++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2552

เรียนรู้ความสุขของชีวิตจากปรียานุช ปานประดับ

อ่านแล้วเป็นกำลังใจให้ชีวิตดีจัง...อยากให้อ่านค่ะ อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้รู้ว่า ทุกข์ของเราที่มีน้อยนิดนัก อยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่ามากที่สุดค่ะ



ใครจะเชื่อว่า นางเอกหน้าหวาน ปรียานุช ปานประดับ ขวัญใจคนไทย จะมีช่วงชีวิตที่ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะเป็นโรคภัยไข้เจ็บได้มากมายเหลือเกิน ไล่ยาวตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เป็น โรคหอบหืด,ไมเกรน,ปวดประจำเดือน,เนื้องอกที่มดลูก,ช็อคโกแล็ตซีสที่หน้าอก,เป็นเนื้องอกที่ข้อมือ,เข่าเสื่อมแบบเฉียบพลัน,โรคข้อ,เนื้อเยื่ออักเสบทั่วตัว



โรคต่างๆ ที่ว่า ทำให้เธอเจ็บปวดแสนสาหัส หนักที่สุดคือถึงขั้นพิการ เดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็นอยู่เป็นปี ๆ แถมยังอยู่ในภาวะใกล้ตาย เพราะการปวดของเนื้อเยื่อทำให้ระบบหายใจไม่ได้ เกือบจะหัวใจวายเฉียบพลันอยู่หลายหน โชคดีที่ได้คนรอบข้าง นพพล โกมารชุน ครอบครัว และเพื่อน ๆ ช่วยอยู่เคียงข้าง และปาฏิหาริย์ ของสมุนไพร ไทย ทำให้เธอกลับมาเดินได้อีกครั้ง


โรคแต่ละโรคที่คุณปรียานุชเป็น นั่นมันโรคทรมานทั้งนั้น...อย่างที่บอกค่ะ..ว่ากลับมาดูตอนแรกไม่ทัน..แต่ดูรายชื่อโรคแล้วพอจะรู้ค่ะว่าทรมานอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นหอบหืด...ไมเกรน..อันนี้รู้ซึ้งเลยค่ะว่าปวดอย่างไร เพราะเป็นมาก่อน ปวดประจำเดือน..ผู้หญิงหลาย ๆ คนคงทราบนะคะว่าเป็นอย่างไร แต่คุณปรียานุชเธอมีประจำเดือน 15 วัน..ต่อเดือน !!!!


พิธีกรชายพูดว่า "นั่นมันเวลาครึ่งหนึ่งของชีวิตทีเดียว"
ใช่ 1 เดือนมี 30 วัน ปวดประจำเดือนซะ 15 วัน.. แล้วก็พบว่าเป็นเนื้องอกในมดลูก.. ประจำเดือนของคุณปรียานุชมาเยอะมากกกกก แต่เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่บวกมาก ๆ ด้วยค่ะ

มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอกำลังคุยเรื่องบทกับคุณกัปตัน ภูธเนศ แล้วประจำเดือนของเธอก็ไหลไม่หยุดมันเยอะมาก จนเลอะเก้าอี้ที่นั่งแล้ว เธอไม่กล้าบอกคุณกัปตัน แต่เธอตลกมากค่ะ.. เธอบอกว่า เธอไม่อายหรอกนะคะ แต่กลัวน้องกัปตันที่เป็นผู้ชายจะอาย เธอก็เลยขอตัวสักครู่ โดยเดินออกไปและยกเก้าอี้ตัวนั้นปิดก้นไปด้วย ทุกคนจะหัวเราะเธอว่าเธอทำอะไร... และตลอดทั้งรายการเธอมักจะพูดในทำนองว่า เธอจะไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาที่เธอไม่ป่วยไม่มีความสุขเด็ดขาด
คุณปรียานุชเธอผ่านการทานยาจากราคาถูกที่สุดจนแพงที่สุด เพื่อระงับอาการปวด จนกระทั่งรับการฉีดมอร์ฟีน..ฉีดจนคุณหมอต้องขอให้หยุด เพราะจะเกิดอาการติดมอร์ฟีนแล้ว.. เวลาเธอปวดเธอจะพยายามจับหน้าผากไม่ให้ย่นด้วย..เนื่องจากเธอกลัวแก่..เธอเล่าไป..หัวเราะไป..น่ารักมากเลยค่ะ..
และสุดท้ายเธอก็ตัดสินใจผ่าตัดเอามดลูกที่มีเนื้องอกออก.. ผลจากการผ่าตัดทำให้ร่างกายเธอเปลี่ยนแปลงมากมายฮอร์โมนที่เคยมีก็ไม่มีเธอบอกว่า...ผู้หญิงเราพอไม่มีฮอร์โมนก็จะแก่ลงเร็วมากกกก...ตาเหี่ยวย่นทันที หน้าก็บวมแปลก ๆ ผิวจะแห้งมากกกก...และเธอจะหิวน้ำตลอดเวลา ปกติคนเรากินน้ำประมาณ 2 ลิตรต่อวันแต่คุณปรียานุชจะกินประมาณ 4-5 ลิตร ต่อวัน..นั่นส่งผลให้เธอฉี่บ่อย..และอ่อนเพลีย หัวใจเต้นรัวเร็ว

