้ําเย็นสบายดีมาสิมาวายดวยกัน” ไกก็บอกวา“ไมเอาหรอกฉันวายน้ําไมเปนฉันไมลงไปหรอก” เปด“ไมเห็นเปนไรฉันยังวายไดเลยมาสิมาวายดวยกันนะ” ไก“ไมเอาหรอกฉันวายไมไดจริงๆเธอก็วายไปสิฉันอยูบนนี้แหละ” เปด“อะไรเปนเพื่อนกัน ทําไมไมเชื่อ ก็ฉันยังวายไดเลย ลงมาซะทีสิจะใหพูดไปถึงไหนมาวายดวยกันมะ” ไกก็บอกวา“ไมเอาหรอกฉันวายไมไดจริงๆเธอก็วายไปสิฉันอยูบนนี้แหละ” เปดโมโหมากที่เรียกเทาไหรไกก็ไมยอมลงมาวายน้ําดวยซะที“นี่ใครมันบาเนี่ยเปดหรือไก” นาถาม“ก็เปดนะสิที่บา ...ก็ไกมันวายน้ําไมไดจะใหลงไปวายน้ําไดยังไง แลวเปดยังไปโกรธไกอีก” ฉันตอบนาก็บอก “นั่นละใชเลย ..ลองนอม*เขาหาตัวซิวา เราเปนเปดหรือไกละ ที่จะใหเพื่อนปากีสถานมาทําอะไรอยางที่เราตองการ พอเขาไมทําก็โกรธเขา เขามีธรรมชาติของเขาอยางนั้นใครนะที่บา”
Page 7
-7-ฉันไดเห็นตัวเองทันทีวาฉันเองที่บานึกขําตัวเอง...เพิ่งเขาใจความจริงก็วันนี้วาฉันเปนเปดที่อยากจะใหไกคือเพื่อนปากีสถานมาเปนแบบที่ฉันคิดวาเขาควรจะเปน พอเขาไมเปนตามใจเราก็ไมพอใจเมื่อเห็นตัวเองเห็นความจริงความขุนของหมองใจตอเพื่อนปากีสถานก็หมดไปจากใจที่ผานมาที่ฉันไมสามารถเอาความทุกข ความไมพอใจออกจากใจตัวเองไดเพราะยังไมไดเห็นตัวเองไมเห็นวาฉันกําลังเรียกรองใหคนอื่นมาเปนแบบที่ฉันตองการทั้งๆที่เขาไมไดมีธรรมชาติแบบนั้น ฉัน ฉัน ฉัน ฉันเอาแตความคิดของตัวเองเปนที่ตั้ง เพื่อเปลี่ยนคนอื่น เพื่อนปากีสถานอาจทําบางอยางไดเหมือนฉันแตบางอยางก็ทําไมไดไมใชเขาเปนคนไมดีแตนั่นเปนธรรมชาติของเขา ฉันอยากใหเขารูจักขอบเขตในการอยูรวมกัน อยากใหเขาพูดดีๆ ฟงความคิดเห็นคนอื่นบาง อยากใหเขาสุภาพมากกวานี้ แตเมื่อเขาไมทําเพราะทําไมได คนที่ไมไดดังใจคือฉัน ก็โกรธไมพอใจเขาทําใหใจของฉันเปนทุกขเรื่องเปดกับไกเปนอุบายธรรมที่สอนใหฉันเขาใจความจริงวาสัตวที่คลายๆกัน มีธรรมชาติตางกันไดคนแตละคนก็มีธรรมชาติตางกัน และเหตุการณของเปดกับไกก็ทําใหฉันไดเห็นตัวเองวาฉันก็เหมือนเปดที่พยายามบังคับใหไกลงมาวายน้ําฉันพบวาการเปลี่ยนธรรมชาติของคนอื่นเปนเรื่องที่เปนไปไมได ที่พูดอยางนี้เพราะฉันไดเอาประสบการณในอดีตมาเปนหลักฐานยืนยัน หลังจากคิดทบทวนดู เห็นไดวาในชีวิตที่ผานมาของฉันไมมีซักครั้งที่ฉันจะเปลี่ยนใครได เขาอาจจะยอมทําตามที่เราตองการเพื่อใหเราสบายใจบางก็เทานั้น แตถาจะเปลี่ยนแปลงตัวเขาจริงๆเขาตองเปลี่ยนดวยตัวเอง ฉันเองก็เหมือนกันไมมีใครเปลี่ยนฉันได นอกจากตัวฉันเอง และถึงแมเห็นประโยชนในการเปลี่ยนตัวเองแลวก็ตองใชความพยายามไมนอยปญหาใจของฉันยังไมหมดลงแคนั้น ฉันถามนาตอไปวา “แลวที่เห็นหนาเพื่อนปากีสถานแลวหงุดหงิดไมพอใจเขาละ”
Page 8
-8-นาถามฉันวาเวลาฉันเห็นหนาเขาแลวไมพอใจ ณ ขณะนั้นเขาทําอะไรใหฉันหรือยัง ฉันก็คิดดูวา จริงๆแลวแตละครั้งที่ฉันเห็นหนาเขาแลวหงุดหงิด เขาก็ยังไมไดทําอะไรใหฉัน แตฉันจําไดวาเขาเปนคนเห็นแกตัวไมฟงคนอื่นพูดและชอบเอาชนะ ..... นาจึงบอกใหฉันคิดดูดีๆวาใครที่ทํารายฉัน ทําใหฉันหงุดหงิด ฉันก็ยังคงตอบวาเปนเพื่อนปากีสถานที่ทําใหฉันหงุดหงิด นาบอกใหฉันคิดทบทวนดูดีๆวาใครกันแน ฉันจึงคอยๆนึกยอนไปถึงเหตุการณจริงในบาน แตละครั้งที่ฉันเห็นหนาเพื่อนปากีสถานแลวรูสึกหงุดหงิด จริงๆแลวเขาไมไดทําอะไรฉันแตฉันก็หงุดหงิดเพราะฉันจําไดวาเขาเปนคน.......แบบที่ฉันไมชอบนาบอกวาก็ฉันขยันจําสิ่งที่ไมชอบ พอเห็นหนาเขาก็นึกถึงแตเรื่องที่ไมชอบ ก็ทําใหฉันไมสบายใจเองทําใหเห็นวาความจําของฉันเองนั่นแหละที่ทํารายใจฉันใหหงุดหงิดเวลาเห็นหนาเขาเมื่อเขาใจอยางนี้ ก็เห็นวาที่ผานมาฉันเขาใจผิดมาโดยตลอดวาคนโนนไมดี คนนี้ไมดีพยายามไปแกไขเขาซะอีก จริงๆแลวฉันนั่นแหละที่บาจะไปฝนธรรมชาติของคนอื่น แลวก็ยังทํารายตัวเองดวยความจําในแงลบอีก ไมใชเพราะเขาแตเพราะฉันที่เปนตนเหตุของเรื่องทั้งหมดใหใจเปนทุกขเปนนานสองนาน ใจจึงยอมรับในหลักฐานที่จริงและชัดเจนแตโดยดี ความทุกขที่มีในใจก็หายวับไปกับตาดวยการพลิกความเห็นเพียงนิดเดียวเมื่อกลับไปเรียนตอ ดวยรูทันความจริงและรูจักยอมรับธรรมชาติของผูอื่น ไมเอาความจํามาทํารายตัวเองอีก และเห็นวาคนที่ฉันควรแกไขและทําไดงายที่สุดก็คือตัวเอง หลังจากไดปรับความคิดแลว ก็ยังตองปรับตัวและเรียนรูที่จะจัดการสิ่งตางๆภายในบานใหฉันสามารถอยูรวมกับคนปากีสถานไดอยางสบายใจหายบาในเรื่องนี้*การนอม คือการเอาเรื่องที่ฟงมาเห็นมา ยอนมาเปนกระจกสองดูตัวเอง โดยการคิดงายๆวา“แลวฉันละเคยพูด เคยทําแบบนั้นมั้ย” เพื่อใหเกิดประโยชนกับตัวเอง เมื่อไดอุบายธรรมแลวตองนอมเขาหาตัวฉันจึงจะเกิดประโยชน มิฉะนั้นก็เหมือนกับวามีเครื่องมืออยูแลวแตไมไดเอาไปใชงานนั่นเอง
Page 9
-9- บทที่๒ ถวยกาแฟเปนเหตุ นอกจากเรื่องเพื่อนปากีสถานแลว การอยูรวมบานตามประสาสาวๆตางชาติตางภาษา ยังมีความกังวลใจเปนของแถมอีกเรื่องหนึ่งคือความกังวลตอถวยกาแฟของฉันที่ใชในบานตอนที่ยายเขาบาน ทุกคนตางตองหาซื้อของใชสวนตัวหลายอยางมาเอง เพราะเปนคนชางเลือก...เรียกอีกอยางวา “เรื่องมาก”นั่นแหละ ....ฉันจึงใชเวลาไมนอยในการเลือกสรรของใชสวนตัวเพื่อใหไดของที่สวยงามและเกไก ก็ตองใชไปอีกตั้งหนึ่งปนี่นา ฉันลงทุนซื้อถวยกาแฟและจานชามอยางดี เสียเงินไปไมนอยเลย เพราะคิดวาการไดใชของดีและสวยงามจะชวยผอนคลายความเครียดในการเรียนไดทุกครั้งที่เห็นชวงแรกๆที่ทุกคนในบานยังไมมีเพื่อนมากนัก ตางคนตางก็ใชสมบัติของตัวเองไมกาวกายกันแตเมื่อเริ่มมีการชวนเพื่อนมาบานก็มีการหยิบยืมถวยกาแฟ แกวน้ําของคนอื่นไปใชรับรองแขกของตัว แรกๆก็มีการขออนุญาตเจาของกอนและลางเก็บใหเรียบรอยเมื่อใชเสร็จ หลังๆดวยความเคยชิน ความเกรงใจก็ลดลง คิดจะใชของใครก็หยิบไปใชทันที แลวก็กองทิ้งไวในอางลางจานซะอยางนั้น..ครั้งสองครั้งแรก ฉันก็ไมรูสึกอะไรแตพอเปนแบบนี้บอยเขาๆฉันก็ชักเริ่มอารมณเสียแลวซิแตพูดไปบนไป ก็ไมมีอะไรดีขึ้น หลังๆกลายเปนวาเมื่อกลับถึงบาน อยางแรกที่ทําคือเดินเขาครัวไปดูกอนเลยวามีใครเอาถวยกาแฟ จานชามของเราไปใชแลวไมลางเก็บใหมั้ย แตคนเราไมชอบอะไรมักไดอยางนั้น...ฉันมักจะไดเจอถวยกาแฟ จานชามของฉันนอนแองแมงสกปรกอยูในอางลางจานแทบทุกครั้งไป ทําใหไมพอใจเพื่อนที่ทําอยางนี้มาก ทั้งไมพอใจวาทําไมเอาของเราไปใชโดยพลการแลวไมลางคืนใหทําใหฉันตองมาเดือดรอนลางเองทั้งกลัวของเราจะเสียฉันไดเลาความหงุดหงิดรําคาญใจซ้ําซากนี้ใหนาๆญาติธรรมฟงเปนเรื่องที่สอง นาถามฉันวาพวกถวยกาแฟ จานชามที่ฉันใชอยูนั้นเปนของฉันจริงหรือ ฉันก็ตอบไปวาจริง เพราะฉันเปนคนไปเลือกซื้อมาเองแลวมันก็แพงดวยกลัวคนอื่นใชแลวไมระวังจะทําแตกได
Page 10
-10-นาใหฉันลองคิดดูวา ถวยกาแฟนั้นกวาจะมาเปนถวยมีขั้นตอนอะไรบาง นาเนนวาตองบรรยายใหละเอียดใหเห็นภาพเลยนะ )ทานผูอานลองคิดตามนะคะ( ฉันก็คิดแลวเริ่มบรรยายวาถวยชามทํามาจากดินขาว ตองไปขุดดินขาวมา เอาดินมานวด พอไดที่ก็เอามาปนขึ้นรูปเปนถวยกาแฟ ผึ่งไวจนแหงแลวเอามาลงสี เสร็จแลวก็เอาไปเคลือบและเผาดวยความรอน เมื่อเสร็จขบวนการผลิตก็ขนสงไปยังรานคาตัวแทน แลวฉันก็ไปซื้อมา แลวมันก็เปนของฉันเพราะฉันจายเงินซื้อมา นาใหฉันคิดตอวาแลวถวยจะมีความเปนไปอยางไรอีก ฉันคิดและตอบวา ถาฉันใชไปเรื่อยๆ นานเขาถวยก็จะหมดสภาพ ราว แลวก็แตกในที่สุดก็ตองโยนทิ้งไป รถขยะก็ขนขยะไปทิ้งในหลุมขยะ ถวยก็แตกไปเรื่อย สุดทายก็สลายกลับเปนดินในที่สุด นาถามฉันตอวาเพราะอะไรฉันจึงตองหวงถวยกาแฟนัก ขนาดตองตามไปดูทุกครั้งที่กลับถึงบาน ก็ในเมื่อรูอยูแลววา ธรรมชาติของถวยกาแฟนั้นแตกได นาตั้งขอสังเกตวา ถาไมมีใครเอาถวยไปใช มันจะแตกไดมั้ย“ถาใชอยางระมัดระวังก็จะแตกชา” ฉันตอบ“ตองเปนอยางนั้นจริงๆเหรอ” นาถามทานผูอานละคะคิดวาอยางไรฉันไดคิดและเห็นวาจริงๆแลวเวลาถวยโดนความรอนบางเย็นบางเวลาใชงาน ถวยก็เริ่มราวทีละนิดๆ...อยางที่ฉันก็เคยเห็นบนถวยของฉัน ใชงานทุกครั้งทําใหถวยสึกหรอไปเรื่อยๆ ใชไปนานๆก็แตกไดเอง หรือเราอาจซุมซามปดตกแตกเองก็ยังได แตเล็กจนโตก็เคยทําถวยแตกมาแลวไมรูกี่ใบ เมื่อธรรมชาติของมันเปนของที่แตกได จะไปคิดทําไมวาใครทําแตก ยังไงมันก็ตองแตกจะเสียทั้งเงินที่ไปซื้อมาและตองมาเสียเวลา เสียอารมณคอยกังวลอีกเหรอ ถึงอยางไรถวยกาแฟก็มี
Page 11
-11-ธรรมชาติของมันแบบนี้อยูดี ถาคิดเชนนี้ตอไปก็มีแตขาดทุนกับขาดทุนเมื่อคิดไดอยางนี้ใจฉันก็ไมอยากขาดทุนอีกแลว เลย เลิกกังวล เลิกหวง เจาถวยกาแฟสุดที่รัก แตอยางไรก็ตามในฐานะเจาของฉันก็ไมละเลยที่จะคิดหาทางวาจะทําอยางไรเพื่อใหถวย จานชามของเราอยูใหเราใชไปนานๆ ก็ทําเทาที่จะทําไดแตไมใหขาดทุนทางใจเมื่อพิจารณาสิ่งของอยางอื่นอีกหลายๆอยาง ก็พบวา...ของทุกอยางมาจากที่ไหนก็ไปที่นั่นทั้งสิ้น....จริงๆนะ เพราะเราเองไมรูที่มา ที่เปน และที่ไปของมัน จึงทําใหพยายามบังคับใหมันตองอยูในสภาพเดิมหรือคิดวามันจะคงเดิมตลอดไป คิดแบบนี้เองทําใหขาดทุนที่ใจหลังจากนั้นมา เมื่อฉันจะเลือกซื้อของใช ฉันจะคิดอยางรอบคอบวาคุณภาพของของนั้นเหมาะสมกับราคามั้ย การใชงานเปนอยางไรเหมาะสมกับลักษณะงานที่จะเอามาใชหรือไม เชนถาคาดวาจะมีคนรวมใชดวยหลายคนก็จะเลือกซื้อแบบที่ทนทาน จะไดใชไดนานๆ แตก็ตองประกันใจ TIP: “ ใครที่ติดสมบัติอะไรของตัวเองอยูก็ตามลองพิจารณาดูนะคะวาที่มาที่เปนที่ไปของของเหลานั้นเปนอยางไรเราจะไดเขาใจธรรมชาติของมันและไมกังวลเกินเหตุเหมือนที่ฉันเคยเปนโดยเฉพาะเวลามันเปลี่ยนแปลงจะไดไมตกอกตกใจจนพาลใหใจเปนทุกขเพราะไมเตรียมใจไวกอน ”TIP: “ เมื่อเราแกปญหาดานจิตใจดวยการพิจารณาหาหลักฐานสอนใจจนใจยอมรับความจริงในเรื่องถวยกาแฟไดใจเราจะสบาย จากนั้นเราตองคิดหาทางหาวิธีวาเราจะดูแลสมบัติของเราที่มีอยูอยางไรจึงจะเหมาะสมในฐานะเจาของก็ตองใชปญญาอีกเชนกันแตเปนปญญาทางโลกที่ไมมีหลักตายตัวตองคอยปรับแกไปตามสถานการณ ”
Page 12
-12-ไวดวยวาอาจจะใชไดไมนานอยางที่คิดก็ได เพราะเขาใจธรรมชาติของของใชวามันเปลี่ยนแปลงไดเสมอ และจะไมเลือกซื้อตามความอยากอยางเดียวเหมือนเมื่อกอน เพราะไดเห็นโทษทางใจที่ชัดเจนมาแลว
Page 13
