++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผมไม่อยากเป็น แต่ผมต้องเป็น" เมื่อ "สนธิ" พร้อมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่!

ผมไม่อยากเป็น แต่ผมต้องเป็น" เมื่อ "สนธิ"
พร้อมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่!
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์


จากการถอดคำพูดการให้สัมภาษณ์ของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในรายการ
"แอนจินดารัตน์" ทาง สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2552
ได้ประกาศบทบาทของตัวเองในพรรคการเมืองใหม่เป็นครั้งแรกที่สรุปใจความได้ว่า
"พร้อมรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ขึ้นอยู่กับความ
ต้องการของพี่น้องประชาชนชาวพันธมิตรฯ
แต่ไม่จำเป็นต้องรับตำแหน่งทางการเมือง"
โดยรายละเอียดคำต่อคำของสัมภาษณ์บางส่วนที่น่าสนใจปรากฏดังนี้

"ตั้งแต่ ปี 2548 มาจนถึงวันนี้ ชีวิตผมเปลี่ยนไปหมดแล้ว
วันนี้ผมไม่ได้ทำอะไรเพื่อตัวผมเลยแม้แต่นิดเดียว
ทุกอย่างเพื่อชาติบ้านเมือง ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์
นี่ไม่ใช่เป็นคำท่องนะโมของผมนะ เป็นความจริงใจ
แม้กระทั่งเจ็บก็เจ็บเพื่อชาติไปแล้ว เพราะฉะนั้นแล้ว
จากวันนี้จนถึงวันตายก็คงจะเป็นการทำงานเพื่อส่วนรวม
เรื่องส่วนตัวนี่ตัดทิ้งไป ส่วนกิจการนั้นอยู่ได้ก็อยู่
อยู่ไม่ได้ก็ช่างมัน อยู่ไม่ได้ก็ช่างมัน
แต่ว่าถ้าอยู่ได้ก็พยายามประคองให้อยู่
เพราะว่ามันเป็นเครื่องมือที่สำคัญ
เมื่อผมต้องการทำงานให้ชาติบ้านเมืองแล้ว

ผมตอบไม่ได้ว่าผมจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือเปล่า
พี่น้องประชาชนพันธมิตรฯ ต้องเป็นคนตอบแทนผม ถูกไหมครับ
ถ้ามองจากมติของพี่น้องในวันที่เราไปชุมนุมกันที่สนามกีฬาธรรมศาสตร์
เขามีมติในการให้ตั้งพรรคการเมือง แล้วก็มีผลแบบฟอร์มที่ทุกคนต้องกรอก
แล้วในนั้นก็มีการระบุว่าอยากให้ใครเป็นหัวหน้าพรรค ข้อมูลผมรู้พอสมควร
แต่ผมไม่ได้อยู่ในจุดที่ผมจะสามารถเปิดเผยได้ เอาเป็นว่าถ้า
พี่น้องประชาชนที่มาชุมนุมร่วมแสนคน ที่วันนั้นได้กรอกข้อความไปแล้ว
ถ้าสมมุติส่วนใหญ่ต้องการให้ผมเป็นหัวหน้าพรรค ผมก็ต้องเป็นให้"

จากคำสัมภาษณ์ดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจที่จะพร้อม
รับหรือไม่รับตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของประชาชนที่เป็น
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
อันเป็นการเคารพเสียงของประชาชนผู้ที่เสี่ยงชีวิตเข้าร่วมการต่อสู้กับ
พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในรอบหลายปีที่ผ่านมา

เพราะพรรคการเมืองใหม่
เป็นพรรคที่เกิดขึ้นจากความต้องการของมวลประชาชนของพันธมิตรประชาชนเพื่อ
ประชาธิปไตย ที่ได้ลงมติและแสดงความเห็นอย่างกว้างขวางผ่านตัวแทนทุกจังหวัดในการประชุม
สภาพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2552
ที่มหาวิทยาลัยรังสิต
และยังมาจากการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแบบเปิดกว้างเมื่อ
วันที่ 25 พฤษภาคม 2552