เธอไปพบแพทย์อีกครั้ง... คุณหมอต้องกักตัวเธอไว้ และให้เธอหยุดทานน้ำเช่นนั้น เพราะไตจะวาย..เนื่องจากไตทำงานหนักเกินไป ทำให้หัวใจเต้นเร็วด้วย.. เธอเล่าติดตลกว่า วิธีการรักษาของคุณหมอน่ารักมาก.. เธอต้องรักษาด้วยการกินน้ำแข็งแทนน้ำค่ะ.. เธอบอกว่าเหมือนเธอกลับไปเป็นเด็กเลย..ต้องอมน้ำแข็งตลอดเวลา ใครพกอะไรติดตัวไม่รู้ แต่ปรียานุชพกกระติกที่มีน้ำแข็งติดตัว..

ส่วนโรคเนื้องอกที่หน้าอก อืม..ถ้าจำไม่ผิดจะเกิดก่อนที่จะผ่าตัดมดลูกนะคะ..เธอเล่าว่าเป็นเรื่องที่ตลกมาก (อีกแล้ว ผู้หญิงคนนี้มองโลกในแง่ดีจริง ๆ) เธอไปเที่ยวเชียงตุง กับเพื่อน ๆ โดยนั่งรถขึ้นเขาซึ่งเส้นทางจะทรหดมาก เธอกางสองมือเกาะรถและโยกไปตามจังหวะขึ้นลงรถของรถอย่างสนุกสนาน ในขณะที่คนอื่นบอกว่าจะอ้วกแตกแล้ว.. หลังจากเที่ยวในครั้งนั้น เธอพบว่า หน้าอกของเธอใหญ่ขึ้น.. แต่ใหญ่ขึ้นแบบแปลก ๆ เป็นก้อนเท่าลูกมะนาวทีเดียว.. เธอไปตรวจที่โรงพยาบาล..และคุณหมอก็แจ้งว่าต้องผ่าตัดด่วนเลย เพราะเนื้องอกมีขนาดใหญ่มาก เธอบอกว่า จริง ๆ เธอมีเนื้องอกอยู่แล้ว แต่มีขนาดเล็ก โดยที่เธอไม่รู้ตัว พอเธอออกกำลังแขนมากเกินไป..จึงทำให้เนื้องอกขยายใหญ่ขึ้นมา