-13- บทที่๓ สิ่งแวดลอม นอกจากพิจารณาที่มา ที่เปน ที่ไป จะทําใหหายกังวลเรื่องจานชามไดแลว ยังมีประเด็นที่ชวนใหคิดตอไปอีกวาถาฉันวางถวยกาแฟใบสุดรักไวบนโตะ แลวแมวเกิดวิ่งมาชนถวยตกแตก ฉันถามตัวเองวาฉันจะโกรธแมวมั้ย จะดุดาแมวหรือรูสึกไมพอใจแมวมากเทากับที่เพื่อนรวมชายคาเดียวกันของฉันทําแตกมั้ย ตอบอยางซื่อสัตยตอตัวเองที่สุดไดวา ฉันจะไมโกรธแมว แตจะโกรธเพื่อน วาทําไมไมระวังไมดูแลสมบัติของฉันใหดีอยางแนนอนคิดไดอยางนี้ทําใหเห็นวามีบางอยางไมถูกตอง ทําไมเราไมโกรธแมวแตโกรธเพื่อนละ ทั้งที่ทั้งคูทําถวยเราแตกเหมือนกัน ลองคิดตอวา ถาถวยแตกเพราะแผนดินไหว หรือเพราะลมพัดตกลงมาละเราก็คงไมโกรธเชนกันเพราะอะไรนะ... เพราะฉันไมคาดหวังในตัวแมว และไมเอาผิดจากการกระทําของธรรมชาติเพราะเปนสิ่งที่ฉันควบคุมไมไดฉันคิดทบทวนไปมาก็พบวาจริงๆแลวเพื่อนก็ไมตางจากแมวไมตางจากการเกิดแผนดินไหว หรือลมพัดเลย เพื่อนก็เปนสิ่งแวดลอมอยางหนึ่งของฉัน เปนธรรมชาติรอบๆตัวฉัน ที่ฉันไมอาจบังคับควบคุมหรือคาดเดาไดรอยเปอรเซ็นตเชนกันในทางกลับกัน ฉันก็เปนสิ่งแวดลอมของเพื่อนเชนกัน แลวฉันอยากทําตัวฉันใหเปนสิ่งแวดลอมที่ดีหรือเปนแบบที่เต็มไปดวยมลพิษใหกับเพื่อนดีนะ.... TIP: “ ฉันพบวาเราจะเปนสิ่งแวดลอมที่ดีของผูคนรอบขางไดเราตองรูจัก‘เอาใจเขามาใสใจเรา’ นั่นเองจริงๆแลวฉันรูจักคํานี้มานานมากแลวแตเพิ่งจะรูจักนํามาใชในชีวิตจริงเมื่อไมนานมานี้เองสิ่งที่สําคัญที่สุดคือเราตองมองเห็นใจตัวเองกอน ”
Page 14
-14-นึกถึงคราวที่ฉันทําแกวของแมตกแตกดวยความซุมซาม ยอนดูวาฉันคิดอะไรนะตอนทําแกวแตกพบวาแตละครั้งฉันไมไดตั้งใจทําแตกแตก็พลาดทําแตกจนไดเพราะฉันก็เปนคนหนึ่งที่ยังมีความพรองอยู เมื่อเห็นใจตัวเองก็เห็นใจเพื่อนวา ถาเพื่อนทําแกวของฉันแตก เขาก็พลาดไดเชนกันถาเราไมเคยคิดแบบนี้ เราก็อาจคิดปรักปรําเพื่อนไดวาเขาไมระมัดระวัง อาจจะตอวาเพื่อนแรงๆเพื่อความสะใจ แตฉันจําไดวาครั้งที่ฉันทําแกวแตกแลวโดนดุฉันก็เสียใจ ถาฉันตอวาเพื่อนเพื่อนก็ตองเสียใจเชนกันการที่ฉันยอมรับความผิดพลาดหรือความพรองของตัวเองกอนฉันก็จะยอมรับความผิดพลาดหรือความพรองของคนอื่นและจะเลิกจับผิดผูอื่น เพราะฉันและเขาก็ไมตางกัน ฉันจึงไมคิดจะตอวาเพื่อน แตจะหันกลับมาดูวามีอะไรที่สามารถปรับแกไขไดบางในสถานการณนั้นๆ และมีความจริงอะไรที่สามารถนํามาเปนหลักฐานสอนใจตัวเองไดจากสิ่งที่พลาดไปแลว
Page 15
-15- บทที่ ๔ คนขี้ตู ในการอบรมครั้งแรกของฉัน ฉันเปดใจรับฟงและคิดตามเรื่องตางๆที่วิทยากรถายทอดใหทุกอยางเปนสิ่งแปลกใหมสําหรับฉันไปหมด“คนเราจะทุกขใจจากเรื่อง ตนและของของตน เปนหลัก” ฟงแลวงงๆไมเขาใจ นาวิทยากรจึงไดยกตนมะละกอขึ้นเปนกรณีศึกษาใหฉันและคนอื่นไดทําความเขาใจนาวา มีตนมะละกอ 2 ตน ตนหนึ่งขึ้นอยูในรั้วบานฉัน อีกตนหนึ่งขึ้นอยูอีกฝงหนึ่งของรั้วถามีคนแปลกหนาเอาขวานมาฟนตนมะละกอตนนอกบาน ฉันจะโกรธ จะไปไลคนนั้นไมใหตัดมั้ยฉันก็ตอบวาไมเพราะไมเกี่ยวกับฉัน นาถามตอวาแลวกลับกัน ถาเขามาตัดตนที่ขึ้นในบานของฉันละ ฉันจะทําอยางไร ฉันก็ตองไปไลคนที่มาตัดซิจะมาตัดตนมะละกอของฉันไดยังไง นาก็ถามวาตนมะละกอเหมือนกัน ทําไมตัดตนหนึ่งโกรธแตตัดอีกตนหนึ่งไมโกรธละ ฉันตอบวา ก็ตนของบานฉันฉันรดน้ําดูแลใสปุยแลวฉันก็ไดเก็บลูกกินฉันก็ตองหวงของฉันนี่ไง..ของของตนทําใหเปนทุกขเขาใจแลวเปนแบบนี้นี่เองนาก็ถามตอวา แลวแครดน้ํากับใสปุย มะละกอจะงอกงามจนออกลูกไดมั้ย ฉันก็วา ไมนะจริงๆแลว นอกจากน้ําและปุย มันยังตองการอากาศ แสงแดด และสภาพดินที่เหมาะสมอีกดวย แลวนาก็ถามวาแลวอากาศ แสงแดดพื้นดินเปนของใครกัน ฉันตอบไมไดนาจึงวาก็“ของโลก” ไง ฉันพยักหนาเห็นดวยแตโดยดีเพราะเราไดอาศัยเก็บลูกมะละกอกิน รดน้ําใหบางเปนครั้งคราว ใสปุยบางเพราะอยากใหลูกดก แคนี้เราก็ไปตูเอาวามะละกอเปนของเรา ปจจัยอีกหลายอยางที่ประกอบกันแลวทําใหมะละกอออกลูก เราไมไดคิดถึง ถาเปนของฉันจริงๆ ฉันตองสั่งใหตนมะละกอออกลูกไดตามใจ โตเร็วไดดังใจ และตองอยูกับฉันตลอดไปซิ
Page 16
-16-ถาสังเกตตัวเองดีๆ จะพบวาเรามักจะมีอารมณกับสิ่งที่เราเกี่ยวของหรือมีผลกระทบตอตัวเราหรืออะไรก็ตามที่เราวาเปนของของเรา เชน ถามีใครมาวิจารณหรือตอวาตัวเรา พอแมเรา เพื่อนเราผลงานของเรา เสื้อผาที่เราใส หรืออาหารที่เราทํา เรามักไมพอใจ จะมากนอยก็แลวแตสถานการณเพราะเราไมเคยพิจารณาสิ่งที่คิดวาเปนของเราวาจริงๆแลวคืออะไร ที่มา ที่เปน ที่ไปเปนอยางไรเปนของเราจริงหรือ จึงทําใหทุกขเพราะไมเขาใจความเปนจริงของสิ่งนั้นๆ อยางที่ฉันทุกขกับเรื่องถวยกาแฟนั่นเองมีอะไรอีกบางที่เราไปตูวาเปนของของเรา ทําใหใจเราเคยเปนทุกข หรือเสี่ยงตอการเกิดทุกขในอนาคตตองลองคนดูและคอยๆแจกแจงที่มาที่เปนที่ไปของสิ่งนั้นดูนะคะแตเพราะเรายังตองใชชีวิตอยูในสังคมมีหนาที่การงานเรายังตองอาศัยสิ่งตางๆเพื่อดํารงชีวิตและอํานวยความสะดวกใหเราตามอัตภาพและฐานะ สิ่งที่สําคัญคือเราตองเรียนรูที่จะเอาประโยชนจากสิ่งที่มี ทั้งทางกายใหตรงกับวัตถุประสงคของการมีของนั้น และทางใจคือใชสมบัติเหลานั้นเปนหลักฐานใหเราไดสัมผัสความจริงไมวาจะ“มี”อะไรใหมีใหไดประโยชนอยา “มี” ใหเปนตนเหตุใหใจทุกขเพราะความไมเขาใจความจริงการคิดพิจารณาความจริงตองคิดพินิจพิเคราะหอยางละเอียดถี่ถวนใหเกิดความรูสึก หามคิดแบบรวบรัดตัดความเพราะไมทําใหเรามีอารมณรวมกับการคิดนั้นก็ไมเกิดประโยชน ที่ตองทําอยางนี้เพราะเรากําลังจะสั่งสอนใจเรา แตใจเราไมคุนเคย เราตองเอาสิ่งตางๆที่เห็นภายนอกหลายๆอยางมาประกอบกันเพื่อเปนหลักฐานใหใจไดรับรูและเกิดความรูสึกตามไปนึกถึงเวลาที่ทนายความสืบพยานตอหนาลูกขุน ทนายตองผูกเรื่องราวจากคําใหการของพยานประกอบกับหลักฐานที่มีอยูใหลูกขุนฟงเพื่อพิจารณาคดี ทนายฝายโจทกกับทนายฝายจําเลยตองใชพยานและหลักฐานทั้งหมดที่มีเพื่อเอาชนะอีกฝายหนึ่ง ลูกขุนเปรียบเหมือนใจของเรา ทนายฝายโจทยคือปญญาทางธรรมที่คอยดูแลใหใจสบาย ทนายฝายจําเลยคือความเห็นผิดที่ทําใหใจเปนทุกข ปกติใจเราจะคุนเคยกับฝายความเห็นผิดเพราะฝายนี้มีกลยุทธแพรวพราวทําใหเราหลงเชื่อมานานแลว สวนปญญาทางธรรม
Page 17
-17-ของเรายังก็ไมเคยไดมีโอกาสออกมาทํางานแตขณะนี้เรากําลังจะฝกปญญาทางธรรมออกมาขับเคี่ยวกับความเห็นผิดที่เรามีอยูตองหมั่นคนหาความจริงและเก็บหลักฐานสอนใจบอยๆจะไดชํานาญ TIP: “ ในการพิจารณาความจริงเราตองทําหนาที่เปนหมอใจของตัวเองวินิจฉัยโรคใจที่เราเปนอยูดูวาเรามีโรคเรื้อรังอะไรฝงใจอยูบางมั้ยหรือขณะนี้เราเปนโรคอะไรอยูคือเรามักจะอารมณเสียกับเรื่องใดเปนประจําบางใหนั่งนึกดูนะคะโรคเหลานี้แหละคะที่เปนเปาหมายของเรา แตในเมื่อเรายังเปนผูฝกหัดเราตองติดอาวุธใหกับตัวเองโดยการฝกเปนคนชางสังเกตสังเกตความคิดความรูสึกของตัวเองในแตละขณะจากเดิมที่เราเคยชินกับการมองคนอื่นก็ใหหันกลับมามองตัวเองใหมากขึ้นฝกคิดพิจารณาสิ่งของตางๆรอบตัวโดยเฉพาะที่รักๆวามีที่มาที่เปนที่ไปอยางไรแลว“นอม” หรือยอนมาเทียบกับตัวเราเสมอๆเพื่อความชํานาญ ”
Page 18
-18- บทที่ ๕ หมากับไกสอนใจ เพราะเปนลูกคนโต เปนลูกคนเดียวในบานมากอน เมื่อมีนองก็ทําใหฉันรูสึกวาพอแมรักฉันนอยลง เวลาพอซื้ออะไรมาฝาก เมื่อกอนฉันก็ไมตองแบงใหใคร พอมีนองก็ตองแบงใหนอง เวลาเลนกับนองพอนองรองไหฉันก็โดนพอแมดุรูสึกนอยใจพอแมลึกๆมาตลอดมีอยูครั้งหนึ่ง...จําไดแมนวาไปซุปเปอรมารเก็ตแลวฉันอยากซื้อขนมอยางหนึ่งพอไมอนุญาตใหฉันซื้อ แตพอนองขอบาง พอกลับไมวาอะไร เมื่อเริ่มโตขึ้น เลนกับพอ พอก็ไมเลนดวยบางครั้งฉันไปนั่งใกลๆอยางเคย พอก็บนวารอน ถาฉันยังขืนเบียดอยูอีกก็จะโดนพอหยิก ฉันก็เสียใจดวยความที่ชอบกินขนมมากกวาขาว ก็เริ่มอวน พอก็มักจะดุเวลาฉันกินขนม ฉันเคยทะเลาะกับพอแรงๆเรื่องกินขนมหลายครั้งแมบอกวาพออยากใหลูกดูดีแตตอนนั้นฉันไมเขาใจความนอยใจถูกเก็บซอนไวในใจวาพอไมรักเรา ทําใหฉันกับพอหางเหินกันมากขึ้นเรื่อยๆหลังจากรูจักการหาอุบายธรรมมาสอนใจ และเคยลิ้มรสใจที่เบาสบายหลังจากปลดความทุกขที่เกิดจากความเห็นผิดออกไดบางแลว ฉันก็เริ่มขุดคุยคนหาขยะที่ซุกซอนไวใตพรมในใจเปนการใหญในขณะที่นั่งเครื่องบินกลับอังกฤษกอนเปดเทอมสอง ฉันก็นึกถึงคราวที่มีพอกับแมมาดวยพอกับแมบินมาสงฉันที่อังกฤษกอนวันเปดเทอมๆแรก เพื่อพาฉันไปดูที่พักและหาซื้อของที่จําเปนกอนยายเขาที่พักฉันทะเลาะกับพอเพราะฉันอยากไปเที่ยวที่ตางๆตามที่หนังสือนําเที่ยวแนะนํา แตบางทีพอก็ไมยอมพาไปฉันก็ไมพอใจนึกเสียใจวาพอไมรักไปตางๆนานาแลวก็นึกยอนไปถึงเรื่องเกาๆที่แอบนอยใจสมัยเด็กๆที่ยังจําไดแมน นอกจากเรื่องนอยใจฉันก็จําไดวา ทุกครั้งที่ฉันรองไหไมวาตอนเด็กหรือตอนโตพอก็จะดึงฉันไปกอดและใหเช็ดน้ําตากับเสื้อพอทุกทีก็นึกไปเรื่อยๆทั้งเรื่องที่นอยใจ และเรื่องอื่นๆปนเปกันไป ใจก็นึกไปถึงหมาที่วิ่งอยูริมถนนหนาบาน
Page 19
-19-แถวหนาบานฉัน คนชอบเอาหมาที่เขาไมตองการแลวมาปลอย เมื่อมีคนใหอาหาร มันก็อยูแถวๆนั้นไมไปไหน จนออกลูกออกหลาน ฉันก็เห็น พอ แมหมาเหลานั้นมันดูแลลูกมันไมนานนักมันก็แยกยายกันตางตัวตางไป ไมเปนพอเปนแม ไมตองคอยดูแลกันอีกตอไป นึกไปถึงไกที่เคยเลี้ยง แมไกมันกกไขไดไมนาน ไขก็ฟกออกมาเปนลูกเจี๊ยบ แมไกก็พาออกคุยเขี่ยหาอาหารไมนานก็แยกยายกันไปไมตางจากหมาใจก็ยอนคิดทันทีวา ‘แลวเราละ...ที่วาพอแมไมรักนะ...จริงเหรอ’ ฉันไดคิดวา...ถาพอแมไมรักฉัน ทานจะทําแบบพอแมหมา พอแมไกก็ได แคดูแลใหฉันหาอาหารกินเองได ชวยตัวเองได แลวก็แยกยายกันไป หรือทําแบบที่เห็นตามหนาหนังสือพิมพ ที่พอแมใจรายเอาลูกทารกไปทิ้งตามขางทาง ฉันจะทําอะไรได ถามีคนมาเจอก็ดีไป ถาไมมีก็ตายอยางเดียวแตพอแมฉันทานไมไดทําอยางนั้น ทานเลี้ยงฉันจนโต ใหอาหารที่ดี ซื้อของเลนใหสารพัดใหฉันไดเขาโรงเรียนที่ดี ไดเรียนสูงๆ มีบานดีๆอยู อยากไปเที่ยวก็ไดไป อยากไดรถก็ได ใหฉันมีโอกาสในชีวิตมากกวาคนอีกมากมาย พอแมฉันดีกับฉันและรักฉันมากมาย แตฉันกลับมองไมเห็นความรักของทานคิดอยูแตวาทานไมรักฉันฉันคิดหาสาเหตุวาอะไรนะที่ทําใหฉันคิดแบบนี้ ฉันตองการความรักแบบไหนกัน ฉันอยากใหพอแมทําอะไรใหฉันอีก ฉันพบวาเพราะฉันคิดถึงแตวาฉันตองการอะไรจากทาน ถาตองการใหทานกอดแลวทานไมกอด ฉันก็ไมพอใจ พาลคิดวาทานไมรัก ถาตองการใหทานซื้อของให ถาทานไมซื้อ ฉันก็ไมพอใจอีก คิดแตวาทานไมรัก ฉันก็เห็นแตจุดที่ไมไดดังใจแคนั้น เพราะทานไมไดรักฉันอยางที่ฉันตองการ อยางที่ฉันคาดหวังเทานั้นเอง จุดอื่นที่พอแมทําใหที่สําคัญกวา มีคุณคากวามีมากมาย แตฉันกลับไมเอามาคิด กลับนึกไมถึง ไดแตเก็บเอาความไมพอใจมานั่งนอยใจ ทําตัวหาง
Page 20
-20-เหิน และเอาแตพูดวาพอแมไมรัก ถึงตรงนี้ไดเห็นตัวเองวา ฉันนี่แยจริงๆ ฉันไมเห็นความรักของพอแมและยังทําใหพอแมตองเสียใจเพราะฉันเมื่อรูอยางนี้ จึงซาบซึ้งถึงพระคุณของพอแม ความนอยใจกอนใหญที่ซอนไวลึกๆในใจมานานก็หมดไป ไดแตนั่งเขียนจดหมายถึงทานวา วันนี้ไดเห็นความจริงในความรักของพอแมแลวอยางไรบาง ไดกราบขอโทษพอแมในความเห็นผิด ทําใหแสดงออกมาทางการกระทําและคําพูดที่ไมเหมาะสมไมนารักใหพอแมทุกขใจหลายๆครั้งตั้งแตเด็กจนโตดูซิ...ความเห็นผิด ความไมรูในใจเรามันรายกาจนัก ทั้งทํารายใจตัวเองและคนรอบขางเราไดมากขนาดไหนแลวอีกโรคที่เรื้อรังในใจมานานของฉันก็ไดยาดีมารักษา ดวยคุณหมอที่ดีที่สุดก็คือตัวฉันเอง ทานก็คือหมอใจที่ดีที่สุดของทานเองเชนกัน เมื่อพบโรคที่เปนอยูใหเอาเรื่องราวเหลานั้นมาพิจารณา คิดสบายๆ แตใหคิดปะติดปะตอเปนเรื่องราว แบบเดียวกับการยอนคิดถึงความหลัง เมื่อมีความตั้งมั่นในการคิดพิจารณา สิ่งที่ไดพบเห็นผานตามาอาจเปนอุบายธรรมใหเราไดไขปญหาใจใหคลายทุกขในเรื่องนั้นๆได เชนเดียวกับหมาและไกที่เปนอุบายธรรมใหฉันไดเห็นความจริงในความรักของพอแม TIP: “ การพิจารณารักษาโรคใจเปนเรื่องสวนตัวของแตละคน ไมจําเปนตองเหมือนกันใหแตละคนมีอิสระทางความคิดไดเต็มที่โดยอยูบนพื้นฐานเดียวกันคือความเปนจริงที่มีหลักฐานยืนยันไดไมใชคิดเอาเองตามความพอใจถาหลักฐานความจริงเพียงพอ ผลของการพิจารณาคือใจที่สบายคลายทุกขเพราะใจยอมรับความจริงในเรื่องนั้นนั่นเองผลของการปฏิบัติก็เปนสวนตัวรูไดดวยตัวเองเชนกัน ”
