++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2552

ประโยชน์ของสมาธิ หลวงพ่อวิริยังค์

ก็…โยม ตั้งใจทำความสงบกันต่อไป ในเบื้องต้นนี้ ขอให้ทุกคนพากันว่าตาม อาตมาจะเป็นผู้นำ

ข้าพเจ้า ระลึกถึง คุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ จงมาดลบันดาล ให้ใจของข้าพเจ้า จงรวมลงเป็นสมาธิ พุทโธ ธัมโม สังโฆ (3ครั้ง) พุทโธ พุทโธ พุทโธ

นึกไว้ในใจ นั่งขัดสมาส ขาเบื้องขวาทับขาเบื้องซ้าย มือเบื้องขวา หงายทับมือเบื้องซ้าย วางไว้บนตัก หลับตา นึกพุทโธในใจ

นั่ง สมาธิ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง เพราะอะไร เพราะว่า ใจของเรานี้ พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นสิ่งประเสริฐ และเราทำอย่างไรกับสิ่งประเสริฐนี้ จึงจะสำเร็จเป็นผลเป็นประโยชน์

บุคคล ทุกคนได้มีใจด้วยกันทั้งนั้น เพราะการมีใจนั่นเอง คือเป็นผู้ที่มีของประเสริฐ อยู่ที่ตัวของเราแล้วทุกคน เมื่อเราได้มาปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยวิธีการทำสมาธิ จึงเป็นการถูกต้องแล้ว ที่เราได้ปฏิบัติสิ่งประเสริฐ ให้มีผลประโยชน์ แก่ตัวของเรา ถ้าแม้นว่า เราไม่ได้มาบำเพ็ญทางใจ เราก็จะเสียที เสียหาย ในการที่เราเกิดมาเป็นคน พบพระพุทธศาสนา

เรา เกิดเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนาแล้ว เราไม่ได้ปฏิบัติในทางใจ ก็ถือว่า เราได้เสียของสำคัญ หรือไม่ได้รับผลประโยชน์จากสิ่งสำคัญ แต่เมื่อเราได้พากันมาปฏิบัติในทางใจ ถือว่า เราได้สิ่งที่มีความสำคัญ ความสำคัญนั้น ไม่ใช่สำคัญเพื่อสิ่งอื่นใด สำคัญเพื่อ อนาคตของเราต่อไป

อนาคต นั้น คือนับตั้งแต่วันหน้า จนกระทั่งถึงชาติหน้า สมาธินี้ จะได้มีโอกาสช่วยเหลือคุ้มครองตัวของเราไปด้วย เพราะอะไร เพราะว่าสมาธิ เมื่อได้รับการฝึกฝนแล้วนั้น จะส่งพลังให้เกิดขึ้น สร้างพลังจิตนี้ให้สูงยิ่งขึ้น

ผู้ที่ไม่ได้ทำสมาธินั้น ก็ไม่มีการสร้างพลัง มีแต่ใช้ความนึกความคิด พร้อมไปด้วยอาสวกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน เป็นต้น ได้เข้ามาอยู่ในจิตนั้น แล้วก็ทำให้จิตนั้นต้องคิดไปโดยการที่ไม่ได้รับการควบคุมที่ถูกต้อง เมื่อจิตนั้นไม่ได้รับการควบคุมที่ถูกต้องก็เลอะเทอะ เป็นอะไรก็เลอะเทอะ เป็นพระเป็นเณรก็เลอะเทอะ เป็นฆราวาสก็เลอะเทอะ


คำว่าเลอะเทอะก็คือเปรอะเปื้อน หมายถึงว่า เป็นผู้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องควบคุม เมื่อไม่มีสิ่งควบคุมแล้วก็เป็นโอกาสของพวกกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปปาทาน กิเลสต่างๆ เหล่านี้ เมื่อกิเลสมีโอกาสมากขึ้น ก็ทำให้เรา คือตัวของคนนั้น ต้องประสบกับบาป หรือประสบกับสิ่งที่ไม่ดี

การที่บุคคลประสบสิ่งบาปหรือสิ่งไม่ดีนั้น บุคคลผู้นั้น ไม่ใคร่จะรู้จักตัวเอง เพราะว่ากิเลสนั้น ได้ปลอมตัวเข้าไปเป็นตัวของเราซะแล้ว เมื่อมันปลอมตัวเข้าไปเป็นตัวของเรา ก็เลยทำให้ ความเข้าใจผิด คือตัวของตนนั้น เป็นผู้เข้าใจผิด เมื่อเข้าใจผิดก็คิดว่า เรานี้เป็นตัวเป็นตน เป็นบุคคล เป็นเราเป็นเขา แสดงถึงบทบาทต่างๆ