ดูสิ..ทำไมเธอมีอารมณ์ขันได้มากมายเหลือเกิน
อีกโรคที่เธอต้องเผชิญ เป็นโรคที่ 100,000 คนจะเป็น 1 คน นั่นคือโรค แคลเซียมในร่างกายไหลไปอุดตามข้อต่อ.. เธอพบโรคนี้ที่ข้อมือข้างขวา...ข้อมือเธอจะบวมมากจนไม่สามารถบิดลูกบิดได้ เธอต้องรับการผ่าตัดอีกครั้ง.. โรคนี้ทำให้เธอจิตตกอยู่นาน... 2 ชั่วโมง.. จริง ๆ ค่ะ 2 ชั่วโมง..คุณปรียานุชเธอบอกว่า เธอมานั่งมองตัวเองว่าทำไมชีวิตอับเฉาเช่นนี้...เพราะโรคนี้น่ากลัวนะคะ.. เราจะไม่รู้เลยว่า..ต่อไปแคลเซียมจะไหลไปอุดตันที่ข้อต่อไหนอีก คุณปรียานุชเธอวิตกว่าถ้าไหลไปข้อต่อบริเวณต้นคอ หรือกระดูกสันหลัง จะลำบากมากกกกก... แต่เธอก็ทำใจได้..และมีความสุขกับชีวิตของเธอ..
หลังการผ่าตัดเธอบอกว่า มือของเธอไม่มีความรู้สึกเลย ความขี้เล่นและร่ำรวยอารมณ์ขันของเธอ เธอก็จะยกเอามือข้างขวาขึ้นมาและโยกซ้ายขวา แล้วบอกว่า "มือผี มือผี"...เธอบอกว่าเธอเล่นแบบนั้นเยอะมาก ใครมาเยี่ยมเธอก็เล่น "มือผี มือผี" ไปเรื่อย จนมืออักเสบไปทั้งแขน ปกติหลังการผ่าตัด เธอต้องพักฟื้นประมาณ 1 เดือน แต่จากการเล่นมือผี เธอต้องพักฟื้น 6 เดือน !!!! แถมยังต้องกายภาพบำบัดอาทิตย์ละ 3 วัน อีกด้วย เพราะแขนเธอตึงมากกก ไม่สามารถงอหรือเคลื่อนไหวได้เลย..
ช่วงที่เธอใช้งานมือขวาไม่ได้ แต่เธอก็ยังคงทำงานอยู่..เธอบอกว่าเธอเป็นคนไม่ยอมแพ้ ..เมื่อใช้มือขวาไม่ได้ เธอก็ใช้มือซ้ายเขียนหนังสือแทน..
และเธอก็เล่าว่า การใช้ชีวิตโดยมีมือแค่ข้างเดียวเป็นอะไรที่ลำบากมาก...ใส่กางเกงเองก็ไม่ได้..ต้องให้คุณตู่ นพพล ช่วยใส่ เธอเล่าได้น่ารักอีกแล้วว่า เหมือนเธอกลายเป็นเด็กที่ยังช่วยตัวเองไม่ได้ ทุกเช้า คุณตู่ นพพลจะมาช่วยเธอใส่กางเกง..

เธอบอกว่าสิ่งที่เธอเป็นทำให้เธอเข้าใจคนพิการได้อย่างดีทีเดียว เพราะ นอกจากจะทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว การขอให้คนรอบข้างช่วยเหลือ ก็ทำให้รู้สึกเกรงใจมากกก
มาถึงโรคเข่าเสื่อมแบบฉับพลัน...โรคนี้เธอเล่าว่า เมื่อครั้งที่คุณตู่ นพพล ไส้ติ่งอักเสบต้องเข้าโรงพยาบาล เธอพาคุณนพพลไปโรงพยาบาล ก่อนเข้าห้องผ่าตัด เจ้าหน้าที่ที่เข็นเตียง ได้ยกมือไหว้ขอพรสิ่งศักดิ์ คงจะขอให้การผ่าตัดผ่านพ้นไปได้ด้วยดี คุณปรียานุชเห็นดังนั้น เธอก็เลยพนมมือขอต่อสิ่งศักดิ์เช่นกัน..เธอขอว่า
"ขอให้ความเจ็บปวดทั้งหมดที่พี่ตู่ประสบ มาเกิดแก่ลูกแทนเถิด"

เธอบอกว่าที่เธอขอแบบนั้น เพราะคุณตู่ นพพลไม่เคยเจ็บป่วยเช่นเธอ แต่เธอป่วยมาเยอะ เธอคิดว่าเธอสามารถทนความเจ็บปวดเหล่านั้นได้
(คุณปรียานุช คุณเป็นผู้หญิงที่น่ารักจริง ๆ ...บอกได้เต็มปากเต็มคำเลยค่ะ ว่า "หลงรักผู้หญิงคนนี้แล้ว")
พอผ่าตัดเสร็จ คุณนพพล พักฟื้นอยู่ที่ห้องชั้น 8 และชั้น 4 เป็นชั้นขายอาหาร คุณปรียานุช เธอใช้การเดินขึ้นลงบันไดแทนการใช้ลิฟต์ค่ะ เพราะคิดว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว เธอไม่ได้เดิน หรือ วิ่งมากกว่าปกติเลยนะคะ..แต่จู่ ๆ เธอก็ปวดเข่า..แล้วเธอก็ต้องตรวจร่างกาย ผลจากการเอ็กซเรย์เข่า...คุณหมอบอกว่า "คุณปรียานุช คุณต้องพักและห้ามเดินโดยเด็ดขาด เพราะเส้นเอ็นของคุณกำลังจะขาดแล้ว !!!!"