เป็นการลงมติที่แสดงตัวตนมีเลขที่บัตรประจำตัวประชาชนเป็นรายบุคคล
ซึ่งกรอกอยู่ในแบบฟอร์มที่จะยังคงเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของพรรคการ
เมืองใหม่ตลอดไป

เพราะตำแหน่งหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่เป็นตำแหน่งที่มีความสำคัญ
และเป็นภารกิจต่อเนื่องที่ต้องคิดและทำให้เสร็จสิ้นกระบวนความหลังการจัด
ตั้งพรรคการเมืองใหม่
เพื่อเป็นเครื่องมือของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการสร้างการเมือง
ใหม่ให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

ฝ่ายที่ไม่ต้องการให้ นายสนธิ
ลิ้มทองกุลเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ เพราะ "ความห่วงใย" นั้น
มีหลายสาเหตุ บางคนก็กลัวว่าจะเสียสัตย์
บางคนก็กลัวว่าจะถูกโจมตีในเรื่องต่างๆ บางคนกลัวอันตรายถึงชีวิตมากขึ้น
บางคนก็กลัวว่าจะเสียมวลชน บางคนก็กลัวว่า ASTVจะสูญเสียสถานภาพไป
จึงต้องการเก็บรักษาเอาไว้ในภาคประชาชนและสื่อมวลชนต่อไป
แต่บางส่วนก็เป็นคนในสังกัดพรรคต่างๆที่ไม่ต้องการให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล
มาเป็นคู่แข่งทางการเมือง

แต่ฝ่ายที่เห็นด้วยที่ให้ นายสนธิ ลิ้มทองกุล
มาเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เห็นข้อห่วงใยข้างต้น
แต่เห็นเป้า หมายของพรรคการเมืองใหม่ในการสร้างการเมืองใหม่นั้นสำคัญและยิ่งใหญ่กว่า
และเห็นว่าศักยภาพของ นายสนธิ
ลิ้มทองกุลเป็นผู้ที่จะทำให้เกิดพลังในพรรคการเมืองใหม่ได้
ทั้งในการนำเรื่องเศรษฐกิจ และการเมือง

เสียงจากทั้งสองฝ่ายน่ารับฟังทั้งคู่ แต่ จะเมื่อจะต้องมีข้อสรุป
ก็จะต้องฟังและเคารพเสียงส่วนใหญ่ของมิตรร่วมทุกข์ร่วมสุขของพันธมิตร
ประชาชนเพื่อประชาธิปไตยซึ่งเป็นผู้ที่ลงมติสร้างพรรคการเมืองใหม่นี้ด้วย
ตัวเอง

ซึ่งเรื่องนี้นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้
เอาไว้อย่างชัดเจนในรายการสัมภาษณ์ดังกล่าวความตอนหนึ่งว่า:

"ผม เคยสัญญาว่าผมจะไม่รับตำแหน่งทางการเมือง
การเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไม่จำเป็นจะต้องรับตำแหน่งทางการเมือง
ไม่จำเป็นต้องลงเลือกตั้งก็ได้นี่ แต่เป็นผู้ชูธง ถูกไหมครับ
อาจจะต้องถึงจุดๆ หนึ่งที่ผมจะต้องเรียนคุณแอนและพ่อแม่พี่น้องที่บ้านว่า
"ผม ไม่อยากเป็น แต่ผมต้องเป็น" ผมไม่อยากเป็น แต่ผมต้องเป็น
เข้าใจหรือเปล่า ความเข้าใจผิดมันอาจจะมี แต่ผมคิดว่าในชีวิตผม
48-49-50-51-52 4-5 ปีที่ผ่านมานี้
ไม่มีครั้งไหนที่ผมเริ่มทำอะไรแล้วได้รับความเข้าใจจากพ่อแม่พี่น้อง"

