++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

อิ่มท้องท่องไทย : อุทยานฯ ทุ่งแสลงหลวง

', ' ใครเคยไปทุ่งแสลงหลวงบ้าง" สรุปแล้วยังไม่เคยไปกัน ถือเป็นมติเอกฉันท์ มุ่ง
หน้าไป ทุ่งแสลงหลวง ระหว่างทาง
เราแวะกินไก่ย่างวิเชียรบุรีเป็นการปลอบใจนิสิตที่โดนหัก
หลัง ผมจัดแจงวางแผนแวะร้านที่มีรูปปั้นไก่กำลังชูคอขัน เห็น ป้ายร้านชื่อ
"บัวตอง1" นายกัมโม่บอกไก่ตัวเมียปั้นเหมือนห่านไม่สม จริง อาหารคงไม่
อร่อยให้เลยไปอีกร้าน บทเรียนนี้สอนว่าคิดจะทำร้าน อาหาร โดยมีตัวอะไร
ปั้นๆ วางไว้ตรงหน้า สมควรปั้นให้เหมือน แม้ว่า ฝีมือปั้นไก่จะไม่ได้บ่งบอก
ถึงฝีมือทำอาหาร แต่คนกินบางคนเรื่อง มากอาจจะคิดลึกก็เป็นได้
วันนี้เป็นวันธรรมดาร้านอาหารเลยดูเงียบเหงา เห็นร้านมีรูปปั้นไก่อีก
เลยจอดแวะ อ้าว..เป็นร้านบัวตอง 2 เห็นมีคนนั่งอยู่ในร้านหลายโต๊ะ คาดว่า
คงอร่อยแน่ รูปปั้นจะเหมือนเป็ดเหมือนห่านก็ไม่สนแล้ว เพราะบ่ายแก่ๆ หิว
จะเป็นลม ข้าวต้มบ้านนายกัมโม่ที่ผมแอบ ย่องเข้าไปกินฟรีเป็นอาหารเช้า
ย่อยหมดตั้งแต่แยกสระบุรี ผมหาโต๊ะนั่งได้สั่งอาหารตามในเมนู
ปรากฏว่าทั้งร้านมีอาหารอยู่ 4
อย่างบวกข้าวเหนียวด้วย คือ ไก่ย่างรสชาติพอใช้ได้ ลาบหมูและส้มตำพอ
กินได้ ข้าวเหนียวก็พอกินได้ สรุปแล้วไม่ค่อยน่าสนใจถึงขั้นขับผ่านไปไม่ได้
กินต้องขาดใจ เอาเป็นว่าถ้าหิวก็แวะกัน แต่ถ้าไม่หิวมาก ลองไปหาที่อื่นกินก็
ไม่ผิดอะไร ขับรถต่อไปถึงจังหวัดเพชรบูรณ์ รวมระยะทางประมาณ 342 กม. ถือ
เอาบ้านที่บางกะปิของผมเป็นหลัก ใครอยากได้ระยะทางเป๊ะๆ ก็ต้องไปเริ่มที่
อนุสาวรีย์ฯเองนะครับ เลยจากตัวจังหวัดประมาณ 10 กม. จะมีทางแยก
ซ้ายถนนหมาย เลข 2258 มีป้ายบอกไปอุทยานฯ ทุ่งแสลงหลวง
ถึงตอนนี้โปรดอย่าทรยศป้าย ให้เลี้ยวซ้ายมาตามทาง ไม่ต้องกลัวหลง
ถ้าคุณไม่ซอกแซกหาทางลัด จากแยกมาได้ซัก 15-16 กม. จะเห็นร่องรอย
ของความ รุนแรงของฝนที่ตกกระหน่ำจนเกิดน้ำท่วม กระแสน้ำป่าไหลบ่า
กระแทกสะพานคอนกรีตขาดและถูกดันพาไปจากถนนเกือบๆ 100 เมตร
ถนนบางช่วงเสียหายและกำลังซ่อมแซม ดินจากหน้า ผาไหลลงมากองอยู่ริม
ข้างทาง ผม คิดว่าตอนเกิดเหตุใหม่ๆ คงปิดกั้นถนน แต่ตอนนี้ได้เอาแทร็ค-
เตอร์เกลี่ยไปแล้ว กม.ที่ 24 จะพบป้ายเนินมหัศจรรย์ เชิญทดลอง
ตรงป้าย นั้นผมดูแล้วไม่เห็นมีอะไรแปลก แต่พอเลยไปอีกหน่อย
จะมีป้ายบอกให้ระวังรถที่