เมื่อแสดงบทบาทต่างๆ ก็นึกว่าบทบาทนั้น มันดีกับเราจริงๆ เรานี้เป็นผู้ที่มีความสามารถ ซึ่งใครๆ สู้เราไม่ได้ อันนี้เค้าเรียกว่าพวกกิเลส กิเลสเหล่านี้จะมีอยู่ในจิตใจของผู้ที่ ไม่ได้รับการควบคุม นอกเหนือจากนั้น จิตใจของผู้ที่ไม่ได้รับการควบคุมนั้น เลยเข้าใจผิดต่อไปอีก เช่น บุคคลผู้ที่เป็นพระ จะเป็นภิกษุ สามเณร หรือเรียกว่านักบวช ก็นึกว่าตัวเราเป็นฆราวาส กระทำสิ่งที่ผิดจากมารยาทของภิกษุ มารยาทของนักบวชที่จะพึงมี

เพราะอะไร เพราะว่าผู้นั้นไม่มีสมาธิเป็นเครื่องควบคุม แม้จะมีผ้ากาสาวพัตร คือมีผ้าเหลืองเป็นเครื่องคลุมตัวอยู่ ก็เหมือนกันกับคลุมตอไม้ ไม่แตกต่างอะไรกับเอาผ้าเหลืองไปคลุมสัตว์ ซึ่งมันก็จะเต้นแร้งเต้นกาของมันไป ตามประสา แต่มันก็ไม่รู้หรอกว่า ผ้าเหลืองนั้นคืออะไร

ผู้ที่ไม่มีสมาธิเป็นเครื่องควบคุมก็เช่นเดียวกัน แม้เขาจะเป็นนักบวช แต่เค้าก็จะต้องทำสิ่งต่างๆ ที่เค้าต้องการจะทำด้วยอำนาจของกิเลส ด้วยอำนาจของการยกยอปอปั้น จากบุคคล เข้าใจว่าเรานั้น เก่งบ้าง ใหญ่บ้าง โตบ้าง ก็เป็นไปตามเรื่อง อันนั้น คือความที่ไม่มีสมาธิเป็นเครื่องควบคุม

เมื่อผู้ที่มีสมาธิเป็นเครื่องควบคุมแล้ว เค้าจะต้องระมัดระวัง เช่นอย่างเป็นนักบวช เป็นพระภิกษุ เป็นสามเณร ก็มีการสำรวม มีการระวัง มีการเข้าใจว่าเราเป็นนักบวช และพิจารณาถึงความจริงของสัจจธรรมอยู่ตลอด ก็ทำให้ผู้นั้น เป็นที่น่าเคารพ น่ากราบ น่าไหว้ เป็นปูชณียบุคคลได้

ด้วยเหตุอย่างนี้ การทำสมาธิ จึงมีคุณสมบัติ มีความดีเหลือที่จะพรรณนาได้ เมื่อเขาได้เป็นผู้ที่สร้างสมาธิ สร้างความมั่นคงภายในจิตใจแล้ว เค้าจะกลายเป็นปูชณียบุคคล คือบุคคลที่สมควรแก่การกราบไหว้ สมควรแก่การที่จะทำบุญให้ทานด้วย เป็นอย่างนั้น

นอกเหนือจากที่ว่า จะเป็นปูชณียบุคคลแล้ว คุณธรรมความดี หรือเรียกว่าคุณธรรม ที่เกิดขึ้นจากสมาธินั้น ย่อมจะเป็นเครื่องกำจัดกิเลสที่มีอยู่ภายในจิตใจไปในตัวด้วย คือได้ผลหลายอย่างหลายประการ แม้ว่าการบำเพ็ญสมาธินั้น จะลำบาก มีความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า มีความอึดอัดใจ หรือมีความขัดขืนในจิตใจนั้น ก็เป็นสิ่งที่เราสมควรจะแก้ไข

แก้ไขไม่ให้มันอึดอัดใจ แก้ไขไม่ให้มันเจ็บมันปวด แก้ไขให้เรามีการบำเพ็ญให้มากยิ่งขึ้น จากวันละ 5 นาที เป็นวันละ 10 นาที จาก 10 นาที เป็นครึ่งชั่วโมง จากครึ่งชั่วโมงเป็นชั่วโมงเต็มๆ คือพยายามที่จะสร้างความเพียรให้แก่ตัวของเราให้มากยิ่งขึ้น

เพราะการสร้างความเพียรให้แก่ตัวเราให้มากนั้น เป็นการลบล้างความอึดอัด หรือเป็นการลบล้างความฟุ้งซ่านในจิตใจของเรา และลบล้างพวกกิเลสที่มันคอยมาสิงอยู่ในจิตใจของเรานั้น เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าเราจะลำบากในการบำเพ็ญสมาธิ ก็ได้ผลคุ้มค่า เรียกว่าคุ้มค่าเหลือที่จะคุ้มค่า