Page 21
-21- บทที่๖ หนักนักก็วาง…แลวจะเบา หลังจากเรียนจบปริญญาตรี กอนจะไปเรียนตอปริญญาโท ฉันไดเขาทํางานในบริษัทใหญแหงหนึ่ง ตลอดเวลาที่ทํางานที่นั่น ฉันไดรับคําชมมากมาย เคยไดรับจดหมายชมเชยจากบริษัทหลายครั้งวาเปนพนักงานที่มีคุณภาพ มีประสิทธิภาพการทํางานสูง เจานายทุกคนก็รัก ฉันคิดวาฉันประสบความสําเร็จในหนาที่การงานแลว ฉันภูมิใจในตัวเองและยิ่งทุมเทใหกับงานอยางมากขึ้นแตละวัน เมื่อกลับถึงบานค่ําๆมืดๆก็ยังไมหยุดคิด หยุดบนถึงเรื่องงาน เรื่องเพื่อนรวมงานคนโนนลูกคาคนนี้ ใหพอแมฟงตออีกไมเวนแตละวัน บางวันพอขี้เกียจฟง ก็วาฉันนั้นไมฉลาดเลยที่เปนแบบนี้ แตฉันก็ไมเขาใจที่พอพูด ยังบนใหแมฟงตอไป นับวันฉันจะชอบหาขอบกพรองของคนอื่นมากขึ้น และขี้รําคาญ ใครทําอะไรก็ไมถูกใจไปหมด หาขอติไดแทบทุกเรื่องในชวงนั้น ทําใหฉันหงุดหงิดไดตลอดทั้งวันเลยทีเดียวเมื่อเริ่มนอมเปน ไดเห็นคนขี้หงุดหงิดหลายคนรอบขาง เห็นวาเราก็เหมือนเขา ขี้หงุดหงิดงาย อารมณเสียงาย เวลาอารมณไมดีหนาตาก็ยูยี่ พูดเสียงแข็งๆไมนาฟง บางทีก็บนออกมา เปนที่นารําคาญกับคนรอบขาง ฉันเองก็ยังไมชอบอยูใกลคนแบบนี้เลย เห็นขอเสียของตัวเองแบบนี้จึงพยายามแกไขวันหนึ่งระหวางที่เดินไปสวนสาธารณะใกลบาน ก็คิดไปดวยวา ฉันกลายเปนคนขี้หงุดหงิดตั้งแตเมื่อไหรกัน นึกยอนไปตอนเด็กๆฉันเปนเด็กอารมณดีราเริง ยังไมมีนิสัยขี้หงุดหงิด เอาแตวิ่งเลนสนุก เลนกับคนโนนที คนนี้ที ฉันก็คิดวา ‘เอ....ตอนเด็กๆเราคิดตางจากตอนโตยังไงนะ อะไรทําใหเราเริ่มเปนแบบนี้’ ฉันนึกยอนตอไป เหมือนยอนดูหนังที่ฉันเลนเองนึกไปถึงตอนทํางานกลุมกับเพื่อนที่มหาวิทยาลัยกอนจะจบปริญญาตรีฉันเคยตอวาเพื่อนในกลุมวาเขาไมตั้งใจทํางานทําใหงานของเขาออกมาไมดีพอฉันคิดวาฉันทําไดดีกวาฉันเลยตองเปนคนทําซะเองสวนเพื่อนก็ไมพอใจฉันและไม
Page 22
-22-อยากจะทํางานตอฉันมักจะตอวาคนอื่นแรงๆเมื่อเขาทําอะไรไมถูกใจฉันหรือทําไมไดตามมาตรฐานที่ฉันตั้งไวเมื่อเรียนจบดวยคะแนนที่นับวาดีทีเดียว ดีกรีความไมพอใจคนอื่นยิ่งเพิ่มสูงขึ้น มีคนบอกฉันหลายคนวาฉันเปนคนมั่นใจในตัวเองมากแตฉันไมเห็นวาเสียหายตรงไหนชวงที่เขาทํางานใหมๆมีพี่ที่ทํางานมาขอใหฉันอธิบายรายละเอียดขั้นตอนผลิตผลิตภัณฑของบริษัทใหเขาฟงอธิบายเทาไหรเขาก็ไมเขาใจ จนฉันรําคาญและคิดวาเพราะเขาไมตั้งใจจึงไมเขาใจอยูอยางนั้น ฉันเลยบอกเขาไปวา วันหลังใหเอาสมองมาดวยแลวคอยมาถามใหมแลวกัน เขาโกรธฉันมาก แตฉันก็ยังไมรูวาตัวเองพูดอะไรออกไป และยังไมหยุดนิสัยแบบนี้ เหตุการณที่สะดุดใจที่สุดคือ ฉันเปนหนักขนาดหงุดหงิดแมกระทั่งเด็กปม วาเขาเติมน้ํามันไดไมเขาทา แตก็ไมรูจะทําอยางไรกับตัวเองในตอนนั้นฉันเห็นถึงความหนักในใจตัวเองแตละครั้งที่หงุดหงิด เพราะไมไดดั่งใจจากการกระทําของคนอื่นขณะที่ยอนนึกถึงเหตุการณที่ผานมา ใจก็นึกถึงคําพูดที่ไดยินเมื่อวันกอนวา “กระเปาหนักก็วางสิ” นาคนหนึ่งพูดกับเพื่อนที่ไมยอมวางกระเปาถือใบใหญ แตบนวาหนัก เมื่อเขาวางกระเปาลงตามที่เพื่อนแนะนําก็พูดวา“เออจริงเนอะ..พอวางแลวก็เบาจริงๆ” ใจก็นึกตอวา ‘แลวที่เราหนักละ เราถืออะไรอยูนะ’ ทันใดนั้นก็เห็นภาพตัวเองถือไมบรรทัดอันใหญมาก ที่คอยเที่ยววัดคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา ‘เออนะก็มันทั้งใหญและหนัก ไมถือแลววางดีกวา’ พอใจยอมวางรูสึกเบาทันทีจริงๆ เข็ดแลวไมหลงแบกไมบรรทัดในใจอันใหญใหหนักอีกตอไป‘...แลวที่เคยติคนอื่นเขา..แลวฉันละเคยทําอะไรผิดพลาดบางมั้ย’ ยอนนึกดูตัวเองยกตัวอยาง เวลาสอบ เขาใหทําขอสอบใหถูก ฉันไมเคยทําถูกหมดสักที เพราะสะเพราและเลินเลอเวลาขับรถบางทีก็หลงทาง ไปซื้อของพอกลับถึงบานไมมีของซะแลวเพราะลืมไวที่รานนัดหมาย
Page 23
-23-กับเพื่อน บางครั้งก็ไปไมทัน บางครั้งก็ลืมสนิทจนผิดนัด แมฝากซื้อของ บางครั้งก็ซื้อมาผิด เปนตนฉันเองก็ไมตางจากคนที่ฉันเคยติหรอก เพราะก็เคยทําผิดทําพลาดทําไมถูกใจใครหลายๆคนเชนกันแตเวลาที่พลาดเอง มักจะไมถือสาตัวเอง คิดวาเปนเรื่องเล็กๆนอยๆบาง ธรรมดาบาง แตถาเปนคนอื่นพลาดยอมไมได ดูความไมเปนธรรมของตัวเราซิ เมื่อเห็นวาตัวฉันเองก็เคยพลาด ทําใหเขาใจผูอื่นวาเวลาเขาพลาดเขาก็คิดก็รูสึกไมตางจากเราหรอกฉันเคยซื้อของแตกลับลืมของทิ้งไวที่ราน จึงโดนแมดุ ฉันก็เสียใจเพราะไมไดตั้งใจพลาดทําใหเห็นใจผูคนที่ฉันเคยวาเคยพูดจาแยๆดวยจริงๆและเมื่อจะวิพากวิจารณใครอีกก็ตองระมัดระวังคําพูดเพราะเห็นใจเขากับใจฉันไมตางกัน ไมลืมที่จะคิดกอนพูดวา ถามีคนมาพูดแบบเดียวกับที่เรากําลังจะพูดออกไปเราจะรูสึกอยางไรถาเราไมชอบผูอื่นก็ไมชอบเชนเดียวกัน TIP: “ การนอมเปนก็ดีอยางนี้ยิ่งนอมเกงเทาไหรยิ่งทําใหเห็นวาฉันและเขาไมตางกันเราไมชอบอะไรเขาก็ไมชอบเชนกันเห็นใจกันเห็นใจตัวเองและเห็นใจผูอื่นแตถานอมแลวพิจารณาแลวยังเห็นวาตัวเราดีกวาเขาหรือยังเขาขางตัวเองอยูก็ใหหาหลักฐานความเปนจริงใหใจไดเห็นตอไปนะคะ เมื่อหลักฐานเพียงพอใจจะยอมรับความจริงทั้งหมดเอง ”TIP: “ ที่ใจยอมวางไดเปนเพราะใจไดเห็นหลักฐานเพียงพอไดเห็นทุกขโทษภัยของการเที่ยวเอาใจตัวเองไปวัดผูอื่นทุกขคือความหงุดหงิดขี้รําคาญความหนักที่เกิดขึ้นในใจเมื่อตองการใหทุกอยางเปนอยางใจคิดซึ่งไมมีทางเปนไปไดโทษคือเมื่อเราไมไดดังใจการแสดงออกทางกริยาวาจาก็ไมเหมาะสมสามารถสรางเวรสรางกรรมตอไปไดภัยคือปฏิกิริยาโตตอบที่ผูอื่นอาจกระทําตอเราจากการที่เราแสดงกริยาวาจาที่ไมเหมาะสมตอเขากอน ”
Page 24
-24- บทที่ ๗ขอบคุณดอกไมตนไมในสวน ในการอบรมที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตรครั้งนั้น วิทยากรพูดไดวา “ในการปฏิบัติแนวปญญา ไตรลักษณเปนหลักสําคัญในการพิจารณาพิจารณาอะไรก็ใหลงสูไตรลักษณ” ไตรลักษณประกอบดวย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ฉันเองก็เคยไดยินคําเหลานี้มานานแลวอนิจจัง แปลวาความเปลี่ยนแปลง ความไมเที่ยง ทุกขัง คือความทุกข อนัตตา ความไมมีอะไรเปนตัวตน ถามใจตัวเองวาเขาใจคําเหลานี้ดีมากนอยแคไหน เพราะถาเขาใจแคคําแปลก็ไมมีประโยชนอะไรกับเราจริง ตอบอยางซื่อสัตยกับตัวเองที่สุดวา ยัง....ยังไมเขาใจถองแทดวยตัวเอง แครูตามหนังสือเปนแคการรูจัก“ชื่อของธรรมะ” เทานั้นทําอยางไรดีละ ...จําไดวาปาๆนาๆกัลยาณมิตร บอกวา ถาอยากรูความจริงอะไร สิ่งตางๆรอบตัวโดยเฉพาะตนไมดอกไมชวยได ตอนนั้นฉันจึงออกจากหองไปเดินหาความจริงในสวนใกลที่พัก TIP: “ ขอเชิญชวนทานผูอานออกไปหาความจริงดวยกันนะคะใจเย็นๆไมตองรีบรอนรับรองวาตองไดเจอความจริงแนๆเปนความจริงในแบบของใครของคนนั้นอีกดวยไมตองเหมือนในหนังสือหรือเหมือนกับใครทั้งนั้น ถาทานพบความจริงดวยตัวเองแลวก็รับรองไดวาจะเกิดความมั่นใจโดยไมตองถามใครวาที่เราเขาใจนั้นถูกหรือผิดบอกใบใหวาตองชางสังเกตชางสงสัยทําตัวทําใจใหเหมือนเด็กที่สําคัญใหคิดตามสบายอยางเปนอิสระ)ทางความคิด(ใหตั้งคําถามถามตัวเองไมมีถูกผิดเหมือนทําขอสอบคะแคตองกลาๆคิดหนอย ”
Page 25
-25-ลองตั้งคําถามกับตัวเองดูซิวา...ดอกไมตนไมเปนอยางไร มีดอกมีใบกี่แบบ หลับตาบาง ลืมตามองดูบางที่เห็นวันนี้เหมือนที่เห็นเมื่อวานมั้ยความเปลี่ยนแปลงของกิ่งกานดอกใบแตละอันวาเหมือนกันมั้ยแตกตางกันอยางไรเมื่อหมดสภาพตกลงสูพื้นดินมีความเปลี่ยนแปลงอยางไรถาเราอยากใหดอกไมที่กําลังบานสวยอยูขณะนี้ คงอยูตลอดไป จะเปนอยางไร ถามตัวเองดูนะคะ เมื่อเขาใจกับความจริงทั้งสามขอนี้)อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา(บางแลว ลองนอมดูตัวเองวาเราเหมือนหรือตางกันอยางไรกับตนไมเหลานั้นบาง....วันนั้นเมื่อฉันไปถึงสวนสาธารณะ ฉันตั้งหลักใจของฉันวาจะตองทําความรูจักกับ “ความเปลี่ยนแปลง” ใหได ฉันเดินชมสวนอยางสบายใจเชนเคย เหลือบเห็นตนไมตนหนึ่งดอกสีชมพูบานสะพรั่งตัดกับใบสีเขียวเขมอยางสวยงาม ฉันชอบตนไมตนนี้มาก รูสึกอยากใหดอกบานสวยอยางนี้นานๆจึงเดินเขาไปดูใกลมองอยางพินิจพิเคราะหเมื่อสังเกตดีๆนอกจากตนไมที่มีดอกบานสะพรั่งเต็มตนแลว ฉันเห็นวาดอกบางดอกเริ่มโรยบางดอกก็เหี่ยวหอยรองแรงพรอมจะหลนจากตน บางดอกก็ยังตูมเปนตุมเล็กๆสีเขียว หาดอกที่สวยสมบูรณแบบไมไดเลย บางดอกยังไมทันบานก็เนาซะแลว สวนใบที่เห็นเขียวๆเปนพุม ดูใกลๆเห็นมีทั้งยอดออน ใบที่ยังไมแกมาก และใบที่เปนสีเขียวเขม สวนใหญก็มีรองรอยหนอนเจาะ บางใบก็หงิกๆงอๆมีฝุนเกาะ เมื่อมองเรื่อยๆลงมาที่โคนตนก็เห็นทั้งดอกและใบเหี่ยวๆสุมกันอยูมีแมลงหวี่บินไปมาคอยๆยอยสลายกลายเปนดินเปนอาหารใหลําตนดูดกินเพื่อเจริญเติบโตตอไปนี่ไง“ความเปลี่ยนแปลง” ดอกที่กําลังบานสะพรั่งขณะนี้ เมื่อกอนก็เปนดอกตูมและดอกตูมที่เห็นตรงหนาตอไปก็จะบาน แตความเปลี่ยนแปลงไมมีกฎตายตัว ดอกตูมก็เนาโดยที่ยังไมบานไดดอกที่บานสวยไมนานก็เปลี่ยนแปลง ถาไมโดนหนอนกิน ก็จะคอยๆเหี่ยวและรวงจากตน ‘นี่ก็ไมตางจากเรา’ ฉันคิดในใจ เมื่อกอนฉันก็ตัวเล็กๆเปนเด็กทารกเนื้อตัวเตงตึงเหมือนดอกตูม เมื่อไดรับการเลี้ยงดูอยางเหมาะสมก็คอยๆเติบโต บางครั้งที่เปนโรคก็เหมือนกับดอกไมที่โดนหนอนเจาะ ถาดอกไมดอกไหนไมแข็งแรงหรือมีศัตรูพืชมากก็รวงโรยไปตั้งแตยังไมบาน หรืออาจเกิดความพิการ
Page 26