กำลังทดลองเนิน มหัศจรรย์ โปรดระวังตัวชนตูมกับรถคันหน้า เลยไปอีกนิด
มีเส้น สีขาวขีดขวางกลางถนนคล้ายจุดสตาร์ทรถแข่ง
ผมจัดแจงจอดรถ เปลี่ยนเป็นเกียร์ว่าง แล้วช่วยกันร้องฮึ่ยๆ ขย่มรถ
เอ...แปลกแฮะ รถผมเริ่มถอยหลังขึ้นเนินได้ เพราะตอนป้ายมอง เห็นชัดๆ
ว่ารถเรากำลังลงเนิน ผมชอบเรื่องไม่เชื่ออย่าลบหลู่ประเภทนี้อยู่แล้ว เลย
ทดลองทั้งขาไปและขากลับ ได้ผลเป็นที่น่าอัศจรรย์แท้ แต่ใครคิดจะทดลอง
เหมือนอย่างผม โปรดเปิดไฟสัญญาณอันตรายให้เรียบ ร้อย อย่าคิดทดลอง
กลางคืนเด็ดขาด อีกอย่าง...ถ้าทดลองแล้วได้ไปโลก มหัศจรรย์ หมายถึง รถ
คันหลังเสยตูมเข้าให้ ห้ามล่องลอยมาหลอกหลอน กันด้วย
ขับต่อไปอีก 6-7 กิโลเมตร จะพบแผงขายผักผลไม้ของชาวบ้าน เนื่อง
จากทุ่งแสลงหลวงที่เราจะไปกัน เป็นอุทยานแห่งชาติที่ค่อนข้างดุเดือด
ไม่มี ร้านอาหารขายเหมือนอุทยานฯน้ำหนาว เราต้องเตรียมอาหารไปทำเอง ผม
เลยแนะนำให้แวะกันสักนิด เผื่อจะหาผักสดๆ ไปทำสลัดผักกลางป่า
ราคาผักผลไม้เท่าที่สำรวจมา เริ่มจากฟักทองลูกกำลังเหมาะ สำหรับ
คุณที่อยากทำฟักทองแกงบวชใต้ทิวสนสามใบ จับจ่ายกันได้ในราคากิโล-
กรัมละ 10 บาท ถ้าคิดจะกินแครอทแกงบวช ซื้อได้ราคากิโลกรัมละ 20
บาท มะเขือยาวก็มี มัดละ 10 บาท ถ้าเป็นถั่วแขกก็ 10 บาทเหมือนกัน ซื้อ
มาถุงเดียวได้ถั่วเพียบ เพราะแม่ค้ายังไม่มีวิชั่นในการโกงน้ำหนัก ไม่รู้จัก
เทคนิคพรมน้ำลงไปให้ถั่วหนักขึ้น เหมือนแม่ค้าถั่วในกรุงเทพฯ
ใครอยากกินมันเทศเผา ซื้อหาได้ราคาแค่กิโลกรัมละ 6 บาท เอาไป
หมกไฟระเบิดโป้ง มันร้อนๆ กระ- แทกหน้าแก้มปะทุ เลยแนะนำให้ ทำมัน
ต้มขิงจะเหมาะกว่า ลองซื้อ ขิงไปด้วย แค่ 5 บาทกินกันไม่มีหมด
คราวนี้ผมเดินผ่านซุ้มแห่งหนึ่ง มีคุณยายแก่ๆ ท่าทางถูกลูกหลาน ทิ้ง
นั่งหน้าเศร้าอยู ่ ผมเลยเข้าไปถามไถ่ เผื่อคุณยายมีหลานสาวจะได้ลาภ
ปรากฏว่าคุณยายมีแต่น้ำเสาวรส ขายราคาขวดละ 25 บาท แต่ถ้าซื้อไวน์เสาวรส
ราคาขวดละ 100 บาท มีเงื่อนไขพิเศษ ซูเปอร์เซลส์ แถมน้ำเสาวรสหนึ่งขวด
เอาไปเลย ไม่ต้องส่งฉลากมา ชิงรางวัล ด้วยความรู้สึกสงสารคุณยาย
รวมทั้งอยากลองหัดทำมันเทศต้ม ไวน์ใส่
ขิง ผมเลยซื้อน้ำเปลี่ยนนิสัยที่ว่ามาหนึ่งขวด เมื่อทุกอย่าง เรียบร้อย ถึงเวลา
เดินทางต่อ อีก แค่ 25 กิโลเมตร เรามาถึงทางเข้า เป็นหมู่บ้านดอก
ทานตะวัน ตรงนี้มีน้ำจืดขาย ผมซื้อไปแบบเป็นถังใหญ่กลมๆ ราคา 20 บาท แต่
ต้องจ่ายค่ามัดจำถัง 150 บาท