เพราะคนเรานั้น ถ้าหากว่าจากชาตินี้ คือตายแล้ว เราไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานทันทีนี่ มันจะเกิดอะไรขึ้น ก็เกิดความเสียหายในชาติ ในชาติของเรานี่ ที่เกิดต่อไปมันกลายเป็นเช่นนั้นไป มันเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล เรียกว่าแก้ไม่ได้

เมื่อเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ ต้องอยู่เป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นชาติ มันก็เป็นสิ่งที่ ไม่น่าจะเป็นแก่พวกเราชาวพุทธ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้น เมื่อเราพากันมาทำสมาธิ โอกาสที่จะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหรือนรกนั้น เรียกว่าน้อยมาก หรือเรียกว่าปิดนรกได้เลย หรือเรียกว่าปิดอบายภูมิได้เลย

เพราะอะไร เพราะว่า เมื่อเวลาที่เราจะตายนั้น ก็จิตนี้เอง ที่จะออกจากร่าง ร่างกายอันนี้ ในเมื่อจิตนี้ เตรียมที่จะออกจากร่าง ทุกอย่างที่มีอยู่ จิตก็ต้องพร้อม เรียกว่าเตรียมพร้อมชั่วระยะวินาทีเท่านั้นเอง จิตจะพร้อมหมดทุกอย่าง สมาธิที่เราทำมาแล้ว จะเป็นสิบครั้ง ร้อยครั้ง หรือจะเป็นกี่ครั้งก็ตาม ทำไว้ที่ไหน ก็ทำไว้ที่ใจของเรานี่เอง

เพราะฉะนั้น เวลาใจจะออกจากร่างไปนี้ สมาธิทั้งหมดก็เก็บเอาไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ ก็เรียกว่าเก็บเพียบพร้อม เมื่อพร้อมแล้ว ในชั่ววินาทีนั่น สมาธิย่อมจะต้องเกิดขึ้นกับเรา เมื่อสมาธิเกิดขึ้นกับเรา เราก็ไม่ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เราก็ไม่ต้องไปเกิดในอบาย เรียกว่าปิดได้แน่นอน

เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อเราได้ทำจิตนั้น เราก็ได้ทำ และเราก็จำได้ ไม่มีการหลงลืม เรานั่งสมาธิกี่ครั้ง เราก็ไม่ได้ลืม เรายังทรงจำอยู่ภายในจิตนั้น ไม่มีเวลาที่จะลืม ใครจะมาทำให้ลืมก็ไม่ได้ อะไรจะมาทำให้ลืมก็ไม่ได้ อะไรจะมาพรากสมาธิจากจิตนี้ไปก็ไม่ได้

เพราะอะไร เพราะว่ามันอยู่กับจิตอยู่แล้ว เราทำแล้วมันก็อยู่ในใจของเราอยู่แล้ว มันจึงเรียกว่า ไม่มีอะไรมาพรากได้ จึงเรียกว่า...สามารถที่จะปิดอบายภูมิได้ เพราะฉะนั้น จึงเป็นการคุ้มค่าจริงๆ ที่บุคคลทั้งหลาย ได้พากัน มีการเสียสละมาปฏิบัติความดีเหล่านี้ให้เกิดขึ้น

เมื่อปฏิบัติความดีเหล่านี้ให้เกิดขึ้นแล้ว เรานั้น สมควรอย่างยิ่งที่จะพัฒนาจิตของเรานี้ ให้ยิ่งขึ้น ไม่ควรที่จะคิดว่าเท่านี้พอแล้ว ฉันทำเท่านี้ก็พอแล้ว ฉันทำเท่านี้ก็มากแล้ว เราไม่ควรคิดอย่างนั้น เราควรที่จะคิดว่าที่เราทำอยู่นี้ยังน้อยไป พยายามอยู่เรื่อยไป

เมื่อเราใช้ความพยายาม จิตอันนี้จะได้รับการขัดเกลา ให้เกิดความผ่องใส หรือให้จิตนี้สูงขึ้นตามลำดับ เมื่อจิตนี้สูงขึ้นตามลำดับ ก็ถือว่าเรายิ่งได้ประสบผลสำเร็จ ยิ่งได้รับผลประโยชน์เพิ่มขึ้น ถ้าเรามาคิดถึงว่า เราเกิดมาเพื่อโลก เราเกิดมาเพื่อทรัพย์สินสมบัติ เราเกิดมาเพื่อความครองเรือน เราเกิดมาเพื่อมีลูกมีเต้า ก็คิดผิด เราไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนั้น

แต่ถ้าหากว่าเรามีการมีงาน เราทำเป็นเจ้าของ มีทรัพย์สินสมบัติทุกประการ สมบัติเหล่านั้น ให้ความสุขเราก็จริง จริงเพียงว่าให้ความสุขในปัจจุบัน คือปัจจุบันชาตินี้ แต่ว่าทรัพย์สินสมบัติเหล่านั้น ไม่มีประโยชน์เมื่อเราตายไปแล้ว ไม่มีประโยชน์