-26-ไมสมบูรณอีกตอไป ดอกไมก็มีอายุของมันเมื่อบานเต็มที่ก็คอยๆโรยราไมวาสภาพแวดลอมจะดีเพียงใดก็ไมสามารถคงสภาพเดิมได ฉันก็เหมือนกัน และในที่สุดฉันก็ตองเปนดอกเหี่ยวรวงทับถมที่โคนตน เนา เปอย แหลกสลายกลายเปนดิน เปนสภาวะสุดทายของการเปลี่ยนแปลง ไมเหลือสภาพเดิมใหแยกแยะวาเคยเปนสิ่งใดมากอน คืออนัตตาไมมีตัวตน ถาไมมีดอกใบเหี่ยวๆรวงลงดินยอยสลายจนเปนดินในที่สุด ตนไมจะเอาอาหารจากที่ไหนเพื่อเจริญเติบโตตอไป ดอกไมมีวัฏจักรของมัน ฉันก็มีวัฏจักรที่ไมตางกัน ดอกไมทําใหฉันไดเห็นวาความเปลี่ยนแปลงมีอยูในทุกสิ่งทุกอยางและที่สําคัญไมมีกฎตายตัวใหเราคาดหวังไดเลย)ไมเที่ยง (เราไมมีทางรูวาดอกตูมดอกไหนจะบานสวย จะบิดเบี่ยวหรือจะรวงตั้งแตยังไมบานเลย และในที่สุดของการเปลี่ยนแปลงไมวาดอกไมหรือตัวฉันก็กลายเปนดินเหมือนๆกันหมดตอนแรกที่เห็นตนไมตนนี้ฉันรูสึกอยากใหดอกบนตนบานอยูนานๆเพราะสวยดี เมื่อเห็นแลววาความเปลี่ยนแปลงอยูในทุกๆสิ่ง ทําใหเขาใจตอไปวา ที่เราเปนทุกขกันทุกวันนี้ก็เพราะวาความคิดของเราที่ตั้งอยูบนความไมรูจริงนี่เอง ที่ฉันคิดวาอยากใหดอกไมบานสวยไปนานๆเพราะฉันไมยอมรับความเปลี่ยนแปลงและไมคิดวาความเปลี่ยนแปลงมีในทุกๆสิ่งจริงๆอยางหมดใจ จึงทําใหยังแอบหวังวาถาดอกไมอยูนานๆก็ดีเพราะเราพอใจกับความสวยงามของดอกไม จึงอยากเก็บไวดูนานๆ คิดตานความเปลี่ยนแปลงอยางนี้เทากับทําใหตัวเองเสี่ยงกับการเปนทุกขเขาแลว เพราะไมมีใครหรือสิ่งใดในโลกหนีความเปลี่ยนแปลงได ถาอยูๆมีคนเดินมาเด็ดดอกไมที่เรากําลังยืนชมความงามอยู รับรองฉันตองไมพอใจคนนั้นไมมากก็นอยอยางแนนอน นี่ไงความทุกขเกิดอยางนี้นี่เอง แตถาเรายอมรับความเปลี่ยนแปลงอยางหมดใจเราก็จะรูวา ดอกไมดอกนี้ตองเปลี่ยนแปลงไมทางใดก็ทางหนึ่ง คนเด็ด ลมพัดหัก หนอนกิน เหี่ยวไปเอง หรือถามีคนมาเด็ดจริงๆ คนๆนั้นก็ไมสามารถยืนเด็ดดอกไมไดตลอดไป เดี๋ยวเขาก็ไปและตนไมก็จะออกดอกใหมไดอีกในไมชา เราก็ไมจําเปนตองไปโกรธหรือไมพอใจคนๆนั้น
Page 27
-27-ฉันพบวาใจที่ยอมรับความเปลี่ยนแปลงและความไมเที่ยงเทานั้นที่จะไมมีความทุกขเพราะฉะนั้นฉันจึงตั้งหนาตั้งตาเก็บหลักฐานรอบตัวเพื่อตอกย้ําใหใจไดเห็นวาความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นกับทุกๆสิ่งทุกๆอยางรวมทั้งตัวเองดวยอยางไมมีขอแมและไมมีรูแบบตายตัวฉันเดินตอไปเรื่อยๆในสวนเพื่อเก็บหลักฐานความเปลี่ยนแปลง อยูๆก็มีลมแรงมากพัดมาลมแรงจนฉันตองหลับตาเพื่อไมใหฝุนเขาตา เมื่อลมสงบ...ฉันลืมตาขึ้น ฉันพบใบไมเกลื่อนกลาดไปหมด ฉันเริ่มสังเกตความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อครู ใบไมเหลานี้กอนลมจะพัดมาตองอยูบนตนไมไมตนใดก็ตนหนึ่งแถวๆนี้แนกอนหนาที่ลมจะพัดมาก็ไมมีลม ไมมีใบไมเกลื่อนกลาดบางสวนก็ยังอยูบนตน เมื่อลมพัดมา ใบไมถูกกระแสลมพัดอยางแรงจนหลุดออกจากตน สวนที่รวงอยูแลวก็ยายจากที่หนึ่งมาอีกที่หนึ่ง ถนนที่สะอาดสะอานเมื่อครูไมมีแลว จํานวนใบของตนไมแตละตนในบริเวณนั้นก็ไมเทาเดิม ฉันที่สะอาดสะอานกอนลมพัดตอนนี้ก็เต็มไปดวยฝุน ทําใหเห็นวาความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทุกขณะจริงๆจนทําใหหาคําจํากัดความสิ่งตางๆรวมทั้งตัวเราเองใหถูกตองรอยเปอรเซ็นตไดยากเพราะมันเปลี่ยนอยูตลอดเวลาฉันพบวาทุกๆขณะที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ทิ้งใหชวงที่ผานไปนั้นเปนเพียงอดีต ไมใชของจริงอีกตอไปเหลือเก็บไวแตความทรงจําเหมือนเราเอาหนังมาฉายดูกันจริงๆแลวภาพเคลื่อนไหวที่เราเห็น ก็คือภาพหลายๆภาพเรียงตอๆกัน แลวใหความเร็วเปนตัวเชื่อม ภาพแตละภาพผานสายตาเราเพียงแวบเดียว ภาพที่เห็นตรงหนาเมื่อครูขณะนี้ก็ไมมีแลวเพราะมีภาพใหมมาแทนที่ แลวภาพที่เห็นขณะนี้ก็ตองผานไปเชนกันเปนอยางนี้ซ้ําแลวซ้ําเลา ชีวิตเราก็เหมือนกัน แตละขณะที่เราไดสัมผัส ที่เรารูสึก ที่เรามี ที่เราเปน ก็อยูกับเราแคชั่วคราวแลวก็ผานไป เหลือแตความทรงจําที่ไมมีตัวตนอีกแลว อดีตแมแตเมื่อวินาทีที่แลวก็ไมมีตัวตนอีกตอไป ถาเราไมยอมปลอยใหอดีตหรือสิ่งที่ไมมีตัวตนแลวผานไปก็ทําใหใจเราเปนทุกขเทานั้นเองลองยอนไปดูอดีตที่ผานมาของเราก็ได อยางเมื่อกอน เวลาฉันอยูบานแลวเพื่อนปากีสถานไมอยูฉันมีความสุขมาก ออกมานั่งหองนั่งเลน ทํากับขาวอยางสบายใจ แตพอเพื่อนปากีสถาน
Page 28
-28-กลับมา ฉันจะรูสึกเซ็งตองกลับเขาไปหมกตัวในหองหรือไมก็ออกไปขางนอกซะเลย แลวก็คิดวาทําไมจะตองกลับมาตอนนี้ดวยนะ! นี่ก็เปนหลักฐานอันหนึ่งที่แสดงในเห็นถึงการไมยอมรับความเปลี่ยนแปลง พอใจสิ่งไหนก็อยากใหสิ่งนั้นคงอยูอยางนั้นนานๆ แตถาไมพอใจสิ่งไหนก็อยากใหสิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วๆ(แตตองเปลี่ยนไปในทางที่เราอยากใหเปนดวยนะ) แลวทานผูอานละคะ...พบอะไรในสวนกันบาง...การเดินเลนในสวนในวันนั้น เปนครั้งแรกในชีวิตที่ฉันไดเปดโอกาสใหใจไดเรียนรูความจริงตามความเปนจริงของโลก ไดเขาใจเบื้องหนาเบื้องหลังของความทุกขใจที่เกิดขึ้นอยูเนืองๆวาที่แทก็มาจากความรูเทาไมถึงการณในความเปนไปของสิ่งตางๆรอบตัวแตก็เปนเพียงจุดเริ่มตนเทานั้น ฉันไดตั้งหลักใหกับใจของฉันวา ตอไปถามีความทุกขใจเกิดขึ้นอยาไดดวนตีโพยตีพายไปเหมือนเมื่อกอนที่ผานๆมา ใหคิดทบทวนดูกอนวา เราพยายามจะยึดใหอะไรคงเดิม ใหมันเที่ยงอยูอยางนั้น หรือไมยอมรับความเปลี่ยนแปลงหรือไม หรือวาเราลืมที่จะปรับตัวใหทันสถานการณที่เปลี่ยนไปไมรูจบหรือไม หรือมัวแตหลงอยูกับสิ่งที่ไมใชของจริงหรือไม เพราะทั้งหมดนี้แหละที่เปนสาเหตุของทุกขในใจเราที่แทจริงโดยมีความไมรูจริงไมยอมรับความจริงเปนตัวการใหญ
Page 29
-29- บทที่ ๘ หญิงกระโปรงแดง วันหนึ่งฉันนั่งอยูในรานกาแฟดูผูคนเดินผานไปมาเหลือบเห็นผูหญิงคนหนึ่งสวมกระโปรงยาวสีแดงแจดกับเสื้อแขนกุดสีสมสด ใจก็แอบคิดวา ‘โอโห...สีสดขนาดนี้ กลาใสออกมาเดินไดยังไงเนี่ย’ ‘เรากําลังไปยุงอะไรเรื่องของคนอื่นเขาอีกแลวนะเนี่ย’ จับความคิดตัวเองไดทัน จึงนอมเขาหาตัวทันทีวา ‘แลวเราละ...เวลาเราแตงตัว ถากลาออกจากบาน ก็แสดงวา..เราตองมั่นใจในชุดที่ใสวาสวยดีแลว เขาคนนั้นก็ตองคิดเหมือนกับเราไมอยางนั้นคงไมกลาออกจากบานแนนอน’ นี่ทําใหเห็นวาการคิดวิพากษวิจารณคนอื่นเกิดจากมีสิ่งที่มาขัดตาขัดใจของฉันเพราะฉันยังปลอยใหความคิดลองลอยไปตามความเคยชินแบบเดิมๆที่มีความเห็นผิดเปนตัวบงการผูถูกวิพากษวิจารณเขาก็ไมรูเรื่องอะไรและไมไดเดือดรอนไปกับฉันดวยเลย แตสําหรับฉันซิ...แคคิดก็ขาดทุนทั้งเวลาและพลังงานสมอง โดยไมไดประโยชนอะไรเลย ยิ่งถาฉันจับความคิดของตัวเองไมทัน นอมไมเปน ฉันก็จะไมมีโอกาสพลิกเอาความเคยชินแบบลบๆนี้ใหกลายเปนประโยชนกับตัวเองไดเลย แลวการคิดวิพากษวิจารณในใจก็อาจเปลี่ยนเปนการนินทาวารายผูอื่นในเวลาตอมาเปนการกอเวรกอกรรมไดอีกดวยการวิจารณเรื่องบางเรื่องอยางเผ็ดรอนเชน เรื่องการเมือง หรือนินทาคนที่เราไมชอบ ไมเกิดประโยชนกับเราแถมยังทําใหเกิดอารมณขุนมัว พระทานวา ผูมีจิตอกุศล หากหมดลมหายใจไปในขณะนั้นผูนั้นตองลงสูอบายภูมิ)ตกนรก(อยางแนนอนอยางไรก็ตาม ถายังเผลอวิจารณหรือนินทาผูอื่นอยู เมื่อจับความคิดตัวเองไดแลวใหรีบนอมทันทีวา “แลวเราละ...” ก็จะเกิดประโยชนตอตัวเองทันที เทากับเราไดยกผูนั้นมาเปนกระจกสองดูตัวเองใหไดเห็นสวนที่ไมดี สวนที่เรายังขาดตกบกพรองอยู นอกจากนี้ก็ใหพิจารณาทุกข โทษ ภัยของการวิจารณหรือนินทาคนอื่นใหมากๆจะไดเลิกนิสัยไมพึงประสงคนี้ได
Page 30
-30-ทุกข คือความรูสึกดานลบในใจที่เกิดขึ้นขณะที่เราวิจารณหรือนินทาใคร โทษ คือผลเสียที่เราไดรับในปจจุบันเชนเห็นวาเราขาดทุนทั้งเวลาและพลังงานสมองโดยที่ไมเกิดประโยชนตอตัวเอง และภัย คือความเดือดรอนที่จะตามมาในอนาคต จากการวิจารณหรือนินทาคนอื่น เชน ถาหากคนที่เราแอบวิจารณในใจอยูนั้นเปนเพื่อนสนิทของเรา เราอาจเผลอพูดสิ่งที่เราคิดออกมาเปนคําพูดอยางไมเกรงใจ คําพูดของเราสามารถทํารายจิตใจเพื่อนใหเกิดความไมสบายใจ และอาจผิดใจไมสนิทใจกันหรือทะเลาะกันเลยก็เปนไดทีนี้ถาเรากลายเปนฝายถูกกระทําบาง ถามีคนมาวิจารณ นินทา บน ติ ตอวาเรา ....กอนที่จะโกรธหรือไมพอใจ ใหคิดวา ‘แลวเราละ...เคยทําอยางนี้กับใครบางมั้ย’ นึกเหตุการณที่เคยเกิดขึ้นกับเราจริงๆ ใหเห็นหนาคูกรณีคนนั้นใหได เราจะไดรูซึ้งถึงความรูสึกของคนที่เราไปทําเขาไว วาเขาก็รูสึกเหมือนเราตอนนี้ ถาเราไมชอบใหคนอื่นมาวิจารณ มานินทา มาบน มาติ มาวาเรา เราก็อยาไปทําแบบนั้นกับคนอื่นเลย เพราะเขาก็ไมชอบเชนกันขณะเดียวกัน เราก็เคยเปนผูกระทํา เราจึงไมถือโทษโกรธคนที่กําลังวิจารณ นินทา บน หรือติเราเพราะเขาทําไปเพราะความเคยชิน เพราะความทุกขในใจไมวาจะเปนความขัดหู ขัดตา ขัดใจของเขาอยางที่เราก็เคยเปนนอมบอยๆ พิจารณาอยางนี้บอยๆ เราจะไมกลาทํารายคนอื่นทั้งดวยความคิด คําพูด สายตาและการกระทํา เพราะเรารูแลววาผูถูกกระทําเขาจะรูสึกอยางไร จากการที่เราก็เคยเปนผูถูกกระทํา TIP: “ การปฏิบัติดวยปญญาในการพิจารณาเรื่องใดก็ตามจะไมมีการเดาสุมๆไปวา‘เราคงเคยทําเคยเปนอยางนั้นมั้ง.....’ เราตองหาหลักฐานที่เกิดขึ้นจริงในอดีตของเราหรือของคนอื่นที่พบเห็นมาก็ไดเพราะถามีหลักฐานใหใจไมพอใจจะไมยอมรับใจเราก็เหมือนเด็กดื้อจะดื้อดึงไมยอมเชื่องายๆแตถาเราหมั่นหาความจริงใหใจรับรูไมนานเขาก็จะยอมรับแตโดยดี ”
Page 31
-31-เชนกันและไมนึกโกรธคนที่มาทําไมดีกับเราเพราะเขาก็ทําไปดวยความไมรูเพราะความทุกขในใจของเขาเปนเหตุ
Page 32
-32- บทที่ ๙ ทารซานสอนใจเรื่องการเรียน กอนจะรูจักคิดสอนใจตัวเอง...ฉันรูสึกวาปริญญาโทที่กําลังเรียนอยูนี้ชางยากเย็นเหลือเกินวิชาที่เรียนสวนใหญเปนวิชาใหม ไมเคยเรียนในชั้นปริญญาตรีมากอน ทั้งสําเนียงภาษาแบบผูดีอังกฤษก็ยังไมคุนเคย คําศัพทเทคนิคใหมๆ ก็ยังไมเขาใจ ทั้งหมดเปนอุปสรรคในการเขาถึงเนื้อหาของวิชาตางๆที่เรียนอยูอยางมาก ทําใหไมมีเวลาวางไปทําอะไรอยางอื่นเพราะมัวแตพะวักพะวงอยูกับการอานตําราเรียนจนเกินเหตุนานๆเขาก็เริ่มทอวาเราตองไมมีความรูความสามารถเทาเพื่อนในหองแนๆ ใจหนึ่งก็รูสึกอยากออกไปเดินเลน พักผอนหยอนใจ ทํากิจกรรมแปลกๆใหมๆบาง แตก็ไมสามารถออกไปทําอยางมีความสุขไดเพราะอีกใจหนึ่งรูสึกวาเปนการเสียเวลา...ควรรีบกลับมาอานหนังสือใหมากขึ้นอีก แตก็ไมสามารถจดจออยูกับหนังสือที่อานไดนาน ทําใหเสียเวลาไปอยางไมเกิดประโยชนเทาที่ควรเมื่อรูจักตรวจความรูสึกนึกคิดของตัวเอง ไดมาทบทวนดู เห็นความไมสบาย ไมเปนอิสระของใจที่เปนมานานตั้งแตเปดเทอมแรก เปนสัญญาณบอกใหรูวาเรามีความเห็นผิดคั่งคางในใจ จึงเริ่มคนหาตนเหตุทันที‘เราก็ไมไดโง เรียนไดดีมาตลอด ที่มาเรียนที่นี่ไดก็เพราะมีคนใหทุนมา แสดงวาเราไมไดโงหนังสือเราก็อาน แตรูสึกวาไมเขาใจซักที ทั้งที่วิชาสิ่งแวดลอมก็เปนเรื่อง common sense ทําไมเราถึงยังไมเขาใจนะ’ ใจนึกไปถึงการตูนเรื่องทารซานของวอลต ดิสนีย ตอนที่พวกลาอาณานิคมขึ้นไปบนเกาะที่ทารซานอยู เมื่อคนเหลานั้นเห็นทารซาน ที่เปนคนแตทําทาเปนลิงพูดภาษาลิง ก็พากันหัวเราะเยาะพากันลอเลียนเมื่อมีคนใจดีพยายามสอนภาษาคนใหทารซาน ทารซานจึงเริ่มพูดสื่อสารเปนภาษาเดียวกับคนพวกนั้นไดเขาก็เลิกลอเลียนและเห็นวาทารซานเปนพวกเดียวกับเขาปง....ทันทีวา ที่เรารูสึกโงกวาเพื่อน รูสึกวาเรียนไมรูเรื่องอยูคนเดียว รูสึกดอยกวาเพื่อนในหอง เปนเพราะเราพูดภาษานักสิ่งแวดลอมไมไดเหมือนเขาเทานั้นเอง ไมใชวาเราโงกวาเขา เมื่อคิด
Page 33