ถึงตอนนี้เราใกล้เข้าอุทยานฯเข้าไปทุกที ทุ่งแสลงหลวงนี่ห่างจากเมือง
ประมาณ 60 กิโลเมตร (ลองเอาตัวเลขของผมมาบวกกัน รับรองไม่ใช่ก็ใกล้
เคียง) ทางเข้าไม่ใช่เล่นเลย เป็นถนนลูกรัง ผมไปมาเมื่อเดือนก่อน ตอนนั้น
ฝนยังตกหนัก ทางเลยมหาเละ โชคดีที่เราใช้รถ 4x4 เลยพอ ลุยเข้าไปจนถึง
ตัวอุทยานฯได้ แม้ว่าจะตุปัดตุเป๋เกือบหลุดออกนอกทางหลายครั้ง
ผมมีเรื่องต้องสารภาพสักนิด ตอนขากลับจากทุ่ง ผมเจอรถเก๋งคันหนึ่ง
จอดอยู่ปากทางเข้า คนขับกวักมือเรียกพวกผมเข้าไปขอคำชี้แนะ ถาม ว่าเข้า
ไปได้มั้ย? ผมก็ดันลืมไปว่ารถเราน่ะ 4x4 เลยพลั้งปากบอกว่าไปได้แต่ช้าๆ
หน่อย ป่านนี้พี่แกคงสวดผมยับ เพราะแค่หล่มแรกก็จมเกือบ มิดล้อแล้ว
อาจติดแหง่กอยู่กลางป่า ลยต้องฝากขอโทษมา ณ ที่นี้ หากคุณยังมีชีวิต
รอดอยู่ โปรดเข้าใจว่าผมไม่ตั้งใจนะครับ
สำหรับช่วงนี้ฝนผ่านไปแล้ว คงเข้าทุ่งแสลงหลวงกันได้สบายหน่อย เชื่อ
ว่าแม้รถเก๋งก็คงไหว แต่ถ้าจะเลยไปเที่ยวจุดอื่นรอบๆ
โปรดระวังไว้นิด น่าจะใช้รถกระบะหรือ 4x4 จะเหมาะกว่า
เรามาถึงที่ทำการอุทยานฯ จนได้ ผมเข้าไปติดต่อศูนย์บริการนักท่อง
เที่ยว เพื่อชำระค่าธรรมเนียมตามประสานักเที่ยวที่ดี เราจ่ายค่าธรรม
เนียม เข้าอุทยานฯ คนละ 20 บาท รถสี่ล้ออีกคันละ 30 บาท ค่ากางเต็นท์ วันละ
20 บาท แต่ต้องนำเต็นท์ไปเองนะครับ ถ้าจะเช่าเค้ารู้สึกว่าหลังละ 150 บาท
หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมเรียบร้อย ผมขออนุญาตนำรถต่อเข้าไป
"ทุ่งนางพญา" อันเป็นจุดหมายในการเดินทางครั้งนี้ แต่ปรากฏ ว่าเลยเวลา
16.00 นาฬิกาหรือสี่โมงเย็น อุทยานฯไม่อนุญาตให้เข้าไป เพราะเดี๋ยวเกิดอะไร
ขึ้นจะช่วยเหลือลำบาก เมื่อไปไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร พวกผมง่ายๆ
สบายกันอยู่แล้ว เราเลยไป
เดินด้อมๆ มองๆ หาที่กางเต็นท์แถวนั้น เลือกเอาที่ใกล้ศาลา เข้าไว้ เพราะ
จะใช้เป็นที่นั่งกินข้าวและตั้งวงกินเหล้า แหม...อากาศหนาวๆ กลางป่า
อะไร จะเหมาะไปกว่าแอลกอฮอล์ให้ความอุ่นสักหนึ่ง จิบ ตอนพวกผมกางเต็นท์
มีคณะพรรคนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว 3 กลุ่ม มีอยู่กลุ่มหนึ่งเค้าเอาจักรยานเสือภู
เขามาให้เช่าด้วย คิดราคาวันละ 300 บาท แต่พวกผมมีรถจะเช่าจักรยานไป
ถีบให้น่องโป่งทำไม? ก็เลยไม่เช่า เอาเวลามาทำกับข้าวกับปลากินกันดีกว่า
ผมกำลังลับอีโต้กะหั่นหมู มีลุงแก่ๆ ผู้ดูแลสถานที่เดินมา บอก ว่ากาง
