หลายคนอาจจะเคยได้ยินแต่ “ปรัชญารวงข้าว” แต่กับ “ปรัชญาข้าวตก” หลายคนอาจจะเคยได้ยินเป็นครั้ งแรกและฟังดูแปลก ๆ ก็แน่นอนครับ เพราะมันเป็นคำที่เพิ่งคิดค้นขึ ้นโดยผมเอง ^^!
…ด้วยความที่มาจากครอบครัวที่มี อาชีพชาวนามาตั้งแต่รุ่นปู่ย่ าตายาย ชีวิตผมจึงผูกพันกับท้องนามาตั้ งแต่เด็ก ได้เห็นวิถีของการทำนาแบบเดิม ๆ ทุกปี ทุกปี เริ่มจากช่วงของการเพาะต้นกล้า ไถคราดเพื่อเตรียมดิน ปลูก ดูแลรักษา จนกระทั่งข้าวเหลืองสุกเก็บเกี่ ยวได้ ซึ่งตอนเก็บเกี่ยวนี่ ชาวนาตอนสมัยที่ผมเป็นเด็กเล็ กเขาจะใช้เคียวเกี่ยวเป็นหลัก เกี่ยวทีละกำ ๆ มีข้าวหล่นบ้าง หลุดมือเกี่ยวไม่หมดบ้าง เมื่อเกี่ยวเสร็จแล้วเขาก็จะปล่ อยข้าวทิ้งไว้กับตอฟางข้ าวในนาเพื่อปล่อยให้รวงข้าวแห้ งสักระยะ จากนั้นจึงนำข้าวที่เกี่ยวแล้ วมากองรวมกันไว้เป็นกอง ๆ เพื่อรอการฟาดหรือสีเป็นข้ าวเปลือก ซึ่งแต่ละขั้นละตอนก็จะมีเมล็ ดข้าวที่ตกหล่นมากบ้างน้อยบ้าง เช่นตอนที่นำข้าวมากองรวมกันก็ จะมีเมล็ดข้าวตกหล่นเนื่ องจากแรงสั่นสะเทือนตอนแบกหาม ตอนสีบางครั้งก็มีข้ าวกระฉอกออกจากกระสอบบ้าง ไม่มีชาวนาคนไหนที่สามารถเก็ บเกี่ยวข้าวแล้วนำข้าวออกจากท้ องนาของตัวเองได้หมดทุกรวงทุ กเมล็ด ตอนเป็นเด็กผมได้เห็น “ข้าวตก” เหล่านี้ก็ตั้งถามสงสัยว่ามันสู ญเปล่าไหม แล้วผมก็ได้คำตอบเมือโตขึ้ นมาในอีกไม่นานคือไม่เลย ข้าวที่หลุดจากการเก็บเกี่ยวหรื อเกี่ยวไม่หมด ก็จะมีชาวนาอีกกลุ่มที่ยากไร้ ไม่มีนาเป็นของตัวเองมาเกี่ ยวเอาไปเรียกว่าการ “เก็บข้าวตก” ส่วนเมล็ดข่าวที่หล่นบนพื้นนาก็ กลายเป็นอาหารของไก่ นก หนูและสัตว์เล็กสัตว์น้อยอื่น ๆ ทุกอย่างมันเกื้อกูลกันหมด
…วิถีชาวนาสอนผมว่า “ของบางอย่างเราอาจไม่ได้มั นมาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ อาจขาดตกไปบ้างระหว่างการเดิ นทาง ระหว่างกรรมวิธีเพื่อที่จะทำให้ ได้มันมา แต่ส่วนที่ตกหล่นไปมันไม่ได้ กลายเป็นไร้ค่าเสมอไป มันยังทำประโยชน์ให้คนอื่นหรื อสิ่งอื่นได้เสมอ ทุกสิ่ง ทุกอย่างล้วนเกื้อกูลกัน” ซึ่งผมเรียกมันว่า “ปรัชญาข้าวตก” นั่นเอง
…ทุกวันนี้ถึงแม้ผมจะไม่ได้เป็น “ชาวนา” ตามรอยบรรพบุรุษ แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ในวั ยเด็กตอนนั้นยังสอนผมได้ดีอยู่ เสมอ