-33-ได...ใจก็สบายทันที จับจุดไดแลวก็เริ่มหัดคิด หัดพูดในแบบของนักสิ่งแวดลอมใหชํานาญมากขึ้นเวลาอานหนังสือแลวไมเขาใจ ก็พยายามพิจารณาวาเราไมเขาใจเนื้อหา หรือไมเขาใจภาษากันแน ถาเปนเรื่องเนื้อหาก็อานซ้ําอีกครั้ง ถาเปนเรื่องภาษาก็จะปรึกษาเพื่อนที่เปนเจาของภาษาและขยันเปดพจนานุกรมมากขึ้น แลวก็เริ่มหัดใชศัพทเฉพาะที่ไดเรียนมาในชีวิตประจําวันกับเพื่อนในชั้นที่สนิทกันใหสามารถใชคําเหลานั้นไดคลองขึ้นใหเกิดความมั่นใจแลวก็คิดตอวา เรามาเรียนหนังสือเพื่ออะไร ตองไดคะแนนแคไหนจึงจะพอ คิดไดวา จริงๆแลวเรามาเรียนเพื่อใหสอบผาน ไดปริญญากลับบาน และมีความรูเพียงพอสําหรับการทํางานในอนาคตที่รอเราอยู ไมจําเปนตองไดที่หนึ่ง ถาไดก็ดี แตไมไดก็ไมเปนไร ไมบีบบังคับตัวเองจนเกินไปอีกแลวเมื่อมองทะลุปญหาของตัวเอง ก็ทําใหไมหมกมุนกับการเรียนอีกตอไป สามารถแบงเวลาไปออกกําลังกาย ไปดูหนังกับเพื่อน ไปเที่ยวตามที่ตางๆ นอกจากการอานหนังสือไดอยางสมดุล ชีวิตก็มีความสุขใจก็แข็งแรงรางกายก็แข็งแรงสําหรับคนที่ตอบวาหมดกําลังใจ ขอใหนองๆหากระดาษมาแลวเขียนขอดีและขอเสียในการเรียนวิชาที่เราถอดใจแลวนั้นใหไดเยอะที่สุด ถานึกไมออกอาจจะถามเพื่อนๆดูก็ได ขอไหนที่เราเห็นดวยก็ใหเขียนลงไป เมื่อเขียนเสร็จแลวใหเราอานทบทวนสิ่งที่เขียนนั้นแลวตัดสินใจวาควรจะเรียนตอไปมั้ย TIP: “ หากนองๆนักเรียนนักศึกษาคนไหนกําลังเจอปญหาเรื่องเรียนเหมือนฉันฉันขอเสนอวิธีรับมือกับปญหาแบบนี้คะ...กอนอื่นฉันอยากใหนองๆอยูเงียบๆแลวลองนึกดูดีๆวาปญหาที่ทําใหเราเรียนไมไดเปนเพราะเราหมดกําลังใจหรือเราสมองไมดีกันแนจริงๆไมวาจะตอบอยางไรก็มีทางออกทั้งนั้น ”
Page 34
-34-สวนใหญปญหาเรื่องการเรียนมักเกิดจากการเรียนไมรูเรื่อง ไมรูเรื่องบอยๆเขาก็เริ่มไมอยากเรียนเพราะตอไมติดแลวก็กลายเปนปญหาหมดกําลังใจที่จะเรียนตอไปเพราะคิดอยูแตวาเราไมเหมาะกับวิชานี้ เราไมมีความสามารถพอ ไมอยากเรียนแลว แตถายังหาขอดีของการเรียนได แสดงวายังพอมีใจที่อยากจะไปถึงจุดหมายยังเห็นประโยชนทีนี้ก็ไมยากตองมาแกกันที่เรื่องวิชาการแลวในเรื่องวิชาการ ก็ตองถามตัวเองเหมือนเดิมวาเราไดใสความพยายามในการทําความเขาใจไปแลวมากนอยเพียงใด แตอยางไรก็ตามผลของการเรียนที่ผานมาจะเปนตัวบอกไดดีที่สุด วาความพยายามของเราเพียงพอหรือยัง ถาผลยังออกมาไมดีแสดงวา ยังจําเปนตองพยายามมากขึ้นไปอีกจริงๆแลวการเรียนเปนเรื่องสวนตัวเหมือนเรื่องธรรมะคือแตละคนมีความสามารถที่จะเขาใจเนื้อหาวิชาไมเทากัน เวลาที่ใชในการทบทวนบทเรียนใหเขาใจก็ไมเทากัน แตทุกคนมีระยะเวลาจํากัดเหมือนๆกัน คนที่เขาใจงาย ใชความพยายามนอย ไมนานก็เขาใจได แตบางคน ตองใชความพยายามมากกวาจึงจะเขาใจ เราตองทําความรูจักกับตัวเอง ลองไตรตรองดูซิวาเราเปนคนอยางไร ถาเราเขาใจยากเราก็ตองอานมากกวาคนที่เขาใจงายเพื่อใหเขาใจไดในเวลาเทาๆกัน ถาขี้เกียจก็ใหไปอานขอดีขอเสียที่เขียนไวปลุกกําลังใจอีกครั้ง บางครั้งอาจใหเพื่อนที่มีวิธีอธิบายที่เราเขาใจไดชวยสอนอีกแรงก็ยังได หรืออาจจะหากุศโลบายเชนถาชอบเที่ยว ก็ไปเที่ยวได แตตองกลับมาอานหนังสือใหจบกี่บทก็วากันไปหรือทํารายงานเสร็จอนุญาตใหตัวเองกินขนมไดถุงหนึ่งเปนตนหลายๆครั้งที่เราอานหนังสือวิชาตางๆ ถาเราคิดดูดีๆวิชาที่เขาเอามาเขียนเปนตําราที่อานยากๆนั้น จริงๆก็เปนเรื่องที่พบไดในความเปนจริง อยางวิชาฟสิกส วิชาเศรษฐศาสตร วิชากฎหมายเปนตน ถาเราโยงวิชาในหนังสือเขากับชีวิตจริงได จะชวยใหเราเขาใจวิชาเหลานั้นไดงายขึ้น หรืออาจจะหาแกนของวิชาใหเจอ เชนวิชาโครงสราง) วิศวกรรม โยธา (แกนของวิชาก็คือสรางตึกใหแข็งแรง เราอาจจะมองดูกระตอบ ที่มีโครงสรางงายๆวา อะไรที่ทําใหโครงสรางนี้อยูได ทําความเขาใจจากรากขึ้นไปยอด เพราะในการเรียนวิชานี้จะมีการคํานวณมากมาย ถาเราเขาใจพื้นฐานเราก็จะสามารถเชื่อมโยงทําความเขาใจกับเนื้อหาวิชาเมื่อมีความยากมากขึ้นได หรืออยางดานภาษาแกน
Page 35
-35-ก็คือการสื่อสารใหได สวนรายละเอียดอื่นเชนความถูกตองตามหลักภาษาและไวยกรณตางๆ ก็คอยๆศึกษาและฝกฝนไปเพื่อใหการสื่อสารมีประสิทธิภาพมากขึ้นสละสลวยมากขึ้นเปนตนที่สําคัญที่สุดคือการเรียนใหเกิดประโยชน เนนหาประโยชนที่เราจะไดใหเจอ เมื่อเห็นประโยชนที่จะไดความพยายามจะเกิดขึ้นเอง ยิ่งถาเราสมารถสรางความชอบในการเรียนวิชานั้นๆได ก็จะทําใหเราสามารถจดจออยูกับการศึกษาเนื้อหาวิชาไดมากขึ้นเอง TIP: “ เราตองจับหลักไวใหมั่นวาเราเรียนไปเพื่ออะไรเพื่อวันหนึ่งเราจะไดมีวิชามีคุณวุฒิเพียงพอในการประกอบอาชีพเพื่อหาเลี้ยงชีพอยางสุจริตใชหรือไม แตถึงอยางไรก็ตามแมเราเรียนจบแลวไมตองเรียนในโรงเรียนแลวเราก็ยังตองเรียนรูอยูทุกเมื่อเชื่อวันเพื่อเพิ่มพูนความรูประสบการณและที่สําคัญที่สุดที่หลายๆคนลืมก็คือเพื่อสอนใจเราใหใจเรามีความฉลาดรูทันความเปนจริงโดยเอาสิ่งที่ไดพบเห็นมาเปนหลักฐานสอนใจ เพราะการดูแลทั้งกายและใจเปนหนาที่ของเราทุกคน ”
Page 36
-36- บทที่ ๑๐ แกผา บอยครั้งที่มีคนพูดถึงฉันวาฉันเปนคนขวานผาซากบาง ปากเสียบาง ฉันไมเคยสนใจคําพูดเหลานั้น และไมเขาใจวาฉันเปนอยางที่เขาวาอยางไร ฉันมักตอบโตคําวิจารณเหลานั้นวา “ไมชอบก็อยาชอบ ฉันก็เปนคนอยางนี้แหละ พูดอะไรพูดตรงๆ ชอบไมชอบก็บอกตรงๆ ไมออมคอม ถารับไมไดก็ชวยไมได” แปลกมั้ย....ที่เรามองไมเห็นตัวเอง แตมักมองเห็นขอเสียของคนรอบขางและพยายามแกไขผูอื่นเมื่อรูจักการนอมนําเอาสิ่งตางๆที่เห็น ที่ไดยินรอบตัวมาเปนกระจกสะทอนใหเห็นตัวเองทําใหนึกถึงเหตุการณที่ฉันเคยพูดกับเพื่อนเมื่อนานมาแลวตอนนั้นเพื่อนสนิทมากของฉันไปเที่ยวตางประเทศแลวซื้อเสื้อลายดอกมาฝาก ฉันไมชอบเสื้อตัวนั้นเลยแตเก็บความรูสึกไมเปนและคิดวาตองบอกใหเพื่อนรูตองพูดตรงๆเพราะฉันเปนคนพูดอะไรพูดตรงจึงพูดออกไปวา“โห...ไมเห็นสวยเลย ดูซิลายพรอยเชียว ทําไมไมซื้อแบบเรียบๆมาละ อะไร...ไมรูเหรอวาฉันชอบแบบเรียบๆ” แลวทําหนาเซ็งๆเพื่อนก็บอก “ไมชอบก็ไมตองเอาไปจะไปรูไดไงวาจะไมชอบฉันวาสวยดีออก” ฉันพูดตอวา “ทําไมตองนอยใจดวย อุตสาหบอกนะวาฉันชอบแบบไหน” แลวก็คิดไมพอใจที่เพื่อนโกรธกับคําวิจารณวา ‘ฉันก็เปนอยางนี้แหละ พูดตรงๆ จะไดรูไปเลยวาชอบไมชอบแบบไหนทําไมตองโกรธดวยนะ..’ ผลของคําพูดของฉันวันนั้น ทําใหเพื่อนเสียใจที่อุตสาหนึกถึง ยอมหอบหิ้วของมาฝาก แตยังโดนตอวา ดวยคําพูดที่ไมนาฟง ทําใหมีการตอบโตกันดวยอารมณ และเสียความรูสึกกันไปทั้งคู
Page 37
-37-เพื่อนงอนฉันไปหลายชั่วโมง แตฉันก็ยังไมรูสึกตัววาการเปนคนพูดตรงเกินเหตุ มีผลเสียอยางไรและควรรีบแกไขดวนเมื่อพิจารณาเหตุการณขางตน ทําใหฉันนึกไปถึงคนบาที่เดินแกผาตามขางถนน ผูคนที่พบเห็นตางเบือนหนาและรีบเดินหนีเพราะมีแตความนาเกลียด ไมมีใครอยากเห็น ทําใหคิดไดวา อะไรที่ไมนาดู ที่เปนพิษตอผูพบเห็น ตองปกปดไวใหมิดชิด อยาเปดเผยใหใครเห็นเปนอันขาด แลวก็ยอนดูตัวเองสมัยที่ยังไมรูจักเก็บอารมณไมรูจักระวังการกระทําและคําพูดวา‘เราก็ไมตางกับคนบา ที่เอาความรูสึกนึกคิดและอารมณของตัวเองแสดงออกมาใหคนอื่นเห็น ไมพอใจอะไร ก็พูดออกมาหมด ดวยน้ําเสียง สีหนา กิริยาทาทางที่ไมนาดู ทําใหผูอื่นตองเบือนหนาหนีเพราะรับไมไดไมอยากฟงไมอยากเห็นฟงแลวเห็นแลวทําใหเขาไมสบายใจเสียใจแตเรากลับไมรูสึกตัว ยังเห็นผิดวาการพูดตรงๆเปนสิ่งดี เหมือนคนบาที่ไมรูตัว จริงอยูเราอาจไมชอบ ไมพอใจอะไรไดอยู แตตองรูจักสํารวมคําพูดและการกระทํา เพื่อปองกันไมใหกระทบกระทั่งกับคนรอบขาง แลวคอยหาเวลา หาทางหาหลักฐานความจริงสอนใจเกี่ยวกับสิ่งที่ทําใหเราไมชอบ ไมพอใจนั้นแบบลับๆคนเดียวจะดีกวา’ การเปนคนพูดตรงอยางฉัน ถารูจักพิจารณาตั้งแตตอนนั้น คงจะแกไขตัวเองไดนานแลวทั้งๆที่ผานมาก็มีผลเสียมากกวาผลดี เกือบทุกครั้งที่ฉันพูดอะไรออกไปตรงๆ มักกระทบความรูสึกผูฟง ทําใหเขาไมพอใจ เสียใจเสมอ สวนใหญฉันจะพูดตรงก็แตเฉพาะเวลาติ ตอวา หรือวิพากษวิจารณคนอื่น เวลามีอะไรไมไดดังใจ และเวลาอารมณเสีย แตเวลาคนอื่นทําดีกับฉัน ฉัน TIP: “ ทานอานแลวมีความเห็นวาอยางไรอยาลืมนอมสอนใจตัวเองนะคะวา‘แลวเราละ....เคยเปนแบบนี้บางมั้ย....’ไมวาจะเปนแบบฉัน)ผูกระทํา(หรือจะเปนแบบเพื่อนฉัน)ผูถูกกระทํา(ก็นอมไดทั้งคูนอมใหเขาใจตัวเองและฝายตรงขาม ”
Page 38
-38-กลับไมเคยชมเขาตรงๆ ดูซิ...ที่คิดวาตัวเองเปนคนตรง จริงๆแลวก็ไมตรงจริง แตมองไมเห็นวาตัวเองเบี้ยวแลวฉันรูไดอยางไรวาแตละครั้งที่ฉันพูดอะไรออกไป คนฟงจะรูสึกอยางไร ฉันก็เริ่มจากการหัดนอมวา ถามีคนพูดจาแบบเดียวกันกับฉัน ฉันจะรูสึกอยางไร เชน ถาฉันซื้อเสื้อแบบที่ฉันชอบจากตางประเทศมาฝากเพื่อน แลวเขาพูดแบบเดียวกับที่ฉันพูด ฉันจะรูสึกอยางไร ถาฉันคิดแบบนี้เปนแตแรก ฉันคงไมกลาพูดตรงๆออกไป เพราะฉันก็ไมชอบคําพูดแบบนั้นเหมือนกัน ฉันคงอยากไดคําขอบคุณมากกวา เพื่อนก็คงอยากไดเชนเดียวกันหรืออาจนอมเอาเหตุการณคนทะเลาะกันที่เคยเห็นมาพิจารณาก็ได ทั้งคําพูดที่เขาใช น้ําเสียง ทาทาง ลักษณะไหนที่ไมเหมาะสมฉันจะไมทําอยางนั้นกับใคร เมื่อชํานาญในการนอมมากขึ้น จะพูดอะไรก็มีความระวังมากขึ้น ทั้งน้ําเสียงแววตาและทาทางในขณะพูดอยางไรก็ตาม แมจะนอมไดบาง พยายามหาคําพูดดีๆมาพูดแลวก็ตาม คําพูดของเราก็อาจจะไมถูกใจคนฟงเสมอไปใหสังเกตปฏิกิริยาของคูสนทนา ทั้งสีหนาและแววตา เพื่อจะไดแกสถานการณไดทันทวงที ไมใหเกิดความเสียหายมาก เพราะความจริงที่วาโลกใบนี้เปนโลกแหงความพรอง ไมมีอะไรสมบูรณแบบ ถึงพยายามเต็มที่ก็ยังพลาดกันได ใจของเราจะไดไมเดือดรอนกับความผิดพลาดนั้นแตใหหาทางวาเราจะปรับปรุงอะไรไดบางสําหรับครั้งตอไปนึกถึงคําวิพากษวิจารณที่วาฉันเปนคนขวานผาซาก คนปากเสีย ทําใหเห็นวา คนรอบขางเขาเห็นขอบกพรองของฉันชัดเจน วามีอะไรที่ฉันควรแกไข และก็พยายามบอก พยายามเตือนใหฉันรูใหฉันไดเห็นตัวเอง แตฉันก็ไมเห็น เพราะคิดวาตัวเองดีแลว ในทางกลับกัน ฉันเองก็ชอบติคนอื่นหวังใหเขาแกไขตัวเขา แตบางครั้งเขากลับไมพอใจฉัน โกรธฉัน เพราะเขาก็ไมเห็นตัวเขาเองอยางที่ฉันเห็น เชนเดียวกับที่ฉันก็เคยมองไมเห็นตัวเอง เมื่อมองไมเห็นตัวเอง เขาก็ไมรูจะแกไขอยางไรเมื่อเห็นอยางนี้ ทําใหฉันเห็นคุณคาและขอบคุณคําตําหนิของคนอื่น ทําใหไดเห็นจุดบกพรองของ
Page 39