คุณหมอเอาฟิล์มเอ็กซเรย์เข่าของคนปกติ กับฟิล์มของคุณปรียานุชมาเปรียบเทียบให้ดู แล้วบอกว่าคุณปรียานุชต้องผ่าตัดใส่เข่าเทียมด่วน...
จำไม่ได้แน่ชัดค่ะว่าได้ผ่าตัดหรือเปล่า และผลจากการผ่าตัดเป็นเช่นไร..แต่ผลจากโรคนี้..ทำให้คุณปรียานุชเดินได้ไม่เกิน 50 ก้าว !!!!! ค่ะ 50 ก้าว และต้องพักซักระยะ ถึงจะเดินต่อได้อีก...

เธอเล่าว่า จากการที่เธอเป็นโรคนี้เธอจะรู้รายละเอียดของสถานที่ต่าง ๆ เยอะมาก..เธอต้องรู้ว่า ห้างฯ นี้มีรถเข็นหรือเปล่า...มีเก้าอี้นั่งพักหรือเปล่า...มีบันไดกี่ขั้น..หรือ เมื่อลงจากรถแล้วต้องเดินจากรถไปกี่ก้าวจะถึงร้านอาหาร ... เธอต้องนับก้าวทุกครั้ง..ขอบอกค่ะว่า คุณนพพล น่ารักมาก...เพราะคุณนพพลจะช่วยกันนับก้าวเดินกับคุณปรียานุชไปด้วย..เธอบอกว่าสนุกดี.."เอ้าก้าวซ้าย 1 ก้าวขวา 2" ..ช่วยกันนับแบบนี้ 2 คน..(เป็นคู่ที่น่ารักมากกกกกกกกก)

พิธีกรสอบถามว่า เธอผ่านช่วงเวลาแบบนั้นมาโดยใช้หลักการคิดอย่างไร คุณปรียานุช บอกว่า เธอถามคุณหมอว่าเธอจะหายป่วยไหม? คุณหมอบอกว่าหาย เมื่อเธอรู้ว่าเธอจะหายป่วย เธอก็ไม่คิดอะไรแล้ว..ไม่ต้องคิดว่าจะหายเมื่อไร ...แค่รู้ว่าเธอต้องหาย และเธอก็เชื่อเช่นนั้น แค่นั้นเอง...(ช่วงนี้ดูแล้ว ตบมือให้เธอเลยค่ะ..)
เธอบอกอีกว่า..เธอจะนับลมหายใจในตอนที่ก้าวแต่ละครั้ง นั่นทำให้เธอรู้ว่า ทุกลมหายใจมีความหมาย ทุกลมหายใจเธอจะต้องมีความสุข เธอบอกว่าเวลาเห็นคนไม่เจ็บป่วยอะไร เธอจะรู้สึกว่า คนเหล่านั้นเป็นคนมีบุญ...และเธอก็จะรู้สึกดีไปด้วยที่เขาไม่เจ็บป่วย..ดังนั้นเธอจะไม่ยอมอับเฉานาน ๆ
เรื่องราวความเจ็บป่วยในชีวิตของเธอยังไม่จบแค่นั้นค่ะ เธอยังเผชิญโรคข้ออีกด้วย เธอจะปวดตามข้อ..ทุกเช้าที่เธอตื่น เธอจะใช้มือยันเตียงเพื่อลุกขึ้นไม่ได้...เพราะนิ้วมือของเธอจะงอ ไม่สามารถเยียดตรงได้..

เธอเล่าว่า โรคข้อเป็นโรคที่ทรมานที่สุด ปวดไมเกรน ปวดท้อง จะปวดเป็นจุด ๆ ไป แต่ปวดข้อจะปวดทุกข้อในร่างกาย..ตรงไหนที่เป็นข้อต่อเธอจะปวดหมดทุกจุด....และซ้ำร้าย เธอยังเป็นโรคเนื้อเยื่ออักเสบทั่วตัวอีกด้วย..ปวดไปทั้งร่างกาย...เธอต้องกินยาแก้อักเสบ และถ้าโดนอะไรนิดหน่อยก็จะเจ็บปวดมาก..เดินมากก็ไม่ได้..นั่งนาน ๆ ก็ไม่ได้ ต้องยืดเข่าตลอดเวลา..และมันยังทำให้เธอเป็นโรคกระดูกบาง กระดูกเปราะง่าย..ครั้งหนึ่งเธอทำกายภาพบำบัดเข่า...ปรากฎว่ากระดูกที่ขาเธอหักเลยค่ะ.. (ฟังมาถึงตรงนี้...รู้สึกเสียว ๆ ตามข้อเลยค่ะ)
ช่วงต่อไปนี้จำรายละเอียดไม่ได้แน่ชัดนะคะ..ต้องขออภัยด้วยค่ะ..แต่จากการที่เธอเป็นโรคมากมายทำให้เธอเขียนพินัยกรรมและสั่งเสียอะไรตั้งมากมาย..ขอหยิบยกมาจาก web site รายการเจาะใจอีกครั้งนะคะ..