…ทุก ๆ ครั้งที่ผมนึกเสียดายสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เงินหล่นหาย แม่ค้าทอนเงินผิด แท็กซี่ไม่มีเศษทอนให้ ของหาย ฯลฯ ผมจะนึกถึง “ปรัชญาข้าวตก” คือ บางสิ่งบางอย่างเราไม่จำเป็นต้ องเอาทั้งหมด สละบ้างก็ได้ หยวน ๆ กันไปไม่ถือสา แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้เราเดือนร้ อนมากมายอะไร เงินที่หล่นหายไปมันอาจช่วยให้ ขอทานคนหนึ่งได้มีเงินซื้อข้ าวกิน เงินทอนที่ยกให้แท็กซี่ไปมั นอาจช่วยให้เขาได้มีเงินไปเลี้ ยงดูปากท้องครอบครัว ซึ่งวันนั้นเขาอาจจะไม่ได้ผู้ โดยสารเลยก็ได้ ของที่หายไปเราก็ยังหาซื้อใหม่ ได้
…นอกสิ่งที่มันขาดไปแล้ว ผมยังใช้ “ปรัชญาข้าวตก” กับสิ่งที่มันเกินมาด้วย ของที่เราได้มาแล้วมันเกิ นความจำเป็นต่อชีวิตเรา เราก็สละให้คนอื่นหรือบริจาคให้ คนอื่นบ้างก็ได้ เช่น ตอนกิจกรรมแลกของขวัญปีใหม่ ของแผนกในบริษัทที่ผมทำงานอยู่ เมื่อครั้งที่ผ่านมา ผมแลกได้ของขวัญชิ้นหนึ่งเป็นชั ้นวางของมันชิ้นใหญ่เกินไปทำให้ ผมเอากลับไม่สะดวกเพราะไม่มี รถยนต์ส่วนตัว และคิดแล้วว่าของชิ้นนี้ยังไม่ จำเป็นสำหรับเรา ถ้าเอาไปคงรกห้องเปล่า จึงบอกพี่แอดมินที่ออฟฟิศว่ าขอบริจาคให้ออฟฟิศ และในวันต่อมาที่ออฟฟิศก็ เอาไปทำชั้นวางหนังสือ ของชิ้นนั้นแทนที่จะกลายเป็ นของที่เกินความจำเป็นสำหรั บเราก็กลับกลายเป็นของที่มี ประโยชน์ต่อคนหมู่มากซะอย่างนั้ น แล้วเราก็ได้รับคำขอบคุณ ถือเป็นสิ่งที่ไม่คาดคิด แต่ก็รู้สึกภูมิใจอยู่ลึก ๆ
…อาหารที่กินไม่หมดก็ไม่จำเป็ นต้องเสียดายพยายามกินให้หมด จะเสียสุขภาพเสียเปล่า ๆ ลองมองออกไปให้กว้างกว่าจานข้ าวที่เราทาน …เราจะพบว่าตามข้างทางยังมีสุนั ขเร่ร่อนหิวโซตั้งเยอะแยะ ลองเอาไปให้สุนัขเหล่านั้นกินก็ ได้ ได้ทำทานด้วย
…เสื้อผ้าที่คับใส่ไม่ได้ก็ไม่ ควรจะเสียดายแล้วแขวนไว้ในตู้ เสื้อผ้าให้เกะกะเปล่า ๆ แล้วฝันลม ๆ แล้ง ๆ ว่าสักวันจะผอมแล้วกลับมาใส่ได้ อีกครั้ง โอกาสความเป็นไปได้คงแค่หนึ่ งในร้อย …ตามชนบทยังมีผู้ยากไร้ไม่มีเสื ้อผ้าใส่ตั้งเยอะแยะ แล้วก็มีมูลนิธิที่รับบริ จาคของไปให้คนเหล่านี้ เช่น มูลนิธิกระจกเงาเป็นต้น ผมว่าลองบริจาคไปบ้างก็ได้นะ เผื่อตู้เสี้อผ้าจะได้มีที่ว่ างสำหรับเสื้อผ้าตัวใหม่ ^^