เพราะเราจะกลับคืนมาปกครองสมบัติเหล่านั้นอีก ก็ไม่ได้ และเราจะเอาตามไปด้วย ก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่เราจะเอาไปได้ก็คือสมาธิ ที่เราพากันทำอยู่นี่เอง แม้จะเท่าผีกริ้น คือนิดหนึ่ง หรือแม้เท่าสักไก่ปรบปีก นิดหนึ่ง เท่านั้น ก็ยังเป็นเชื้อที่มีความดีมากเหลือหลาย

อย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่าผู้ที่บำเพ็ญสมาธินั้น ผู้มีสมาธิในจิตนั้น เทหัง เทวกายัง มนุสสัง เทหัง เทวกายัง

มนุสสัง เทหัง ก็หมายความว่า เมื่อละจากกายเป็นมนุษย์ เทวกายัง ก็ได้กายเทพ หรือเรียกว่ากายเทวดา นี่คือผลของสมาธิ ท่านว่า มนุสสัง เทหัง เทวกายัง เมื่อละจากกายอันเป็นมนุษย์ ก็ไปได้กายเป็นเทวดา ซึ่งเป็นสิ่งที่พัฒนา คือหมายความว่า เพิ่มความดีของเราให้สูงยิ่งขึ้น

สมาธินั้น ถ้าเราจะ…ไป ปรารถนาสิ่งนั้นบ้างสิ่งนี้บ้าง มันก็ไม่ถูกต้องเท่าใดนัก เพราะสมาธิต้องตัดอารมณ์ เรานั่งสมาธิเพื่อความปรารถนาสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันกลายเป็นอุปาทาน และกลายเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้น การทำสมาธิ ท่านจึงไม่ให้ปรารถนาเพื่อจะเอาเทวดา หรือเราจะทำสมาธิเพื่อจะเอาพระอินทร์พระพรหม อย่างนี้ท่านก็ห้ามไม่ให้เราทำสมาธิปรารถนาอย่างนั้น

แต่ว่า… ถึง เราจะปรารถนาหรือไม่ปราถนา เมื่อเราทำ เราก็ได้ ที่ท่านไม่ให้ปรารถนานั้น ท่านต้องการที่จะไม่ให้เรามีอุปปาทาน มีอารมณ์นั่นเอง เพราะอุปปาทานมันเป็นภัยของสมาธิ มันเป็นอันตรายของสมาธิ เราต้องกำจัดอันตรายนี้ออกไป ให้เหลือความเป็นหนึ่งของจิต จิตนี้เมื่อเหลือความเป็นหนึ่งได้ ก็จะเริ่มมีพลังแล้ว คือจิตนี้เมื่อสงบได้ก็ถือว่า เริ่มเกิดพลังแล้ว

พลังของจิตนั้น เป็นพลังที่มีการสะสม ครั้งหนึ่งก็สะสม ครั้งที่สองก็สะสม ครั้งกี่ครั้งก็สะสม กี่ร้อยกี่พันครั้งก็สะสม การสะสมนั้น ได้สะสมขึ้นตามลำดับ เรามีเท่าไหร่นั้น เก็บไว้แล้ว เราทำอีกก็สะสมขึ้นมาอีก เรามีเท่าไหร่ก็เก็บไว้แล้ว เราทำอีกก็สะสมขึ้นอีก ด้วยประการอย่างนี้

จึงถือว่าการสร้างเสริมพลังจิตนั้น จึงเป็นการสร้างเสริมวาสนาบารมี หรือเรียกว่าสร้างเสริมกุศล มหากุศล พระพุทธองค์นั้น พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมา 4 อสงไขย แสนกัป 4 อสงไขย แสนกัปนั้น บำเพ็ญบารมีไว้ที่ไหน บำเพ็ญบารมีไว้ที่ใจ และพระองค์ทำสมาธิมาตั้งแต่ชาติแรก ที่พระองค์ปรารถนาโพธิญาณ

ชาติ ที่พระองค์เป็นสุเมธฤๅษี ชาตินั้นพระองค์ก็ได้ฌานสมาบัติแล้ว เมื่อพระองค์บำเพ็ญเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ก็บำเพ็ญสมาธิแต่ละชาติตามลำดับมา พลังจิตนั้นเองที่ได้สะสม เรียกว่าสะสมวาสนาบารมี พระองค์จึงมีบารมีถึง 10 บารมีด้วยกัน

นับไปตั้งแต่ ทานบารมี ศีลบารมี จนกระทั่งถึงอุเบกขาบารมี ก็ถือว่าบารมี 10 ทัศ และบารมีเหล่านั้นก็มารวมกันเป็นพลังจิตของพระองค์ พระองค์ก็เกิดมีพลังตามลำดับจากชาตินั้น มาถึงปัจฉิมภาวิกชาติสุดท้าย ชาติสุดท้ายนี่พระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า