เต็นท์ตรงนั้นไม่เหมาะ เพราะอยู่ขวางทางน้ำไหล เดี๋ยวกลางคืน
ฝนตกอาจ จะยุ่ง ต้องมาย้ายเต็นท์กันให้วุ่นวาย พวกผมเลยเขยิบมาอีกหน่อย คราวนี้
ตรงรังมดคันไฟพอดี นับว่าลุงแนะนำสถานที่ได้เหมาะมาก
ลุงยังบอกว่าช่วยกันดูแลหน่อยนะลูกหลานเอ๊ย รถก็อย่าไปจอด ทับ
หญ้า กว่าลุงจะปลูกให้เขียวพรืดได้ เสียเวลาตั้งนาน เวลาทำอาหารเสร็จ มี
น้ำร้อนก็อย่าเอาไปเทโคนต้นไม้ เดี๋ยวต้นไม้จะสุกหมด ผมคิดๆ ดูแล้วก็เห็น
จริง เพราะเรามาแค่ประเดี๋ยวประด๋าว สองสาม วันก็กลับ แต่ลุงต้องอยู่ดูแล
สถานที่อีก นาน ของอย่างนี้ต้องเข้าใจเจ้าของสถานที่แล้วช่วยๆ กันนะครับ
ถึงเวลาทำอาหาร เมนูแรกคือ "แกงเขียวหวานหมู" เริ่มจากหั่นหมูให้เป็น
ชิ้นพอดีคำ อย่าใหญ่ไปนักจะเปลืองหมู เล็กไปก็ไม่ดี กิน
แล้วไม่สะใจ เสียเวลาตักแกง เมื่อหั่นหมูเสร็จ ผมหันมาจัดแจงพวกผักต่างๆ
มีมะเขือพวง
มะเขือเปราะ ใบโหระพา และพริกชี้ฟ้า ถ้าไม่มีจะใช้พริกขี้หนูแทน โปรด
เตรียมใจไว้ล่วงหน้า แกงอาจออกมาถึงขั้นหน้าเขียวการหั่น ผักเป็นงานง่ายๆ
ผมเลยมอบหมายหน้าที่ให้น้องกุ๊กไก่ สาวน้อย
ประจำทริป ส่วนตัวเองหันมาผัดกะทิ ผมใช้กะทิกล่อง แต่มีเคล็ดนิดหนึ่งคือ
อย่าเขย่า ไม่งั้นจะไม่ได้หัวกะทิลอยฟ่อง พวกผมไปกัน 6 คน ใช้กะทิ 3
กล่องพอดีเลย แต่ตอนเริ่มต้องใส่ไปนิดหน่อย ไม่ใช่ใส่หมดเหี้ยน อย่างนั้น
ไม่ใช่ผัด กลายเป็นกะทิต้มแล้วครับ
ผมค่อยๆ ผัดกะทิจนเดือด จากนั้นเอาเครื่องแกงสำเร็จรูปเท พรวดลง
ไป เพราะขืนมาตำเครื่องแกงเอง มีหวังทำกันจนเช้าก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็น เมื่อ
เครื่องแกงใกล้สุก เริ่มเติมกะทิต่อจนหมด เหยาะ น้ำปลาเติมน้ำตาลสักนิด
ให้รสเค็มนำหวานตาม ใส่หมูและผักลงไป แค่นี้ก็พร้อมรับประทานแล้ว
อาหารอีกอย่างคือ "ถั่วแขกผัด" ทำได้ง่ายมาก ใส่ถั่วและซอสหอยนางรม
ผัดไปผัดมา แต่สงสัยไฟแรงไม่พอ ผัดเท่าไหร่ก็ไม่สุก ขนาดเอาฝาปิดกระทะ
หวังทำถั่วอบ ก็ยังไม่สำเร็จ เลยหงุดหงิดเลิกทำกินดีกว่า ปรากฏว่าถั่วมีเดียม
แรร์ของผมน่ากินมาก หวานกรอบกว่าถั่วสุกเสียอีก ใครสนใจทำถั่วตำรา
นี้ แนะนำให้ไปตั้งกระทะผัดในที่โล่ง ได้ผลเกินคาดแน่นอน
โดยคุณ :โอภาส ปฏิมานุเกษม

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ19 ตุลาคม 2555 เวลา 09:10

    อ่านแล้วชอบมาก ครับ เขียนสนุกอ่านเพลิน ได้ข้อคิดดีดีอีกชอบครับ

    ตอบลบ