ผมมีความรู้สึกว่าถ้าผมจะตัดสินใจทำอะไร
ผมเชื่อสิ่งที่ผมตัดสินใจนั้นถูกต้อง เพราะผมมีศรัทธา
และศรัทธาที่ผมมีนั้นผมมีเพื่อส่วนรวม เพราะฉะนั้นผมต้องอดทน
อดทนต่อทุกเรื่อง อดทนต่อคำต่อว่า อดทนต่อการเข้าใจผิด เพราะ
ผมเชื่อว่าเมื่อถึงเป้าแล้ว
วันนั้นผมจะพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าผมไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดอะไรทั้งสิ้น
เมื่อถึงเป้าแล้วผมพร้อมที่จะกลับมานั่งอยู่ในรายการคุณแอนอีกเหมือนเดิม
แล้ว ก็เป็นนายสนธิ ที่มีชีวิตอยู่เพื่อส่วนรวม ให้ปัญญาคนไม่หยุดยั้ง
แต่ในช่วงของการเดินหน้าต่อไปที่จะเป็นหนึ่งในแกนนำมวลชนนั้น
บางเรื่องไม่อยากทำแต่ต้องทำ เพราะถ้าไม่ทำ หนึ่ง เท่ากับทรยศมวลชน สอง
ที่สำคัญที่สุด ถ้าไม่ทำแล้วสิ่งซึ่งตั้งกันเอาไว้ จะสร้างขึ้นมา
มันอาจจะพังทลายลงไปก็ได้ ถูกไหมครับ ถ้ามันจะพังทลายลงไป
เหตุผลเพราะผมไม่ทำ ทั้งๆ ที่เขาให้ผมทำ ผมก็จะถูกก่นด่าไปจนวันตาย ว่า
ถ้าอย่างนั้นแล้วตั้งมาทำไม ถูก/ไม่ถูก
ถ้าอย่างนั้นแล้วเรียกชุมนุมทำไมเพื่อให้ตั้งพรรค ถูกไหม
เพราะฉะนั้นแล้วเมื่อมีพรรคแล้ว ถ้ามันจะต้องไปเป็นหัวหน้าพรรค
เพื่อให้พรรคอยู่ได้และเดินหน้าต่อไป ถึงผมจะต้องบาดเจ็บจากคำพูด
โดนตำหนิติเตียนอะไรก็ตามด้วยความไม่เข้าใจ ผมต้องทน
แต่ขอให้ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ผมเป็น เท่านั้นเอง"

เพราะสังคมไทยยังไม่ได้รอดพ้นจากวิกฤติ ใคร
ก็ตามที่จะมาทำงานในพรรคการเมือง
โดยเฉพาะในเวลานี้หัวหน้าพรรคจะต้องมีความเสียสละอย่างยิ่งใหญ่ในการฝ่าฟัน
อุปสรรคขวากหนามที่ไม่ใช่วิกฤตเพียงแค่การเมืองเท่านั้น
แต่ยังต้องฝ่าฟันวิกฤตทางเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย

การเลือกตั้งซ่อมที่ จังหวัดสกลนคร และจังหวัดศรีสะเกษะ
ที่พรรคเพื่อไทยชนะคู่แข่งด้วยคะแนนทิ้งห่างแบบขาดลอย
ก็สะท้อนให้เห็นได้อย่างเพียงพอแล้วว่าประชาชนในพื้นที่ดังกล่าวยินยอมเลือก
พรรคการเมืองที่ได้รับการสนับสนุนด้วยการโฟนอินจากนักโทษชายหนีอาญาแผ่นดิน
ทักษิณ ชินวัตรให้ได้รับชัยชนะ เพียงเพราะสงสาร และ
หลงเชื่อว่านักโทษชายทักษิณเท่านั้นที่จะแก้ไขวิกฤติเศรษฐกิจเพื่อปากท้อง
ของประชาชนได้