พระองค์ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็ด้วยอาศัยพลังที่พระองค์ได้สะสมมาแล้ว เราเรียกกันว่าพระองค์สะสมบารมี แต่ว่า ที่จริงแล้ว พระองค์ได้ทรงสะสมพลังจิตนี่เอง เมื่อถึงที่สุดตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็มีวิชชา พระองค์ก็มีทุกอย่าง เรียกว่าสัพพัญญุตญาณ

สามารถที่จะระลึกชาติหนหลัง ได้ สามารถที่จะแสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ สามารถที่จะรู้จักใจคนได้ นี้เรียกว่าพลังจิตที่ได้อบรมมาเต็มที่แล้ว เรียกว่าไม่มีใครที่จะยิ่งใหญ่กว่าพระองค์ ฉันใดก็ดี พวกเราก็เช่นเดียวกัน พวกเราก็มนุษย์ พระพุทธองค์ก็มนุษย์ พระองค์บำเพ็ญบารมี พวกเราก็บำเพ็ญบารมี

อย่างเมื่อเช้าเราทำทานกัน ถวายอาหารภิกษุ-สามเณร เรียกว่าทานบารมี เราพากันมารักษาศีล สมาทานอุโบสถศีล ก็เรียกว่าศีลบารมี เราไม่กลับบ้าน เรานอนอยู่ที่วัด ก็เรียกว่าเนกขัมมบารมี เราตั้งสัจจะว่าเราจะรักษาศีล วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ให้ขาด ก็เรียกว่าสัจจบารมี

เรารักษาศีลอยู่ เราก็ไม่ให้ศีลขาด ถึงแม้ว่าเราลำบากนัก อดอาหารตั้งแต่เวลาวิกาลไป จนกระทั่งถึงอรุณขึ้นมาใหม่ เราก็มีความอดทน ถึงแม้ว่ามันจะหิวสักเท่าไหร่ เราก็ไม่ทาน เพราะเรารักษาศีล อย่างนี้ก็เรียกว่าขันติบารมี นอกเหนือจากเราจะรักษาศีลแล้ว เราก็นั่งสมาธิอีก อย่างนี้ก็เรียกว่าวิริยบารมี

เมื่อเรารักษาศีลและนั่งสมาธิ เราก็มีจิตใจมั่นคง ไม่ว่อกแว่ก มีจิตใจที่เหนียวแน่นมั่นคง ใครจะมาบอกให้เราเลิกจากการรักษาศีลก็ไม่ได้ จะมาบอกให้เราเลิกจากสมาธิก็ไม่ได้ อย่างนี้ เรียกว่าอธิษฐานบารมี ในขณะที่เราพากันกระทำ เราก็มีความเข้าใจในตัวเอง พิจารณาเห็นแล้วว่าการให้ทานก็ดี การรักษาศีลก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ให้ประโยชน์ทั้งสิ้น อันนี้ท่านเรียกว่าปัญญาบารมี

ในขณะที่เรารักษาศีลอยู่ เราก็ไม่โกรธเคืองใคร เราก็ไม่ทะเลาะวิวาท และเราก็พยายามที่จะเฉลี่ยความสุขของตนให้แก่บุคคลผู้อื่นด้วยการแนะนำ ด้วยการพร่ำสอน ด้วยการช่วยเหลือ อะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็เรียกว่าเมตตาบารมี เมื่อเรามาอยู่ในวัด เราก็ไม่คิดถึง ใครจะเป็นสามีภรรยา ใครจะเป็นลูกหลาน สิ่งใดเป็นทรัพย์สินสมบัติ เราก็ไม่ใยดี เราก็นึกถึงแต่ศีลของเราอยู่ตลอด อย่างนี้ ก็เรียกว่าอุเบกขาบารมี

ในที่สุด เราก็ได้แล้วซึ่งบารมีถึง 10 ทัศ เราก็ได้แล้ว บารมีครบถ้วน ในการปฏิบัติที่เรามากระทำ เมื่อเราท่านทั้งหลายได้กระทำเช่นนี้ จุดมุ่งหมายคือพระนิพพาน พระนิพพานนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานัง ปรมัง สุญญัง นิพพานสูญอย่างยิ่ง เมื่อเราได้รู้เช่นนี้ เราจึงได้พากันเสียสละทุกประการ เพื่อที่จะเดินทางเข้าสู่พระนิพพาน

การที่จะเดินทางเข้าสู่พระนิพพานนั้น คือการกำจัดกิเลสออกให้หมดโดยสิ้นเชิง เรียกว่าพระนิพพาน การที่เราพากันทำสมาธิ มีฐานเป็นเครื่องรับรอง มีสมาธิที่มั่นคง มีสมาธิที่เป็นพลัง มีสมาธิพร้อมมูล เรียกว่าเป็นฐานกำลัง เมื่อเป็นฐานกำลังอย่างนี้ เพื่อที่จะให้จิตนี้หลุดพ้น เพื่อจะให้ถึงพระนิพพาน จึงจำเป็นจะต้องเดินทางเข้าสู่สัจจธรรม พิจารณาซึ่งอริยสัจจธรรม