“ตอนที่เป็นหนัก ๆ ก็คิดว่าตายก็ดี คือไม่ได้กลัวตายนะ อยากตาย ถ้าเกิดการตายมันมีความสุข คือมีคนบอกหรือค่ะว่าตายแล้วเป็นทุกข์ คนตายเคยมาบอกหรือค่ะ (หัวเราะ) นุชคิดว่าคนตายต้องมีความสุข อาจจะกลัวความเจ็บปวดจากการใกล้ตายมากกว่า แต่เพราะนุชปวดทรมานมาจนทุกข์ขนานแล้ว ก็เตรียมตัวตาย มีการทำพินัยกรรม ก็สั่งเสียต่าง ๆ พี่ตู่ควรทำอย่างไร สั่งเสียจนพี่ตู่เขาเบื่อว่าเมื่อไหร่จะตายซะที(หัวเราะ) คือเรารู้สึกอยู่แล้วว่าเราใกล้แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทุกข์นะคะ เพราะนุชรู้สึกว่าลมหายใจ แต่ละลมหายใจมันสำคัญ ในระหว่างที่มีลมหายใจจะมีความทุกข์ นุชจะไม่ยอม ไม่ทำอย่างนั้น เคยไปเยี่ยมคนป่วยแล้วเขายิ้ม ก็เข้าใจว่า อ๋อ เราก็คงเป็นอย่างนั้นเนอะ มันคงเป็นยิ้มสุดท้าย ถ้าอีกสองวันเราก็จะตาย แล้วเราจะไม่ยิ้มเหรอ”



ขอข้ามไปเล่าถึงตอนที่เธอพบปาฏิหาริย์ พลิกชีวิตของเธอจากที่ต้องรอความตาย..ก็หายจากโรคที่เผชิญอยู่อย่างช้า ๆ
ครั้งหนึ่งเธอต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง ก็มีผู้คนมากมายมาทักทายเธอ มีอยู่คนหนึ่งบอกกล่าวให้เธอลองทานสมุนไพรไทยดู..คุณปรียานุชเธอบอกว่า เธอจะลองทานดู..เพราะเธอทานสมุนไพรจีนมามากมายแล้ว ฝังเข็มก็แล้ว..ลองทานสมุนไพรไทยดูบ้างก็ไม่เสียหายอะไร...
เธอใช้เวลาในการทานยาและปรับวิถีการกินอยู่ของเธอร่วม 8 เดือน อาการของเธอก็ดีขึ้น..และจากการรักษาในครั้งนี้ทำให้อาการติดยานอนหลับร่วม 20 ปี ของเธอหายไปด้วย..เพราะการรักษาด้วยสมุนไพรห้ามกินยาอื่น ๆ ร่วม...


เธอเล่าว่า ทุกครั้งที่เห็นใครนอนหลับง่ายจะเธอบอกว่า คนนี้มีบุญ...ถึงแม้เขาไม่ได้อาบน้ำก่อนนอนก็ตาม..แต่เธอซิ เธออาบน้ำ เธอนอนบนที่นอนดี ๆ ..แต่เธอก็นอนไม่หลับ..ตอนนี้เธอนอนหลับโดยไม่ต้องพึ่งยาแล้ว เธอมีความสุขมากกกกก...
เธอบอกว่า คนทุกคนมีบุญ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองมีบุญอะไร..
ลองมาคิดกันดูนะคะ..ว่าตัวเราเองมีบุญอะไรบ้าง..
แล้วมีความสุขกับชีวิตเหมือนผู้หญิงคนนี้ "ปรียานุช ปานประดับ"






"การรู้ซึ้งคุณค่าของสิ่งที่เรามีอยู่ในวันนี้คือสิ่งที่สำคัญ ขอให้ความทุกข์ที่ผ่านมาแล้ว...เป็นบทเรียนอันมีค่าที่จะทำให้เราเติบโตอย่างคนที่รู้เท่าทันความทุกข์"
วายร้าย@^_^@ยายตัวยุ่ง [mailto:วายร้าย@^_^@ยายตัวยุ่ง CTRL + Click to follow link]

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอเป็นกำลังใจให้คุณปรียานุชค่ะ นึกแล้วคนเราน่าจะใช้เวลาหาความสุขให้กับตนเองและคนรอบข้างให้มากๆค่ะ เกิดมาแล้วทั้งทีเนอะ

    ตอบลบ