ตามมาด้วยการล่ารายชื่อประชาชนเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้
กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่หนีอาญาแผ่นดิน
ไม่ยอมรับผิดและไม่สำนึกในคำตัดสินของศาลฎีกาที่กระทำในพระปรมาภิไธย

เป็น ความล้มเหลวของพรรคการเมืองที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงมุ่งสนใจใช้นักโทษชาย
ทักษิณ ชินวัตร เป็นจุดขายต่อไป โดยไม่สนใจหลักนิติรัฐและหลักจริยธรรม
ซึ่งจะยิ่งสร้างความแตกแยกให้กับหมู่ประชาชนอย่างไม่รู้จบสิ้น

ปรากฏการณ์ข้างต้นที่เกิดขึ้นก็ยังสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวอย่าง
สิ้นเชิงของรัฐบาลในการบริหารสื่อของรัฐในการให้ข้อเท็จจริงและการฟื้นฟู
จริยธรรมในสังคมไทย
ตลอดจนสะท้อนให้เห็นถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่ไม่สามารถทำให้ประชาชนเกิด
ความเชื่อมั่นได้

สัญญาณอันตรายข้างต้นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิกฤติของชาติที่ได้มาถึงแล้ว!

ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยอัสสัมชัญได้จัดทำแบบสอบถามความคิดเห็นของ
ประชาชน 17 จังหวัด
ในเรื่องทัศนคติที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่นหลายครั้งพบตัวเลขที่
แสดงถึงวิกฤติของชาติว่า
ประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่าการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดา

ล่าสุดผลการสำรวจระหว่างวันที่ 25-27 มิถุนายน 2552
ได้รายงานผลว่าประชาชนถึง 84.5%
ที่ค่อนข้างเห็นด้วยหรือเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า
"การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องปกติธรรมดาในการทำธุรกิจ" และประชาชนถึง
51.2% คิดว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลมีการทุจริตคอรัปชั่นด้วยกันทั้งนั้น
ถ้าทุจริตคอรัปชั่นแล้วทำให้ประเทศชาติรุ่งเรืองประชาชนกินดีอยู่ดี
ก็ยอมรับได้

คนที่จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อสร้างการเมืองใหม่ให้ดีกว่าเดิมในสังคมแบบนี้ได้
ไม่ใช่เรื่องง่าย

พรรคการเมืองใหม่จึงจำเป็นต้องหาผู้นำที่ต้องมีศักยภาพสูง
และมีคุณสมบัติ เสียสละ ซื่อสัตย์ กล้าหาญ และมีความสามารถ
อีกทั้งยังต้องมีความอดทนและความเพียรพยายามอย่างถึงที่สุด

ปรากฏการณ์ของบ้านเมืองในเวลานี้จึงขออัญเชิญพระราชนิพนธ์ของพระบาท
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ เรื่อง พระมหาชนก ในตอนที่เกี่ยวกับ
"ต้นมะม่วง" เพื่อเป็นอุทธาหรณ์เตือนใจ
โดยเนื้อความในตอนดังกล่าวสรุปได้ว่า:

"พระมหาชนกได้เสด็จออกพระนครด้วยราชบริพาร ถึงประตูพระราชอุทยาน
ที่ใกล้ประตูพระราชอุทยานนั้น มีต้นมะม่วงสองต้น มีใบเขียวชอุ่ม
ต้นหนึ่งไม่มีผล ต้นหนึ่งมีผล ผลนั้นมีรสหวานเหลือเกิน
ใครๆไม่อาจเก็บผลจากต้นนั้น เพราะผลซึ่งมีรสเสิศพระราชายังมิได้เสวย

พระมหาชนกประทับบนคอช้างทรงเก็บเอาผลหนึ่งเสวย
ก็ปรากฏว่ารสชาติดีมากดุจโอชารสทิพย์ พระมหาชนกทรงคิดว่าจะกินเวลากลับมา
หลังจากนั้นเสด็จเข้าสู่พระราชอุทยาน