อริยสัจจธรรมนั้น คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค

ทุกข์ ได้แก่ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ผู้ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย ก็คือตัวเรานี่ เกิดมานี่แก่ นี่เจ็บ นี่ตาย รูปัง คือรูปอันนี้เองที่เป็นตัวเกิด แก่ เจ็บ ตาย เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บเป็นทุกข์ ความตายเป็นทุกข์

จริงอย่างนั้น เกิดมาก็เหลือจะทุกข์ แก่แล้วก็แสนจะทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยก็แสนจะเวทนา ตายก็แสนที่จะเวทนา อย่างนี้ เพราะฉะนั้น 4 ประการ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย จึงเป็นทุกข์ ร่างกายของเราเป็นผู้เกิดมา เป็นผู้ประสานงาน ที่จะทำ…ก่อ ให้เกิดความทุกข์ขึ้นมานี่ และเมื่อเรารู้ว่าอันนี้เป็นทุกข์ เราจะทำอย่างไร จะทำอย่างไรจึงจะพิจารณาให้เห็นเป็นสัจจะ คือ ทุกขสัจจะ

สัจจะ แปลว่าความจริง คือทำปรากฏให้เห็นเป็นความจริง การทำปรากฏให้เห็นเป็นความจริงนั้น อาศัยพลังจิต เมื่อพลังจิตมีมาก เรากำหนดจิตหลับตาอยู่แล้ว เพ่งดูไปที่รูป คือรูปัง คือรูปนี้ เห็นมั๊ย ไม่เห็น ก็ถือว่าพลังจิตยังอ่อน พลังจิตยังไม่แก่ แต่ถ้าหากว่าหลับตามองไป เห็น เรียกว่าพลังจิตได้แก่แล้ว สมควรแก่การจะดำเนินอริยสัจจ์ได้แล้ว

เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ยกรูปนี้ขึ้นพิจารณา รูปนี้พิจารณานั้นให้เห็นว่า รูปัง อนิจจัง รูปไม่เที่ยง รูปัง ทุกขัง รูปเป็นทุกข์ ธัมมัง อนัตตา ธรรมเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ก็เรียกว่ารูปธรรม อันเดียวกัน คือไม่ใช่ตัวตน ถ้าหากว่าเป็นตัวตน รูปนี้ก็…อย่า แก่ เราบอกว่าอย่าแก่ มันก็จะต้องทำตามเราว่าอย่าแก่ เราบอกว่าอย่าตาย มันก็จะต้องทำตามเราว่าอย่าตาย แต่มันก็ไม่ได้อยู่ในอำนาจของเรา มันจึงไม่ใช่ตัวตน

เมื่อความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ พิจารณาเห็นเช่นนี้ เรียกว่า ปริเย ยันติ เม ภิกข เว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูปไม่ใช่ตน…ดู ก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ควรกำหนดรู้ การกำหนดรู้นั้น คือการใช้ญาณ เรียกว่าวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณนั้น มันจะเกิดขึ้นในเมื่อเราพิจารณารูป

ท่านปัญจวัคคีที่ท่านเกิดความเบื่อหน่าย เพราะท่านพิจารณารูป ท่านชฎิลทั้ง 1300 ที่ท่านเกิดความเบื่อหน่าย เพราะท่านพิจารณารูปเช่นเดียวกัน ที่เกิดความเบื่อหน่ายเรียกว่า รูปัสสมิง ติ นิพพินติ เกิดความเบื่อหน่ายในรูป ความเบื่อหน่ายนั้นคือวิปัสสนา วิปัสสนานั้น คือความรู้แจ้งและเห็นจริง

การที่จะเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาได้นั้น ต้องอาศัยพิจารณาหลายครั้ง เหมือนกันกับเรา…กว่า จะทำจิตให้สงบได้นั้น เราก็ต้องทำนับครั้งไม่ถ้วน กว่าจิตนี้จะสงบได้ วิปัสสนาก็เช่นเดียวกัน เราก็พิจารณารูปนี้นับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดก็เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมา

เมื่อ เกิดความเบื่อหน่ายขึ้นมาเมื่อใด เมื่อนั้น ก็ถือว่าเราเป็นผู้กำหนดรู้ได้แล้ว ปริโย ยันติ เม ภิกข เว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทุกข์ควรกำหนดรู้ ผู้นั้นกำหนดรู้ได้แล้ว เมื่อกำหนดรู้ได้ เกิดขึ้นมาเช่นนี้แล้ว เราต้องทำอย่างไรต่อไป