-39-ตัวเองที่ฉันยังมองไมเห็น แทนทําจะไมพอใจเหมือนเคย ก็ฉันก็ยังพรองอยูนี่นา ตองคอยๆเติมไปเรื่อยๆจนกวาจะเต็ม ..นึกถึงคําพูดของตัวเอง ที่วา “ไมชอบก็อยาชอบ ฉันก็เปนคนอยางนี้แหละ พูดอะไรพูดตรงๆ ชอบไมชอบก็บอกตรงๆ ไมออมคอม ถารับไมไดก็ชวยไมได” ฉันเห็นความดันทุรัง ความไมฟงใครของฉัน คิดวาตัวเองดีแลว เปลี่ยนแปลงไมได และผูอื่นตองยอมรับ เพราะมองไมเห็นตัวเองมีกําแพงบังตาไมใหฉันเห็นขอบกพรองของตัวเอง คือความยึดมั่นถือมั่นในใจวาตัวเองดีแลว เปนคนพูดตรงๆดีอยูแลว เพราะไมเคยเก็บหลักฐานวาการพูดตรงแตละที ผูฟงเขารูสึกอยางไร มีสีหนาอยางไรทําใหไมรูตัวอยูอยางนั้นแตเอาละ เห็นอยางนี้แลว เริ่มลงมือตรวจสอบตัวเองกันเลย โดยการสังเกตความรูสึกของเราที่มีตอการกระทําของผูคนรอบขาง เราชอบอะไรไมชอบอะไร และสังเกตคนรอบขางวาเขารูสึกอยางไรจากการกระทําของเราเพื่อเปนกระจกสองใหเห็นตัวเราเอง การสังเกตนี้เราไมมีเจตนาจะไปตําหนิคนที่เปนกระจกใหเรา แตเราจะเอาสิ่งที่เห็นมาเปนหลักฐานสอนใจวา เห็นมั้ยถาทําอยางนี้พูดอยางนี้ แลวผลจะเปนแบบนี้นะ การกระทําของผูอื่นที่ทําใหเรารูสึกไมดีทําใหเรารูวาเราไมควรไปทําแบบเดียวกันนี้กับใคร สวนอะไรที่เราทําไปแตกลับทําใหผูอื่นเดือดรอนกาย เดือดรอนใจเราก็จะไมทําอีก TIP: “ การยึดมั่นถือมั่นวาเราเปนคนอยางใดอยางหนึ่งเชนเปนคนพูดตรงทําใหเราไมสามารถปรับตัวเขากับสถานการณตางๆไดเหมือนเปนของแข็งที่สามารถไปกระทบกระทั่งคนรอบขางไดใหเขาเจ็บปวดรําคาญไดตลอดเวลาที่อยูใกลตางกับน้ําที่ออนโยนและนิ่มนวลถาเราเปนคนยังไงก็ไดถึงเวลาแข็งก็ทําไดเวลาตองออนก็ออนไดยืดหยุนได แบบหลังดีกวาเยอะเลยเนอะ... ”
Page 40
-40-นอกจากนี้ จากเหตุการณที่ยกตัวอยางมาขางตน เราตองพิจารณาตอวา ทําไมเราไมพอใจกับเสื้อลาย ...จริงๆแลวเสื้อคืออะไร ...มีที่มา ที่เปน ที่ไปอยางไร ...เสื้อมีความสําคัญอยางไรกับเรา ...เสื้อลายหรือเสื้อสีเรียบๆ ตางกันอยางไร ...สวยในแบบของเรากับสวยแบบของเพื่อนเหมือนกันมั้ย...แลวถาเราตองการบอกใหเพื่อนรูวาเราชอบเสื้อแบบไหน ควรพูดเวลาใด พูดอยางไร เพื่อนถึงจะไมเสียใจไมเสียความรูสึก..เปนตนการพิจารณาเรื่องเหลานี้จะละเลยไมไดเพราะความไมพอใจเกิดจากความเห็นผิด ถาไมแกไขที่ตนเหตุ โดยการเอาความจริงเขาไปแทนที่ เราก็จะเห็นผิดอยูอยางนั้นความไมพอใจก็จะเกิดไดอีก
Page 41
-41- บทที่ ๑๑ถุงขยะ ในครั้งแรกที่เขาอบรม จําไดวาวิทยากรพูดถึงรางกายของเราวาเปนเพียง “ธาตุสี่ เปนของโลก...” ก็เห็นตามวาเนื้อกระดูกผมคือสวนที่เปนของแข็งก็เปนธาตุดิน เลือดน้ําเหลืองเปนธาตุน้ําลมในทองเปนธาตุลม สวนความอุน อุณหภูมิในตัวเราก็เปนธาตุไฟ เมื่อตายไปก็เอาไปดวยไมได ก็เขาใจไปตามที่เคยไดยินมา ตามความหมายของคําเทานั้น แตใจไมยอมรับ ก็ยังรักตัวเองแบบเดิมๆอยูดีเพราะไมไดเขาใจดวยการพิจารณาตริตรองดวยปญญาของตัวเองเราทุกคนเกิดมากับรางกายนี้รางกายนี้ก็คือเราเรารักเราดูแลรางกายของเราอยางดียิ่งผูหญิงดวยแลว...หลังอาบน้ําดวยสบูอยางดีแลวก็ตองขัดนวดผิว ทาครีม เพื่อใหผิวสวยไมแหงกราน แลวยังตองทาครีมกันแดดเพราะกลัวดําเดี๋ยวจะไมสวย ฉันก็เปนคนหนึ่งที่เคยทําแบบนี้ทุกวัน มีบางคนที่ทุกขใจเพราะเกิดมาไมสวยเทาพี่นอง หรือเกิดมาพรอมกับความพิการไมสมประกอบ บางคนเมื่อตองศูนยเสียอวัยวะหรือเปนโรครายก็ทําใจไมได เพราะไมคิดวาเหตุการณอยางนี้จะเกิดกับตัวเองฉันไดเห็นโทษของการไมเขาใจความจริงเกี่ยวกับตัวเอง แลวทําใหเกิดความทุกขไปไดมากมาย ทําใหเห็นวาฉันตองทําความเขาใจซะเดี๋ยวนี้เพื่อเปนการเตรียมพรอมกอนที่เหตุการณตางๆจะเกิดขึ้นกับฉันขณะที่อาน ขอใหทานไดจินตนาการตามไปดวย ใหเห็นภาพตามเลยทีเดียว จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นไดก็ยิ่งดี หรือจะคิดตอใหเกิดประโยชนตามนิสัยของทานผูอานแตละคนก็ทําไดเพื่อใหเกิดประโยชนตอทานเองมากที่สุด TIP: “ ขณะที่อานขอใหทานไดจินตนาการไปดวย ใหเหมือนกับวาเรื่องนี้เปนเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวทานจริงๆ จะใสรายละเอียดเพิ่มเติมใหสมจริงยิ่งขึ้นก็ยังได หรือจะโยงเขากับเรื่องคลายกันๆที่ทานประสบมาก็ทําไดเชนกัน เพื่อใหเกิดประโยชนตอทานมากที่สุด ”
Page 42
-42-ขณะที่ออกเดินไปยังสวนสาธารณะใกลศูนยเพาะชําเหมือนเคย ฉันเห็นถุงดําที่อัดแนนดวยขยะวางอยูหนาบานหลังหนึ่งที่ฉันเดินผาน คาดวาจะเปนขยะจําพวกเศษอาหาร เพราะถึงแมจะมัดปากถุงซะแนน แตก็ยังสงกลิ่นเหม็นลอยมาเตะจมูกฉัน แถมยังมีน้ําขยะไหลออกมาจากกนถุงเปนทาง ใจก็ฉุกคิด ‘อุย...ถุงขยะนี่เหมือนเราเลย เราก็คือถุงที่ใสอาหาร อาหารที่เรากินเขาไปวันละสามมื้อทุกวันๆ.....แลวอาหารที่เรากินอยูทุกวันมีอะไรบางนะ...ขาว..ผัดผัก..แกงจืด..น้ําพริก...หมูทอด..ผลไม...ขนมเคก...มีทั้งที่เปนพืชผักแลวก็เนื้อสัตว’ นึกถึงที่มาของพืชผัก...เห็นภาพชาวนาชาวสวนเอาเมล็ดหยอดลงในดิน คอยๆงอก จนเปนตนกลา โตขึ้นเรื่อยๆ มีการใสปุย รดน้ํา มีแสงแดดที่พอเหมาะ อากาศที่ดี จนโตเต็มที่ พืชก็เปนธาตุสี่เพราะมันกินดินน้ําอากาศและแสงแดดเปนอาหารนึกถึงที่มาของเนื้อสัตว ...เห็นภาพวัวกินหญาที่งอกจากดินเปนอาหาร หมูกินรํา รําก็มาจากตนขาว สัตวที่เรากินสวนใหญกินพืชเปนอาหาร พืชเปนธาตุสี่ เพราะมันกินดิน น้ํา อากาศ และแสงแดดเปนอาหารเพราะฉะนั้นสัตวกินพืชสัตวก็เปนธาตุสี่‘พืชผักและเนื้อสัตวเปนธาตุสี่เราเปนถุงใสอาหารเราก็เปนธาตุสี่’ พิจารณาเห็นแบบนี้ทําใหใจของฉันยอมรับความจริงที่วารางกายเปนธาตุสี่ไดมากขึ้น‘อาหารที่เรากิน ตอนที่ปรุงเสร็จใหมๆยังรอนๆก็ดูนากิน แตถาทิ้งไวสักชั่วโมงสองชั่วโมงเราก็ไมอยากเอามากินแลว หาความนากินไมได เวลาเอาจานไปลาง กวาดเศษอาหารทิ้งแลว ไขมันยังติดอยูที่จาน แลวในทองเรา ลําไสเราก็คงนาเกลียดไมตางกัน วันๆเรากินสารพัดอยาง ทั้งของมันของคาวมากมาย ภาพทอน้ําทิ้งหลังโรงอาหารที่เคยเห็นยังจําติดตา มีไขมันขาวๆเกาะเต็ม มีเศษกวยเตี๋ยว เศษกับขาวปนกันอยู สงกลิ่นเหม็นเนา นาขยะแขยงมาก อาหารเหลานั้นไมนากินเหมือนตอนปรุงเสร็จใหมๆ จัดใสจานอยางดีมาใหเรา อาหารในกระเพาะเราก็มีสภาพไมตางจากที่เห็น
Page 43
-43-ลําไสเราก็ไมตางจากทอน้ําทิ้งนี่หรอก เวลาเราเรอ อาเจียนหรือผายลมก็เปนตัวยืนยันอยูแลว แตเราตองปกปดทําในที่ลับตามมารยาท’ ‘สวนน้ําที่ไหลเปอนพื้นสงกลิ่นเหม็นก็มาจากสวนที่บูดเนา อาหารที่กินเขาไปบางสวนบูดเนาอยูในตัวเรา ถึงเวลาก็ตองถายทิ้ง แตเราซอนความจริงเอาไวโดยการทําธุระในหองสวมแลวชักโครกทิ้งไป มีการกลบกลิ่นดวยน้ําหอม ทําใหเราไมคุนกับความจริงแบบนี้และยอมรับไดยากวาเราก็สกปรกไมตางจากถุงขยะนั้น เวลารอนเหงื่อออก มีกลิ่นตัวโชยมาเปนหลักฐานวารางกายของเรานั้นมีเต็มไปดวยสิ่งสกปรก แตเราก็ตองคิดหาวิธีกลบไว เวลาขึ้นรถเมล ถาคนขางๆกลิ่นตัวแรงเราก็ไมพอใจ เอานิ้วปดจมูก รังเกียจ ดูซิวาการปดบังไมรับรูความจริงก็กลับมาสรางทุกขใหกับเราจนไดทั้งๆที่เราก็ไมตางจากเขาตองขอบคุณเขาที่ทําใหเรามีโอกาสไดเห็นความจริงดวยซ้ํา’ การที่เราเขาใจผิดวารางกายนี้เปนของเรา ทําใหเราไมมีความพอดีในการดูแลรางกาย กินอาหารเกินความพอดี อะไรอรอยก็กินเขาไปเยอะๆ ฉันคิดตอไปวาเวลาเรากินอาหารเขาไป รางกายทํางานเหมือนเครื่องยอยอาหาร ถาเรากินมากเกินไป เครื่องจักรก็ตองทํางานมาก เพราะฉะนั้นเครื่องก็จะเสื่อมเร็วขึ้น เหมือนคนที่ดื่มเหลามาก ตับเสีย ตองเปลี่ยนตับ กินอาหารไมระวัง ไตเสียตองถายเลือดทรมาน ถาหัวใจเสียละ ถาสมองเสียละ...ที่เคยกินเพื่ออรอย ยิ่งอรอยก็ยิ่งกินมากขึ้นเปนการบั่นทอนเครื่องจักรเครื่องนี้เปนอยางมาก บอกกับตัวเองวาเราจะกินเทาที่จําเปนเทานั้น เพื่อถนอมเครื่องจักรนี้ไวใชงานนานๆ แตถาเมื่อใดที่เครื่องจักหมดสภาพ เหมือนรถที่เราใชจนเกา ผุพังจนซอมไมไดก็ตองทิ้งไป อยางที่เคยเห็นตามสุสานรถเกา ไมเห็นมีเจาของรถคนไหนดันทุรังตามไปนั่งอยูในซากรถเกาที่หมดสภาพเลย รถเกาก็ตองทิ้งแลวก็ไปซื้อรถใหมที่สมประกอบมาใชงานแทน ก็เหมือนรางกายเรา เมื่อไมสมประกอบอวัยวะหมดสภาพแลวจิตก็ตองออกจากรางไป เพื่อหาที่อยูใหมเทานั้นเอง รางเกาก็เอาไปเผาบาง ฝงบาง สุดทายก็กลับเปนดิน เปนปุย เปนอาหารใหกับพืช เพื่อชีวิตอื่นๆไดอาศัยเปนอาหารตอไป เหมือนรถเกายังเอาไปขายเปนเศษเหล็กเพื่อถลุงเปนเหล็กนํามาใชไดอีกหมุนเวียนกันไปอยางนี้ในโลกนี้ไมมีที่สิ้นสุด
Page 44
-44-แลวเราจะไปยึดเอารางกายนี้วาเปนตัวตนของเราใหใจตองเดือดรอนในภายหลังไปเพื่ออะไรรักษาไวใชชั่วคราวก็พออาหารกินไปมื้อละพัน...ไดใชพลังงานในการทํางานถึงพันมั้ย ...เราลงทุนกับรางกายของเรามากมายจนเกินพอดี เพราะไมรูวาในที่สุดก็ตองคืนเขา แถมยังไมไดประโยชนเทาที่ควรอีกดวย ฉันเองขอใชรางกายที่ดูแลอยางดีมาโดยตลอดนี้เปนเครื่องมือพัฒนาใจที่กําลังเดินทางไปสูจุดหมายเปนงานที่สําคัญที่สุดสําหรับชีวิตนี้จะไดคุมคาที่ลงทุนไปไมอยางนั้นถือวาขาดทุนยอยยับ....การดูแลรางกายภายนอก เมื่อเราอยูในเมืองตาหลิ่วแลวเราก็ตองหลิ่วตาตาม สังคมเขาทํากันอยางไรเราก็ทําไปอยางนั้น เพื่อไมใหเปนที่รําคาญใจของคนรอบขาง แตจะทําดวยความรูอยางพอเหมาะพอดีไมมากเกินไปอยางเคย การปอนความจริงใหใจ เมื่อใจเห็นจริงตามความเปนจริง ใจจะคลายยึดในรางกายของเราไดบาง แตเราก็ยังมีหนาที่ดูแลรางกายนี้ตอไป เพราะความจริงที่ไดพบเปนเรื่องของใจ...เปนความลับตองไมแพรงพรายใหใครรูไงคะ
Page 45
-45- บทที่ ๑๒ เด็กนอยกับเมล็ดถั่ว ขณะที่คิดพิจารณาถึงตัวเราวาเปนธาตุสี่อยางไร มีการเปลี่ยนแปลงอยางไร คิดไปเรื่อยๆ ใจก็นึกไปถึงเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่ง... เด็กชายคนนี้...เขากําลังเดินไปตลาดเพื่อซื้อผักและเนื้อสัตวมาใหแมปรุงอาหารค่ํา เมื่อถึงตลาด..เขารีบหาซื้อของตามที่แมสั่ง พอคาใจดีใหเมล็ดถั่วเขียวกับเขาเปนของแถม เขาถือเมล็ดถั่วกลับบานดวยความดีใจ ระหวางทางเขาหยุดดูปลาที่สระน้ําใกลบานที่ประจําของเขาเขาสังเกตเห็นอะไรบางอยางในน้ํา จึงวางขาวของและเมล็ดถั่วในมือลงบนดินขางๆบอนั้น แลวไปเลนจับปลาในสระ เขานึกขึ้นไดอีกทีวาตองรีบเอาของที่ซื้อมากลับไปใหแมก็เย็นมากแลว จึงรีบวิ่งกลับบานจนลืมเมล็ดถั่วเสียสนิทสองสามวันผานไป เขานึกขึ้นมาไดวาวันกอนไดเมล็ดถั่วมาจากตลาด เขาพยายามหามันจนทั่วบานแตก็ไมพบ นึกขึ้นไดวาวันนั้นระหวางทางกลับจากตลาดเขาไดหยุดนั่งเลนที่สระน้ํา เขาตองลืมมันไวที่นั่นแนๆ จึงรีบวิ่งไปที่สระเพื่อหาเมล็ดถั่ว เขาเดินวนหาอยูหลายรอบแตก็ไมพบเริ่มคิดไปวาตองมีคนมาขโมยมันไปเปนแนแลว เพราะเขามั่นใจวามันตองอยูแถวๆนี้แน เขาเดินหาอีกรอบ พบวาบริเวณที่เขานั่งเลนเปนประจํา มีตนไมเล็กๆขึ้นอยูตนหนึ่งแตก็ยังไมพบเมล็ดถั่ว เขาเสียใจรองไหฟูมฟายโวยวายวามีคนมาขโมยเมล็ดถั่วของเขาไป ใครมาเอาของรักของหวงของเขาไปแตก็ไมไดเมล็ดถั่วคืนมาเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ฉันก็ไดเห็นตัวเอง ‘เออ...เราก็เหมือนเด็กคนนี้แหละ เวลารถของเราถูกเฉี่ยว เวลาสงเสื้อตัวใหมไปซักแลวสีตกใส เวลาของที่รักที่หวงหายไป หรือเวลาคนที่เปนที่รักจากไป เราก็หงุดหงิด อารมณเสีย โวยวาย เสียใจ ไมพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไมตางจากเด็กนอยที่รองไหฟูมฟายหาเมล็ดถั่วที่ไดกลายเปนตนไปแลว...’ เพราะความไมรูวาสิ่งเหลานั้นไดเปลี่ยนไปแลว...
