.....โดยส่วนใหญ่แล้
.....ในที่นี้ก็จะพูดถึงบางคำที
มีบางคำที่ใคร่ขอนำมากล่าว คือ
-คำว่า "เวทนา" ภาษาไทย ให้ความหมายไปในทางลบ คือ ระทมทุกข์
แต่ภาษาบาลี เวทนา หมายถึง "ความรู้สึก"
ซึ่งหากเป็นไปทางความรู้สึกที่
ซึ่งหากเป็นไปทางความรู้สึกที่
ซึ่งหากเป็นไปทางความรู้สึกที่
และคำว่า เวทนา เน้นไปในทางความรู้สึกที่เกิด และดับลงไป ทางร่างกายเป็นสำคัญ
ส่วนความรู้สึกที่เกิดขึ้
มโน หรือ มนัส ความหมายในภาษาไทย หมายถึง ใจ
;ใจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในอายตนะ ๖ ,อายตนะ ๖ ได้แก่ ตา(จักขุ) หู(โสตะ) จมูก(ฆานะ) ลิ้น(ชิวหา) กาย(กายยะ) ใจ(มโน)
-คำว่า "ทิฏฐิ "ภาษาไทยให้ความหมายไปในทาง ยึดถือข้างความเห็นตนเป็นใหญ่ หรือหัวรั้นไม่ลงให้ใคร เป็นต้น
แต่ภาษาบาลี ทิฏฐิ หมายถึง "ความเห็น" เป็นความหมายที่เป็นกลางๆ
เช่น สัมมาทิฏฐิ มีความหมายว่า ความเห็นที่ถูกต้องตรงต่อสิ่งที
;สัมมาทิฏฐิ หนึ่งในองค์มรรค๘ ;มรรค(บาลี) เป็นภาษาไทยคือ ทาง หนทางที่ดำเนินไป
สัมมาทิฏฐิ ในองค์มรรค๘ คือ หนทางที่ดำเนินไปด้วยความเห็นที
มิจฉาทิฏฐิ มีความหมายว่า ความเห็นผิดไปจากความเป็นจริง
มานะทิฏฐิ มีความหมายว่า ความเห็นเปรียบเทียบว่าเราดีกว่
ซึ่งเป็นกิเลสทุกข์ชนิดนึงที่
-คำว่า "มานะ" ภาษาไทยให้ความหมายไปในทางบวก คือ อุตสาหะ วิริยะ บากบั่น พากเพียร
.....แต่ภาษาธรรมในบาลี มานะ มีความหมายว่า การถือเขาถือเรา มานะทำให้เกิดอัตตา จากที่ไปเปรียบเทียบว่าเราดีกว่
-คำว่า "วิญญาณ" ภาษาไทยให้ความหมายไปทาง ภูตผี เทวดา สิ่งมีชีวิตที่ไร้ร่างกาย
แต่ภาษาบาลี วิญญาณ ก็คือ ความรับรู้, ธาตุรู้-วิญญาณธาตุ ซึ่งการรับรู้นี้เกิดขึ้นได้
.....ทางตา(จักขุวิญญาณ), หู(โสตวิญญาณ), จมูก(ฆานวิญญาณ), ลิ้น(ชิวหาวิญญาณ), กาย(กายะวิญญาณ) และทางใจ(มโนวิญญาณ) เป็นต้น
..... *อายตนะ คือ ตำแหน่งของพื้นที่ในการรับรู้ ของการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การสัมผัสรส การสัมผัสทางร่างกาย การสัมผัสทางใจคืออารมณ์
..... คำบาลี มีใช้ในชีวิตประจำวันคนไทยและภู
.....ช่วงเวลาอยู่ภายนอกชีวิ
เราเรียนรู้สมมุติบัญญัติ และเรียนรู้เพื่อที่จะปล่
.....เช่น เวลาปฏิบัติเข้าสู่ภายในด้
บัญญัติ นิมิตอนุพยัญชนะ
..... เมื่อปฏิบัติสมาธิภาวนาช่
.....บางทีใช้บัญญัติซ้อนบัญญั
สมมุติว่า "เวลาเราเดินเข้าตู้ ATM เพื่อเบิกถอนเงินสด เราคงไม่ใช้เวลามากกับการอ่
ที่มีกำกับทั้งอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น หรือพื้นที่บางแห่งมีภาษาพม่าด้
บางคนช่างสังเกตศึ
แต่นานไปเขาจะช่ำชองไม่ไปเสี
ซึ่งภาษาเปรียบได้กับการใช้เป็
ป้ายที่ติดกำกับทั้
แท้จริงแล้วหากไม่ไปปักป้ายชื่
ทุกสิ่งในธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่เป็นสามัญลักษณะ ..
ร่างกาย และจิตใจทุกคนด้วยเช่นเดียวกัน
..... รวมทั้งสภาวธรรม คือ ความรับรู้ อารมณ์ ความนึกคิด ตลอดจนความรู้สึกชนิดต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเพียงภาวะสั
.....วิธีดำรงจิต เพียงระลึกรู้อยู่กั
..... สมมุติบัญญัติและอนุพยัญชนะ รู้แล้วปล่อยวางสมมุติบัญญัติ สักแต่รู้ ไม่ยึดถือมาเป็นนิมิตหมายแห่
ปัจจุบันธรรม
การแนบชิดกับธรรมชาติของจิ
สภาวธรรมปรมัตถ์นั้น ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต ไม่มีหญิงไม่มีชาย ไม่มีใกล้ไม่มีไกล ไม่มาไม่ไป
ไม่มีสูงไม่มีต่ำ ไม่มีเราไม่มีเขา ไม่มีบัญญัติสมมุติ
สภาวธรรมใดๆที่เกิดขึ้นนั้น ที่เป็นปัจจุบันอยู่ นั้นเป็นสภาวปรมัตถ์ผัสสะ
สติระลึกรู้ เฝ้าสังเกต เพียงปฏิกิริยาอาการเกิดและดั
การสร้างเป้าหมายจิตย่อมมี
และอัตตาเหล่านั้น มิสามารถนำไปรู้แจ้งเข้าถึงซึ่
ระลึกรู้ พิจารณาอยู่ในจิตภายใน ปัญญาภายในก็จะเปิดกว้
ปรมัตถ์ธรรม การเข้าใจผัสสะ มีอยู่ในปัจจุบันขณะ
สภาวธรรมไม่มีที่ในอดีตหรื
ดำเนินอยู่กับปัจจุบันขณะ เป็นหนทางเดินไปสู่ความดับทุกข์ รู้แจ้งจากภายใน
ที่มา http://www.dhammachak.net/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น