ก็จำเป็นจะต้อง ทำให้มากยิ่งขึ้น เพราะการพิจารณาวิปัสสนานั้น ก็เปรียบเหมือนกันกับการต้ม หรือการหุงข้าว การหุงข้าวนั้น เราจะหุงปั๊บ สุกปุ๊บ ไม่ได้ ต้องใส่ไฟ แล้วจนกว่าจะเดือด จนกว่าจะสุก ก็ต้องใช้เวลา

วิปัสสนา ก็เช่นเดียวกัน จำเป็นที่จะต้องใส่ไฟ คือตบะ ความเพียรแผดเผา พิจารณาเผาร่างกายอันนี้ให้เป็นจุล วิจุล ให้เหลือแต่กระดูก ให้เหลือเป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ให้เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายอยู่ตลอด นับครั้งไม่ถ้วน จึงจะไปประสบผล

ที่จะประสบผลนั้น พระพุทธองค์ทรงตรัสต่อไปว่า ปหาตะ ปัณติ เม ภิกข เว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมุทัย ควรละ การละนั้น ละจากตัณหา ความทะเยอทะยาน ตัณหา ความทะเยอทะยาน ความกำหนัดยินดี ราคะ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง สิ่งเหล่านี้เรียกว่า สมุทัย

ที่เรียกว่าสมุทัยก็เพราะมันก่อให้เกิดทุกข์ ถ้ามีพวกนี้แล้วก็ทุกข์ร่ำไป เพราะฉะนั้นถ้า…วิปัสสนา พิจารณาละ…พิจารณา เห็นจริงแจ้งประจักษ์ลงไปในรูปนี้ได้แล้ว ก็จะเกิดความละขึ้น ตัณหาก็จะน้อยลงไป ราคะ ความกำหนัดยินดีก็จะน้อยลงไป โมหะ ความหลงก็น้อยลงไป ความโมโหโทโสต่างๆ ก็จะน้อยลงไปตามลำดับ

อย่าง นี้เรียกว่าละ สมุทัยควรละ แต่ในสมุทัยนี้ท่านอธิบายไว้มากนัก ในคำภีร์วิสุทธิมรรคท่านแสดงสมุทัยว่า สมุทัยหยาบ และสมุทัยละเอียด สมุทัยหยาบนั้น ได้แก่ การที่มีกิเลส คือความกำหนัดยินดี มีความหลงในรูปสวยงาม อะไรต่างๆ เกิดตัณหา ความทะเยอทะยาน นี่เรียกว่าสมุทัยหยาบ

สมุทัย ละเอียดนั้น คือการเข้าไปยึดถือว่าเราได้สำเร็จชั้นนั้นบ้าง ได้สำเร็จชั้นนี้บ้าง เมื่อไปยึดถือว่าได้สำเร็จ เมื่อไรก็เกิดกลายเป็นอุปปาทาน มันก็เลยกลายเป็นสิ่งที่…วิปัสสนูปกิเลส คือกลายเป็นวิปัสสนูปกิเลสไป อันนั้นเรียกว่าสมุทัยละเอียด คือ ไปยึดมั่นถือมั่นว่าตัวสำเร็จ ความจริง ความสำเร็จนั้น มิได้หมายความว่าเราไปพบสิ่งอัศจรรย์แล้วเกิดความสำเร็จ ย่อมไม่ใช่

ความสำเร็จนั้น มันก็เหมือนกับสิ่งที่เราทำ ก็เปรียบกันง่ายๆ เหมือนกับเรารับประทานอาหาร เมื่ออิ่มแล้วก็ถือว่าสำเร็จ การที่จะอิ่มได้ ก็ต่อเมื่อเรารับประทานไป จนกระทั่ง ถึงจุด มันก็อิ่ม วิปัสสนา หรือเรียกว่าการพิจารณาให้เห็นจริงแจ้งประจักษ์ เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย ก็เช่นเดียวกัน มันก็จะต้องไปสู่ที่จุดแห่งความเพียงพอ แห่งความต้องการ

เพราะฉะนั้น การที่มันไปถึงจุดนั้นน่ะ เราจะว่ามันสำเร็จนั้น ย่อมไม่ได้ เพราะอะไร เพราะ…เหมือน กันกับเรารับประทานอาหารนี่ มันอิ่มไปทีนึง ก็ถือว่าสำเร็จเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ใช่สิ่งที่สำเร็จโดยแท้จริง คนกินอิ่มนั้น จะโตขึ้นไม่ได้ในทันที กว่าจะโตขึ้นนั้น เราจะต้องอิ่มนับครั้งไม่ถ้วน ไม่รู้กี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นครั้ง จึงจะเป็นหนุ่มเป็นสาว