Page 46
-46-เด็กนอยรองไหเพราะไมรูวาเมล็ดถั่วที่หายไปนั้นไดกลายเปนตนถั่วแลว เมื่อเมล็ดถั่วไดดินน้ํา แสงแดดที่พอเพียง มันก็งอกเปนตน และที่สําคัญเขาไมรูความจริงวา ตอไปตนถั่วตนนี้สามารถออกฝกใหเมล็ดถั่วอีกจํานวนมากกับเขา เพราะเด็กนอยไมรูจักวงจรชีวิตของตนถั่วจึงไดแตรองไหสวนฉัน....ไมพอใจ หงุดหงิด เวลารถถูกเฉี่ยว ทั้งยังโกรธคนที่มาชนซะอีก เพราะใจยังคิดถึงรถคันเดิม คันที่ยังสมบูรณอยู อยากจะใหรถของตัวเองคงสภาพเดิม นี่ก็เปนเพราะไมรูจักวงจรของรถนั่นเอง ไมรูวารถที่ยังดูใหมอยูนั้นกําลังเปลี่ยนเปนรถเกาอยูตลอดเวลา จะคอยๆผุทีละนิดหรือจะดวยการถูกเฉียวชนก็ไดเมื่อพิจารณากันจริงๆ พบวากอนที่รถจะมาเปนรถไดนั้น มีขบวนการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย จากเหล็กธรรมดาๆ เอามาขึ้นรูปทาสี เอามาประกอบกับลอที่ทํามาจากยาง อุปกรณอื่นๆอีกหลายอยาง แลวมันก็เปนรถใหมอยูชั่วขณะหนึ่งเทานั้น เมื่อโดนน้ํา ความชื้นในอากาศ แสงแดด ก็คอยๆผุทีละนิดๆ รถใหมก็คอยๆเกา ถาโดนกระแทก โดนชนแรงๆ ก็บุบ เพราะเหล็กสามารถเปลี่ยนรูปรางได ใชๆไปในที่สุดก็หมดสภาพตองทิ้งไป ใหคนเอาไปแยกออกเปนชิ้นสวนตางๆเหล็กก็ขายเปนเศษเหล็กเพื่อหลอมทําเหล็กมาใชใหมอยางอื่นก็ขายตามสภาพในความเปนจริง ถึงแมเด็กนอยอยากใหเมล็ดถั่วคงสภาพเดิม หรือฉันอยากใหของของฉันทุกอยางคงอยูในสภาพดีตลอดไป ก็ไมอาจฝนความเปนไปได เพราะเมื่อสภาวะและปจจัยตางๆเปลี่ยนไป เมล็ดถั่วก็เปลี่ยนไปตามธรรมชาติของมัน รถยนตคันงาม เสื้อใหม บาน พอ แม พี่ นองลูกและตัวเราเองก็เชนเดียวกันฉันสังเกตตัวเอง ที่ผานๆมากอนที่ฉันไดเรียนรูความเปนจริงเชนนี้ อารมณของฉันมักจะขึ้นๆลงๆอยูตลอดทั้งวัน ถาอะไรๆเปนไปตามที่ใจคิดฉันก็รูสึกพอใจ ถามีอะไรที่ไมอยากใหเปนเกิดขึ้นก็จะหงุดหงิดไมพอใจ สลับกันไปมาอยูอยางนี้ คือเอาใจตัวเองเปนที่ตั้ง แทนที่จะอยูกับความเปนจริง เมื่อไมรูความจริง ความคิด การตัดสินใจ การแสดงออก ก็มักจะทําใหตัวเองตองเดือดรอนในภายหลังทั้งบทบาทหนาที่ภายนอกและจิตใจ การเรียนรูที่มา ที่เปน ที่ไปของสิ่งตางๆที่เรา
Page 47
-47-เกี่ยวของในแตละวัน ทําใหฉันไดปรับเปลี่ยนวิธีคิดซะใหม...ไมอยากนั่งรองไหเพราะแคเมล็ดถั่วกลายเปนตนอีก...เอาเด็กนอยเมล็ดถั่วเปนครูยกตัวอยางเชนการเลือกซื้อรถ เพราะรูจักวงจรชีวิตของรถ รูแลววารถอะไรก็ไมอาจหนีความเปลี่ยนแปลงได รถของเราก็มีสิทธิถูกชน ถูกเฉี่ยว หรือถูกขโมยอยางที่มีขาวใหเห็นในหนังสือพิมพไดเชนกัน ฉันจึงตัดสินใจเลือกซื้อรถดวยเหตุผล นึกถึงวัตถุประสงคเปนหลัก วาฉันตองการรถไวเพื่ออํานวยความสะดวกในการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งโดยสวัสดิภาพ ฉันจึงไมตัดสินใจซื้อรถที่แพงเกินไปเพียงเพราะดูสวยงามหรือมีสมรรถนะสูงแตเกินจําเปน และก็ไมลืมเตือนใจตัวเองเสมอวา สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนอื่นก็สามารถเกิดขึ้นกับเราไดทุกขณะ ไมวาเราจะชอบหรือไมก็ตาม เพราะฉะนั้นเมื่อเห็นเหตุการณอะไร เชน รถเสีย รถคว่ําตามถนน ก็ไมลืมนอมวา ‘ถาเปนเราละ เจอเหตุการณอยางนี้จะทํายังไง...’ เพื่อเปนการเตรียมตัวเตรียมใจไวกอนเกิดเหตุการณจริงนี่สําคัญมาก เพราะเราทุกคนมักจะเลือกมองแตสิ่งที่อยากมอง รับรูแตสิ่งที่อยากรับรู และมักจะเขาขางตัวเองวาสิ่งที่เราไมชอบ ไมปรารถนาคงไมเกิดกับเราแนนอน ทั้งๆที่เรื่องที่เราไมชอบ TIP: “ ไมวาจะพบเห็นสิ่งใดเจอะเจอเหตุการณอะไรไมวาจะเปนดอกไมเหี่ยวๆในแจกันตนไมริมทางอุบัติเหตุรถชนกันไปเยี่ยมคนปวยที่โรงพยาบาลถารูจักมองมองอยางพินิจพิเคราะหฉันพบวาทุกๆอยางเปนครูสอนใจได ขอเพียงเรารูจักนอมเอาความจริงมาสอนใจอยูเรื่อยๆวาสิ่งตางๆที่เห็นในขณะนี้กอนหนานี้มีสภาพอยางไรและตอไปจะเปนอยางไรเราจะไดรูทันความเปลี่ยนแปลงรูที่มาที่เปนที่ไปของสิ่งตางๆรอบตัวเรารวมถึงของของเราและที่สําคัญตัวเราเองเมื่อเรายอมรับและไมฝนความเปลี่ยนแปลงเราก็จะมีความทุกขเพราะความเปลี่ยนแปลงนอยลงเรื่อยๆ ”
Page 48
-48-เหลานั้นก็เกิดกับคนรอบขางใหเราไดรับรูรับเห็นอยูตลอดเวลาทั้งหนังสือพิมพเอยโทรทัศนเอยถาเราปลอยปละละเลยเชนนี้ตอไปเราเทานั้นที่จะขาดทุนเหมือนกับการซอมหนีไฟ ถาถึงเวลาซอมแตเรากลับคิดวา ‘ไฟไมมีทางไหมแนนอน เพราะตึกนี้มีระบบเตือนภัยและระบบดับเพลิงอัตโนมัติอยางดี...’ เราก็อาจจะอยูเฉยๆ ใครจะซอมก็ซอมไป หรือไมก็ซอมแบบเสียไมได ทําใหไมไดประโยชนเต็มที่ แตถาเราคิดจินตนาการถึงสถานการณไฟไหมจริงๆไดแบบเดียวกับที่เราเคยเห็นในโทรทัศนวามีความโกลาหลอยางไรบาง เราก็พอจะเตรียมพรอมวาเรานาจะทําอะไรไดบาง หนึ่ง..สอง...สาม เปนขอๆไว หากวันใดไฟเกิดไหมจริงๆเราจะไดพอมีแนวทางเรื่องความตายก็เชนกัน ความตายเปนสวนหนึ่งของวงจรชีวิตเรา แตนอยคนนักที่จะซอมคิดเตรียมพรอมวาถาคนที่เปนที่รักเสียชีวิตกระทันหันหรือแมแตตัวเราเองเสียชีวิตไปเดี๋ยวนี้จะทําอยางไร ก็ตองทําใจไมไดแนนอน เพราะเรื่องความตายจะเปนเรื่องสุดทายที่เราจะคิดถึง อาจรูสึกไมเปนมงคลที่จะคิด แตมันเปนความจริง ที่สําคัญเรื่องความตายเปนเรื่องที่เรายอมรับไดยากที่สุดจําเปนตองใชเวลาในการทําความเขาใจมากที่สุด การเก็บไวคิดเปนเรื่องสุดทายจึงไมทันทวงที ถือวาเปนการอยูอยางประมาทมากทีเดียว TIP: “ ตอไปนี้ไมวาอะไรที่เราไดพบเห็นใหเรานอมวา‘ถาเหตุการณนี้เกิดกับเราละเราจะทํายังไง’ จินตนาการใหสมจริงเลยเราจะไดรูวาเราจะมีความรูสึกอยางไรในวินาทีที่สถานการณนั้นเกิดขึ้นถารูสึกแยรูสึกเสียใจไมพอใจหรือโกรธก็แสดงวาเรามีงานทางใจตองทําแลวงานที่วาก็คืองานคนหาความเขาใจผิดความเขาใจที่ไมเปนไปตามความเปนจริงของโลกคือขัดกับหลักไตรลักษณโดยเฉพาะในหัวขอความเปลี่ยนแปลงแนๆเราจะไดมาศึกษาหาความจริงในเรื่องนั้นใหมากขึ้น ”
Page 49
-49-เวลาฉันอยูบานคนเดียว ฉันมักจะสมมติเหตุการณวาพอ แม นองสาวหรือสามีของฉันเสียชีวิต เพื่อดูความรูสึกที่เกิดขึ้นในใจตัวเอง และเราจะตองทําอยางไรตอไป เวลาไปงานศพก็เชนเดียวกัน ไมลืมสมมติเหตุการณวางานศพนั้นเปนงานของคนที่เรารัก เพื่อไมใหเสียเวลาและโอกาสในการอบรมจิตใจตัวเอง เรื่องยากๆตองฝกบอยๆ ทดสอบใจอยูบอยๆ จะไดชํานาญ เหมือนที่เราๆรูกันดีวาเมล็ดถั่วก็ตองขึ้นเปนตน แตเด็กนอยกลับรองไหฟูมฟาย เพราะฉะนั้นเราตองฝกใจใหเปนผูใหญ ใหรูความจริงในเรื่องตางๆที่เราไปเกี่ยวของอยู จะไดไมเปนเหมือนกับเด็กนอยเมล็ดถั่ววันนี้ทุกคนมีทุนเทากันใครที่ยังมีลมหายใจมีปญญาและสติสัมปชัญญะครบถวนถือวามีทุนเทาเทียมกันหมด ทีนี้ก็ขึ้นอยูกับวาใครจะเริ่มตนสังเกตสิ่งตางๆรอบตัวเพื่อเก็บขอมูลสอนใจตัวเองกอนกันเพราะไมมีใครรูวาเราจะหมดทุนเมื่อไหรเพราะฉะนั้นอยางรอชาอีกเลยคะ
Page 50
-50- บทที่ ๑๓ ไมมีที่สิ้นสุด ผูคนสวนใหญที่รูวาฉันปฏิบัติธรรมมักจะอยากรูวาดวยหนาที่การงานและวัยอยางฉันนี้อะไรเปนแรงบันดาลใจใหมาในเสนทางสายธรรมะนี้ไดอยางตอเนื่องสวนหนึ่งเปนเพราะธรรมะทําใหชีวิตในแตละวันของฉันมีความสุขมากขึ้น เกิดประโยชนมากขึ้น แตกอนเคยทําแตประโยชนทางกาย เดี๋ยวนี้ทําประโยชนทางกายแตไดประโยชนทางใจควบคูกันไปดวย ไดความเพลิดเพลินในการคิดพิจารณาหาหลักฐานสอนใจเหมือนไดของเลนใหมและดวยความที่ฉันเชื่อวาการตายไมใชจุดสิ้นสุดของเรา แมรางกายเราจะหมดสภาพแตจิตของเรายังคงเดินทางตอไป ที่ผานมาเราเลือกเกิดไมไดก็จริง แตเลือกที่จะเปนในอนาคตได เราตองเปนคนมองการณไกล ใหไกลกวาที่เคยมอง ไมใชแควางแผนสําหรับในชวงชีวิตนี้เทานั้น แควาเราจะเรียนอะไร ทําอาชีพอะไร แตงงานเมื่อไหร มีลูกกี่คน มีบานหลังใหญแคไหน มีรถกี่คัน นี่ถือวาเปนแคแผนระยะสั้น ตองมองกันถึงชาติหนาและชาติตอๆไปเลยทีเดียว เมื่อฉันเห็นอยางนี้ จึงไดวางแผนของชีวิตใหกับตัวเองและลงมือทําตามแผนที่วางไวนั้นทันที เพราะรูวาชีวิตเปนเรื่องเสี่ยงๆ ถาประมาท ฉันก็ตองรับผลของการกระทําแตผูเดียว แลวจะใหฉันรีรออยูไดอยางไรกัน อะไรเปนกรรมชั่วก็ไมทํา อะไรที่สะสมในชาตินี้แลวสามารถนําติดตัวไปใชตอในชาติหนาไดก็จะรีบทํา การฝกใหใจเห็นความจริงนี้แหละ ที่จะทําใหฉันเปนคนรวยถาวร คือรวยดวยอริยทรัพย รวยบุญรวยกุศล โดยเฉพาะกุศลคือความฉลาดของใจ)จิต (ที่เราฝกสังเกตสิ่งรอบตัวใหเห็นจริงตามความเปนจริงในสัจธรรมนั้นก็เพื่อใหใจไดรับรูความจริงใหใจมีความฉลาด รูเทาทันไมหลงกับสิ่งที่ไมเที่ยงเปนทุกขและไมมีตัวตนใหยึด ซึ่งกุศลนี้เองที่จะติดตัวไปทุกภพทุกชาติ ถายังไปไมถึงจุดหมายปลายทางนี่คือที่มาของความเพียรในการปฏิบัติของฉัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวที่ฉันใชเปนแรงจูงใจไดเปนอยางดี...จะเลาใหฟงเดี๋ยวนี้ละคะ....