…หนังสือที่กองเป็นตั้ง ๆ แล้วไม่ได้อ่าน ผมว่าลองคัดแล้วส่งไปบริจาคบ้ างก็ได้นะ ยังมีเด็กนักเรียนในโรงเรี ยนยากจนจำนวนมากที่ไม่มีแม้แต่ หนังสือจะอ่าน ได้บุญแถมบ้านสะอาดขึ้นอีกต่ างหาก …นักอ่านส่วนมากจะหวงหนังสือ ผมเองก็เคยเป็น แต่เดี๋ยวนี้ไม่แล้ว เพราะผมซื้อหนังสือใหม่เกือบทุ กเดือน จนอ่านไม่ทัน แล้วก็โอกาสที่ผมจะมีเวลามาอ่ านเล่มเดิมรอบสองนั้นแทบจะไม่มี ดังนั้นผมจะคัดไว้เฉพาะเล่มที่ รักมากจริง ๆ เท่านั้น นอกนั้นส่งบริจาคหมด ให้มันไปเป็นประโยชน์ต่อคนอื่ นดีกว่าที่จะกองไว้เฉย ๆ
…และนอกจากนี้ผมยังใช้ “ปรัชญาข้าวตก” กับเงินเงินเดือนที่ผมได้ทุก ๆ เดือน จำได้ไหมครับในบทความ “บริหารเงินน้อยสไตล์อ้ายคำปัน” ผมบอกว่าผมมีบัญชีอยู่บัญชีหนึ่ งชื่อว่า “บัญชีการให้” ถ้าใครจำไม่ได้หรือเพิ่งเข้ ามาอ่าน “ยิ้มแต้มฝัน” ครั้งแรกลองเข้าไปอ่านที่นี่ นะครับ http://www.yimtamphan.com/?p= 903 คือ ทุก ๆ เดือนผมจะแบ่งเงินเดือน 5-10 % เข้าบัญชีนี้เพื่อทำบุญ บริจาคทาน หรือบริจาคให้มูลนิธิที่ ทำงานเกี่ยวกับการช่วยเหลือสั งคมต่าง ๆ ผมถือว่าเงินที่ได้มาต้องคืนให้ กับสังคมส่วนหนึ่ง ไม่จำเป็นที่เราต้องรับไว้เองทั ้งหมดครับ เพราะเราใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสั งคมก็ควรคืนให้กับสังคมบ้าง …ถ้าเปรียบ “การให้” เหมือนการลงทุนก็คงเป็นการลงทุ นที่เหนือกว่าการลงทุนทั้ งหมดครับ เพราะมันคือการลงทุนข้ามชาติ (ข้ามภพ ข้ามชาติ ^^!) …เพื่อน ๆ เชื่อไหมครับแทนที่ผมจะมีเงิ นเก็บน้อยลงแต่เปล่าเลยครับ มันกลับยิ่งเพิ่มขึ้น พอร์ตหุ้นของผมตอนที่เขี ยนบทความเมื่อประมาณกลางปีที่ แล้วกับตอนนี้โตขึ้นหลายเท่าครั บ
…มีคนกล่าวไว้ว่า “ยิ่งให้ ยิ่งได้รับ” ครับผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่ออย่ างนั้น
…ทุก ๆ ครั้งที่ผมได้รับใบอนุโมทนาบุ ญหรือหนังสือขอบคุณจากมูลนิธิ สถาบัน หรือองค์กรที่ผมการบริจาคเงิ นให้ ผมว่ามันปีตินะ เงินแค่หลักร้อย หลักพันยังสามารถเป็นประโยชน์ต่ อคนหมู่มากได้ …เขาได้รับ เราก็ได้รับ …สุขใจครับ
“บางอย่างไม่จำเป็นต้องเอาทั้ งหมด ปล่อยให้มันขาดตกบ้าง ยอมสละบ้างก็ได้
ดุจ “ข้าวตก” บนพื้นนายังประโยชน์ให้สัตว์เล็ กสัตว์น้อยได้อิ่มท้องฉันใด
สิ่งที่มันขาดตกไปก็ยังเป็ นประโชน์ให้กับคนอื่นสิ่งอื่ นได้ฉันนั้น”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น