อันนั้นก็เรียกว่าความสำเร็จเป็นหนุ่ม ความสำเร็จที่ร่างกายสมบูรณ์ขึ้น อันนี้เป็นข้อเปรียบเทียบ ท่านจึงไม่ให้ยึด พอเราอิ่มไปทีนึงเราก็ยึดว่า โห…เราได้สำเร็จแล้ว ก็เหมือนกับเด็กทารกที่กินอิ่มแล้วก็นอนหลับสบาย ก็นึกว่าสำเร็จเป็นหนุ่มแล้ว ไม่ใช่หนุ่ม นั่นมันเป็นเด็กทารก

เช่นเดียวกันนั่นแหละ กับสมุทัยละเอียด การเข้าไปยึดถือตัวตนท่านจึงเรียกว่าวิปัสสนูปกิเลส ยังมีอีกข้อหนึ่ง พระองค์ทรงแสดงว่า สัจฉิกา ตะ ปัณติ เม ภิกข เว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นิโรธ ควรทำให้แจ้ง ที่ท่านแสดงอริยสัจจ์ไว้มี 4 ข้อนี้ มันเป็นข้อต่อเนื่องกัน แต่ข้อสำคัญที่สุดนั้น คือข้อแรก ได้แก่ทุกขสัจจ์

เพราะเมื่อทำทุกขสัจจ์ให้ ปรากฏเด่นชัด พิจารณาเห็นจริงแจ้งประจักษ์เกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่ายขึ้นมา ที่เรียกว่าเป็นทุกขสัจจ์แล้ว สมุทัยสัจจ์ก็บังเกิดขึ้นได้ ละได้ นิโรธสัจจ์ก็บังเกิดขึ้นได้ คือความรู้แจ้ง และเห็นจริง หรือเรียกว่าดับทุกข์ เหมือนกันกับ เราหิวอาหารมันเป็นทุกข์ เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว ทุกข์ก็หายไป เมื่อเราเป็นหนี้เค้า เราก็เป็นทุกข์ เมื่อเราใช้หนี้เค้าหมด ความทุกข์ก็หายไป อย่างนี้ ก็เรียกว่าปลดเปลื้อง

เพราะ ฉะนั้น นิโรธ คือสิ่งสำเร็จอย่างหนึ่ง คือปลดเปลื้อง เมื่อเป็นหนี้เค้านั่น ยังปลดเปลื้องไม่หมด เช่นเป็นหนี้เค้า แสนนึง เราปลดเปลื้องไปได้หมื่นนึง มันก็ยังเหลืออีกตั้งเยอะ หรือเราปลดเปลื้องไปได้ 5 หมื่น ก็ยังเหลืออีกตั้งครึ่ง อย่างนี้

นิโรธ ก็เหมือนกัน การดับทุกข์นั้น ก็ดับเป็นขั้นเป็นตอน เมื่อใช้หนี้ครบหมดถึงแสน ก็เรียกว่าหมดภาระ ดับทุกข์ไปเลย เหมือนกันกับผู้ที่พิจารณาเห็นจริงแจ้งประจักษ์ พร้อมกันกับที่เราพิจารณาละภายในจิตใจนั้น เกิดกระแสความสว่างไสว และเกิดความละเอียดขึ้นมา นั่นแหละ เรียกว่าเราดับความโง่ หรือเรียกว่าดับทุกข์ไป

แล้ว ก็ยังมีอีกข้อหนึ่ง ข้อสุดท้าย ที่พระองค์ทรงแสดงว่า ภาเว ตะ ปัณติ เม ภิกข เว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรรคควรเจริญให้มาก มรรคควรเจริญให้มากนั้น ก็คือว่า เมื่อเราประสบพบหนทางถูกแล้ว เราต้องทำ เหมือนกับรับประทานอาหาร เรารู้แล้วว่ารับประทานอาหารอย่างนี้อร่อย แล้วก็มีกำลัง แล้วก็ถูกต้องกับธาตุธรรมของเรา ก็ถือว่ารับประทานไปจนกว่าเราจะเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือเรียกว่ามีกำลังเต็มที่

เพราะ ฉะนั้น ในคำที่ว่า ภาเว ตะ ปัณติ เม ภิกข เว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มรรคควรเจริญให้มากนั้น เมื่อเราได้หนทางแล้ว เราก็ไม่หยุดยั้ง คือเราไม่ยอมหยุดยั้ง เราพยายาม ภาวิโต เจริญให้มาก พหุลีกะโต กระทำให้มาก อภิญญายะ ก็จะเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง สัมโพธายะ ก็จะเป็นไปเพื่อความรู้ดี นิพพานายะ ก็จะเป็นไปเพื่อความดับสนิท อย่างนี้เรียกว่าอริยสัจจ์

เพราะฉะนั้น หนทางของพระพุทธศาสนานี้ จึงมีอย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง ให้เราพากันปฏิบัติได้ อย่างครบถ้วนบริบูรณ์

เอ้า…ต่อไปนี้ก็นั่งสมาธิกันต่อไป



ที่มา http://www.dharma-gateway.com/monk-preach-index-page.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น