Page 51
-51-ถึงแมฉันจะเรียนมาจนจบปริญญาโทก็ตาม ฉันก็รูตัวดีวาฉันไมชอบเรียนหนังสือเอาเลย แตเพราะเห็นประโยชน จึงอดทนตั้งหนาตั้งตาเรียนจนจบมาได ตั้งแตเล็กจนโตกวาคอนชีวิตที่เราเสียเวลาไปกับการเรียนที่ไมมีที่สิ้นสุด จบชั้นหนึ่งก็ตองไปเริ่มใหมในชั้นที่สูงขึ้นไป จบโรงเรียนก็ตองไปตอมหาวิทยาลัย จบปริญญาตรี ก็ตองไปตอปริญญาโท ปริญญาเอก และมากกวานั้นก็ยังมีแถมเมื่อเขาทํางานความรูที่เรียนมาก็ยังไมเพียงพอยังตองมาศึกษาหาความรูเกี่ยวกับงานที่ทําเพิ่มเติมอีกบางครั้งการเรียนก็มาในรูปของหนังสือแนะนําการใชงานเครื่องใชในบานเครื่องใชไฟฟา และอีกมากมายหาที่สิ้นสุดของการเรียนไมได ในขณะเดียวกันเมื่อวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีมีการพัฒนามากขึ้น ก็พบวาสิ่งที่เรียนกันมาในอดีต ที่เคยเขาใจวาเปนความจริง เปนสิ่งที่เชื่อถือได กลับถูกเปดเผยวาไมเปนความจริงอีกตอไป และมีทฤษฎีใหมๆมาแทนที่ แลวความรูที่เรียนในปจจุบันที่เรียนกันอยูนี้ละจะมีความจริงอยูมากนอยเพียงใดไมมี ...ไมใชเฉพาะเรื่องเรียนที่ไมมีที่สิ้นสุด ฉันพบวาความไมสิ้นสุดซอนอยูในทุกอยางที่ฉันทําในแตละวัน เชนการเดินทาง ฉันเปนคนชอบเที่ยว ฉันพบวาทุกครั้งที่ไปเที่ยว เมื่อถึงจุดหมายหนึ่ง เราคิดวาการเดินทางนั้นจบลงแลว แตจริงๆแลวไมเลย เมื่อถึงจุดหมายเราก็อยูที่นั่นชั่วคราว แลวเราก็ออกเดินทางอีกเพื่อไปจุดหมายตอไปตามแผนที่วางไว เมื่อถึงจุดหมายสุดทายก็ตองกลับบาน เมื่อถึงบานเชาวันรุงขึ้นเราก็ตองออกเดินทางไปที่ทํางาน เมื่อถึงที่ทํางาน เราก็ทํางานสักพักหนึ่ง แลวก็กลับบาน จากบานอาจไปรานขายของ จากรานขายของไปรานอาหาร จากรานอาหารก็กลับบาน ในวันรุงขึ้นก็ออกจากบานไปทํางานเปนอยางนี้วนไปวนมาเปนการเดินทางที่ไมรูจบการทํางานของเราแตละวัน เรามักอยากจะทํางานใหเสร็จ แตเสร็จจากงานหนึ่ง ก็ตองเริ่มตนทํางานชิ้นใหมอยูดีทํางานไดเงินมา นําไปซื้ออาหาร เสื้อผา จายคาที่อยูอาศัย ใชไปเรื่อยๆ ทํางานไปเรื่อยๆ สิ้นเดือนไดเงินเดือนไดเงินมาใชจายไปวนเวียนอยูอยางนี้
Page 52
-52-การทํางานบานก็เชนกัน กวาดบาน ถูบาน ซักผา เปนงานอมตะนิรันดรกาล ไมมีวันเสร็จ ทําสะอาดวันนี้พรุงนี้สกปรกก็ตองทําอีกการกินขาว หิวเราก็กินขาว กินจนอิ่ม สักพักก็หิวอีกแลว เราก็ตองกินอีก ในเรื่องการกินยังประกอบดวยกิจกรรมที่ซ้ําซากอื่นๆกวาจะไดกินแตละที ทั้งการซื้อกับขาว ปรุงอาหาร ลางจาน วนไปวนมาไมรูจบการหาความสุขสนุกสนาน ดูหนัง ฟงเพลง เฮฮากับเพื่อน ก็ตองทําซ้ําๆอยูอยางนั้นความสุขแบบนี้ทําแลวก็หมดไปไมตางจากเงินดูซิคะไมมีอะไรที่ทําแลวจบเลยสักอยางตองทําซ้ําแลวซ้ําเลาฉันยังเห็นวาไมวาจะเรียนมากแคไหน ทํางานหาเงินมากแคไหน หรือดูแลรางกายดีมากแคไหน สุดทายตายไปก็ตองคืนโลกทั้งหมด เอาอะไรไปไมไดเลย เมื่อจะมาในโลกครั้งตอไปก็ตองเริ่มใหมอีกอยูดี ไมมีเด็กที่เกิดมาคนไหนไมตองมาทําอะไรพวกนี้ ไมมีใครอานออก เขียนได คิดเลขเปนตั้งแตเกิด แมแตพูดยังตองมาเรียนใหมเลย ทําใหเห็นวาถึงแมสิ่งที่เราทําอยูทุกวันนี้ดูเปนเรื่องธรรมดาก็จริง แตสําหรับคนขี้เกียจอยางฉันเห็นวาถามีทางเลือกฉันขอทําอะไรที่ลงทุนลงแรงครั้งเดียวแลวจบดีกวาดวยความที่เปนชาวพุทธโดยกําเนิดทําใหไดฟงมาแตเล็กๆวา ที่สิ้นสุดนะมีอยู คือพระนิพพาน แตเคยคิดวาเปนเรื่องที่เกินกําลังความสามารถจึงไมไดสนใจปลอยเวลาใหลวงเลยมา ถึงวันนี้ไดสัมผัส ไดเขาใจดวยตัวเอง ทําใหรูความจริงวา การปฏิบัตินั้นไมใชเรื่องยากอยางที่คิด มีความเปนไปได ถามีการวางแผนและลงมือปฏิบัติตามอยางจริงจัง ฉันจึงตัดสินใจอยางแนวแนวาจะใชเวลาที่เหลือศึกษาธรรมะ คือศึกษาหาความจริงสอนใจนั่นแหละ ไมวาจะถึงปลายทางเมื่อไหร ไมสําคัญ รูแตวาตองเริ่มออกเดินและสักวันก็คงจะถึงจุดหมายปลายทาง ตามที่พระพุทธองคทรงชี้ทางไวอยางชัดเจนแลวแนนอน
Page 53
-53- บทที่ ๑๔‘ทําไม...’ขยะลนใจ เคยมั้ยคะ เวลาขับรถ พอมีมอเตอรไซคปาดหนา เราดาตามไปเลย หรือคิดอยางไมพอใจวา‘ทําไมตองมาปาดหนาฉันดวยนะ’ ใครเคยเปนบางยกมือขึ้นวันหนึ่งขณะขับรถไปทํางานตามปกติ มีรถมอเตอรไซคขับแซงปาดหนาฉันไป ฉันไมพอใจและนึกในใจ‘ทําไมตองปาดนะที่มีตั้งเยอะตั้งแยะไมไป...’ ความไมพอใจคือสัญญาณของความเห็นผิด ทําใหฉันเริ่มคิดทบทวนการกระทําและความคิดของตัวเองทันที‘ตอนที่มอเตอรไซคปาดหนา เราทําอะไร เราเบรก...ใชเราตองเบรกใหมอเตอรไซคผานไปไมชนกันแลวเราก็ไมพอใจคิดในใจวาทําไมตองปาด....’ เห็นตัวเองวา ‘เราเปนคนไมทันเหตุการณนี่นา...มอเตอรไซคไดผานไปแลว เรื่องจบแลว แตเรายังไมจบ ยังไมพอใจ ยังตั้งคําถามวาทําไมตองมาปาดเรา...ไมไดอะไรเลย ขาดทุนทั้งอารมณ ทั้งเวลา’ เห็นวาตัวเองไมทันเหตุการณจนขาดทุนอยางนี้แลว ทําใหสํารวจตัวเองตอไปวา ทุกๆวันที่เราขับรถไปทํางานเราไมทันเหตุการณกับเรื่องอะไรอีก ...นึกถึงเวลารีบๆ ถาติดไฟแดงที่สี่แยกเราก็จะคิดในใจ ‘ไฟแดงอีกแลว ทําไมถึงตองเจอไฟแดงทุกแยกเลยนะ..’ เจอคนขามถนนไมเปนที่ ก็คิดในใจ ‘ทําไมไมขามสะพานลอยนะ อยูบนหัวตัวเองแทๆ....’ หรือ เวลารถติดมาก ก็คิด ‘ทําไมรถติดจัง ทําไมไมมีตํารวจมาคอยโบกรถเลยนะ’ อยางนี้เปนตน แตละวันเราขาดทุนเยอะมาก นี่แคขับรถมาทํางานนะ ... จริงๆ แลวตอนที่เราขึ้นรถขับออกจากบานมา ความตั้งใจของเราคือขับไปใหถึงที่ทํางาน แตพอออกถนนใหญเราเริ่มสนใจกับอยางอื่นรอบตัวมากกวา จนลืมความตั้งใจเดิมไป...ถึงสี่แยกอยากใหเปนไฟเขียวตลอด ไมอยากใหมีคนขามถนนผิดที่ ไมอยากใหรถติด เหมือนกับวา ใจเรามัวสนใจกับสองขางทางตลอดเวลา ตรงนั้นบาง ตรงนี้บาง แทนที่จะตั้งหนาตั้งตาขับรถไปใหถึงที่ทํางาน ทํา
Page 54
-54-ใหเสียเวลา และไดแตขยะมาใสใจตัวเอง เมื่อเราไมไดอยางที่ตองการ ก็จะเกิดความไมพอใจ เพราะการออกจากบานมาทํางานทุกครั้ง ไมมีทางที่รถจะไมติด ไฟสัญญาณจราจรจะเปนไฟเขียวทุกสี่แยกและคนจะขามสะพานลอยกันหมดไมมีทางเปนไปไดถากอนออกจากบานเราตั้งใจวา เอาละเราจะขับรถออกจากบานเพื่อไปใหถึงที่ทํางาน เมื่อมีรถปาดหนา เราก็เบรก เจอไฟแดงหรือมีคนขามถนน เราก็หยุด เราก็ทําไดแคนี้จริงๆ รับมือไปตามสถานการณไมขาดทุนและไมมีการเก็บขยะขางทางมาใสใจทุกครั้งจะทําอะไรก็ตาม ฉันจะคิดถึงวัตถุประสงคของการกระทํานั้นอยางชัดเจน เมื่อเริ่มเก็บขยะสองขางทางก็จะรูตัว และจะไดกลับตัวไดทัน ฝกตัวเองใหเปนคนทันเหตุการณ ทันสมัยอยูเรื่อยๆ ใหเคยชินกับการคิดแบบใหมนี้ ทําใหแตละวันฉันขาดทุนนอยลง ขยะในใจก็นอยลงเพราะเก็บเพิ่มนอยนอกจากนี้ ถาเรารูจักใชคําวา “ทําไม...” มาถามตัวเราเอง จะเปนประโยชนอยางมาก ลองดูนะคะ..ทําไมแตกับตัวเองอยาไปทําไมกับคนอื่นเขา
Page 55
-55- บทที่ ๑๕ คนขี้บน หลายครั้งที่คนใกลตัวฉันหมดความอดทนและแสดงออกใหฉันรูตัววาฉันบนเขามาพอประมาณแลว หยุดไดแลว เพราะเขาไมพอใจแลวนะ แตฉันมักเถียงเขาวาฉันไมไดบนซะหนอยแคอยากบอกใหรูวาเขาลืมทําอะไรและควรทําอะไรคราวหนาจะไดไมลืมจะไดไมเดือดรอนฉันตองทําแทน แตเขาก็ยืนยันวาฉันนั่นแหละขี้บน หลังจากเกิดเหตุการณอยางนี้อยูหลายครั้ง ทําใหฉันไดหยุดคิดวาเกิดอะไรขึ้นกันแนระหวางเขาที่ไมเอาไหนหรือฉันขี้บนจริงๆอยางเขาวาฉันคอยๆลําดับเหตุการณ คิดทบทวนวาอะไรทําใหฉันเกิดความไมพอใจ แลวฉันคิดอยางไรตอไปจนทําใหเกิดเปนคําพูดการแสดงออกที่เขาเรียกวาการบนและก็ไดพบกับความจริง....เรื่องที่ฉันบนสามีมักเปนเรื่องเล็กๆนอยๆ เชน ไมเติมน้ําในที่ทําน้ําแข็ง ใชกระดาษชําระในหองน้ําหมดแลวไมนํามวนใหมมาเปลี่ยน ลางมือแลวสะบัดจนน้ํากระจายไปรอบๆ หรือไมเก็บของใหเปนระเบียบเปนตนทุกครั้งที่ฉันเห็นที่ทําน้ําแข็งเปลาๆวางอยูในครัวเห็นมวนกระดาษชําระที่หมดแลวในหองน้ํา......ฉันจะคิดไปทันทีวา ‘ดูซิไม....อีกแลว ทําไมไมชวยกันทํานะ จะใหฉันทําอยูคนเดียวหรือไง’ เมื่อคิดอยางนี้ ความไมพอใจก็เกิดขึ้นทันทีเหมือนกันถาเขาอยูในรัศมี ฉันก็จะถามเขาทันทีวา ‘ทําไมไมทํา....ละ’ ดวยน้ําเสียงและหนาตาไมปกติ เพราะหงุดหงิดไปแลว ถาเขาอารมณดีเขาก็จะไมขัดใจฉัน จะลุกมาทําสิ่งที่ยังไมไดทําทันที แตถาเขาเกิดไมพอใจกับคําพูดฉันขึ้นมา ก็จะดื้อแพงไมสนใจซะอยางนั้น ปลอยใหฉันไมพอใจตอไป แตถาเขาไมอยูบาน ความไมพอใจของฉันจะเพิ่มมากขึ้นเพราะฉันไมสามารถพูดกับเขาไดทันที แตฉันจะคิดถึงเรื่องที่เขาไมสนใจทําทั้งหลายทั้งปวงที่ผานมาทําใหฉันตองเปนคนทําซะเองในอดีต คิดทบทวนซ้ําไปซ้ํามา จนเรื่องเล็กๆกลายเปนเรื่องใหญ เมื่อเขากลับถึงบานฉันก็จะระบายความไมพอใจใสเขาทันที ดวยน้ําเสียงและคําพูดที่ไมนาฟง เพราะเก็บกดมาไดพักใหญแลว เชน ถามเขาวา “ทําไมเธอถึงไมเคย....เลยละ” ทําใหคนฟงก็
Page 56
-56-ไมพอใจขึ้นมาไดทันทีเหมือนกัน รูสึกเหมือนถูกกลาวหา เรื่องเล็กๆ แทๆทําใหเปนเรื่องใหญบางครั้งก็เลยเถิดกลายเปนทะเลาะกันงอนกันไปเลยก็มีเมื่อมานั่งคิดไตรตรองดู เหตุการณแบบนี้ทําใหเราขาดทุนกันทั้งคูนี่นา ทั้งเสียอารมณและเสียเวลา เพียงเพราะฉันตองการใหเขาทําอยางที่ฉันตองการ เมื่อไมไดดั่งใจฉันก็แสดงออกดวยคําพูดน้ําเสียงและสีหนาที่ไมดีเพื่อใหเขายอมและทําตามความตองการของฉันฉันคิดเปรียบเทียบ ระหวางการที่ฉันพูดไมดีกับเขาหรือบนเขานั่นแหละ แลวเขาก็ทําตามอยางที่ฉันตองการดวยความรูสึกแยๆกับฉันทําซะเองไมตองบนอยางไหนจะดีกวากัน ฉันวาทําซะเองเปนทางออกที่ดีกวาเพราะไดดั่งใจแตทํารายความรูสึกของคนที่ฉันรักนั้นไมคุมและไมเปนธรรมกับอีกฝายหนึ่งเลยนึกไดวา...เวลาเขาบนฉัน ฉันก็ไมชอบเหมือนกัน แตที่ฉันทําสิ่งที่เขาไมชอบลงไปก็เพราะฉันไมไดคิดอะไร ฉันแคสะดวกอยางไรก็ทําอยางนั้น แคคิดนอยไปหนอยหรือมักงายไปนิดเทานั้นเอง ไมไดคิดวาสิ่งที่ทําไปจะทําใหอีกคนไมพอใจ ฉันไมไดแกลงขัดใจเขา เพราะฉะนั้นเขาก็ไมไดแกลงขัดใจฉันเชนกัน ทําใหเห็นวาจากการที่คนสองคนมีความพอใจที่ขัดแยงกัน คนหนึ่งพอใจทําอยางหนึ่งแตไปขัดใจอีกคนหนึ่งคนที่ถูกขัดใจก็จะบนขึ้นมา... เมื่อคิดไดอยางนี้ เวลาพบอะไรที่ยังไมไดทํา อะไรที่เขาทําแลวไมถูกใจฉัน ฉันก็ทําซะเองงายจะตาย ก็ไมเสียหายอะไร ไดความพอใจเปนของตัวเองและไมทํารายความรูสึกของคนที่ฉันรักอีกดวยเรารักใครก็ตองทําใหเขามีความสุขสิจริงมั้ยเมื่อคิดยอนไปถึงตอนที่ยังเปนคนขี้บน เห็นวาคนที่บนมักไมรูสึกตัว ทําใหไมถือสาคนที่มาบนใสฉันอีกดวยเพราะเขาใจเมื่อไมบนแลว ถามีโอกาสฉันกับสามีจะนั่งคุยกันวาที่ผานมา มีอะไรชอบใจไมชอบใจบางแลวก็ชวยๆกันปรับไปทําใหอยูดวยกันอยางมีความสุขมากขึ้นและเขาใจกันมากขึ้นกวาเดิมเยอะเลย
Page 57
-57- บทที่ ๑๖ มาวิ่งไลแครอท ฉันพบวา มีหลายอยางในชีวิตที่เราไมชอบทํา แตเราก็อดทนทําตอไปได เพราะอะไรนะหรือ....ก็เขาเอาบางสิ่งบางอยางมาลอใจใหเราไมออกนอกลูนอกทางนะสินึกถึงภาพมาแขงในการตูนที่เคยดูตอนเด็กๆ มาตัวนี้แสนขี้เกียจ ไมยอมวิ่งในสนามแขงซะอยางนั้นเจาของแสนฉลาดก็มีวิธีทําใหมันวิ่งเอาชนะคูแขงจนไดโดยเอาเบ็ดเกี่ยวแครอทแลวหยอนไวหนาเจามาจอมขี้เกียจ ลอใหมันวิ่งไลงับไปเรื่อย แตงับเทาไหรก็งับไมถึง มันจึงวิ่งไลงับไปเรื่อยจนถึงเสนชัยจําได...สมัยเด็กๆ ฉันไมชอบกินผัก ลุงก็จะหลอกลอวา ถากินผักหมดจะพาไปจับหิ่งหอยแถวบานลุงเปนทุงจึงมีหิ่งหอยเยอะฉันก็กินผักจนหมดเพราะอยากไปจับหิ่งหอยแสนสวยถึงเวลาตองไปโรงเรียน พอแมบอกวาคนที่ไปโรงเรียนแลวไมรองไหเปนคนเกง ฉันก็ไมรองไหและขยันไปโรงเรียนเพราะอยากเปนคนเกงของพอแมเมื่อโตขึ้นใครๆบอกวาตองขยันเรียนจะไดเอนทรานซติดมหาวิทยาลัยดีๆจะไดมีงานดีๆทําฉันก็ทําตามตองเรียนพิเศษวันเสารอาทิตยก็ยังไปเมื่อจบปริญญาตรี เขาวายังไมพอ ถาอยากไดงานดีๆ เงินเดือนเยอะๆ ตองไปตอปริญญาโทฉันก็ไปตามที่เขาวา แลวตองไปเรียนที่มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงจะไดเปนเกียรติตอวงศตระกูล ฉันก็ทําตามทั้งที่ไมชอบเรียนเลยเมื่อทํางาน นายจางก็วาถาขยัน ตั้งใจทํางาน จะไดขึ้นเงินเดือนและไดรับยกยองวาเปนพนักงานดีเดน ฉันก็ทํางานเอาจริงเอาจัง หามรุงหามค่ํา จนไดรับคําชม แมจะเหนื่อยกับงานแตก็ทนไดจริงๆแลวสิ่งที่เราพอใจขวนขวายใหไดมาทั้งคําชมความสําเร็จเกียรติยศชื่อเสียงก็เปนแคแครอทที่มาไมมีวันไดกิน เปนสิ่งที่เขาใชลอใหเราทําตามกลไกทางสังคม กลไกของโลก เพื่อให
Page 58
-58-สังคมอยูได ประเทศอยูได โลกนี้อยูได แตเราไมไดไดมาเปนของเราจริงๆซะหนอย ทุกอยางเหลานั้นอยูกับเราแคชั่วคราวทั้งนั้นเศรษฐีที่มีเงินมากที่สุดก็เปนเจาของเงินแคชั่วคราว นายพลยศสูงที่สุดก็มียศ มีคนนับถือมากมายแคชั่วคราว ผูหญิงที่สวยที่สุดก็มีความสวยแคชั่วคราว ของที่รักที่สุดก็เปนของเราแคชั่วคราว เราจะเอาจริงเอาจังอะไรมากนักถาใจรูทันเขาซะแลวแบบนี้อยาลืม ภายนอกก็ยังตองแสดงใหสมบทบาทตอไปเชนเดิม เพราะเรามีรางกายที่จะตองดูแลรักษา มีบทบาทหนาที่ที่ติดตัวมา ชีวิตเราก็ตองดําเนินตอไป ทํางานก็ตองเอาเงินเดือนและตองขยันใหไดเงินเดือนขึ้นดวย เปนเจาของรานขายกวยเตี๋ยวก็ตองทําใหไดกําไรแตไมเอาจริงเอาจังที่ใจคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น