คน อื่นๆ มีอุปราชเป็นต้น จนถึงคนรักษาช้าง รักษาม้า
รู้ว่าพระราชาเสวยมีรสเลิศแล้ว ก็เก็บเอาผลมากินกัน
ฝ่ายคนอื่นยังไม่ได้ผลนั้น ก็ทำลายกิ่งด้วยท่อนไม้ ทำให้เสียไม่มีใบ
และถึงขั้นแย่งกันจนต้นมะม่วงที่ว่านั้นถูกทำลายหักโค่นลงในที่สุด"
จนพระมหาชนกกลับมาทอดพระเนตรเห็นจึงเกิดความสังเวชใจ

ภาพจากหนังสือพระมหาชนกในตอนเรื่องต้นมะม่วง
ต้นมะม่วงที่มีผลเลิศได้ถูกโค่นทำลายลงไปเพราะการแย่งชิง
แต่พระมหาชนก ได้ทรงดำริว่า "ทุก คนบุคคล จะเป็นพ่อค้าวาณิช เกษตรกร
กษัตริย์ หรือ สมณะ ต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม
ก่อนอื่นเราต้องหาทางฟื้นฟูต้นมะม่วงที่มีผล"

ปัญหาวิกฤติทุกอย่างไม่มีทางอับจนหากมีปัญญา
พระมหาชนกได้ทรงแนะนำในการฟื้นฟูต้นมะม่วงถึง 9 วิธี 1. เพาะเม็ดมะม่วง
2. ถนอมรากที่ยังมีอยู่ให้งอกใหม่ 3. ปักชำกิ่งที่เหมาะแก่การปักชำ 4.
เอากิ่งดีมาเสียบยอดกิ่งของต้นที่ไม่มีผลให้มีผล 5.
เอาตามาต่อกิ่งของอีกต้น 6. เอากิ่งมาทาบกิ่ง 7. ตอนกิ่งให้กออกราก 8.
รวมควันต้นที่ไม่มีผลให้ออกผล 9. ทำชีวณูสงเคราะห์ (Culturing the cells)

พระมหาชนก
ได้ตรัสต่อว่านึกถึงครั้งที่นางมณีเมขลาได้ช่วยชีวิตอุ้มพระมหาชนกขึ้นจาก
ทะเลหลังจากใช้ความเพียรพยายามว่ายน้ำมาโดยไม่เห็นฝั่งถึง 7 วัน 7 คืน
โดยนางมณีเมขลากล่าวกับพระมหาชนกในตอนนั้นว่า
ต้องให้สาธุชนได้รับพรแห่งโพธิญาณจากโอษฐ์ของท่าน
ถึงกลางอันสมควรท่านจงตั้ง "มหาวิชชาลัย"
แม้กาลนั้นก็จะสำเร็จกิจและได้มรรคาแห่งบรมสุข

พระมหาชนกจึงตรัสกับพราหมณ์ว่า "เรา
แน่ใจว่าถึงการจะตั้งสถาบันแล้ว เป็นสัจจะว่าควรตั้งมานานแล้ว
เหตุการณ์ในวันนี้แสดงความจำเป็น นับแต่อุปราช จนถึงคนรักษาช้าง
คนรักษาม้า และนับตั้งแต่คนรักษาม้าจนถึงอุปราช และโดยเฉพาะเหล่าอมาตย์
ล้วนจาริกในโมหภูมิทั้งนั้น พวกนี้ขาดทั้งความรู้ทางวิชาการ
ทั้งความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา: พวกนี้ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน
พวกนี้ชอบผลมะม่วง แต่ก็ทำลายต้นมะม่วง"

พราหมณ์มหาศาลเห็นพ้องกับพระราชดำริ และกล่าวว่า:
"พระราชาผู้เป็นบัณฑิต ข้าพระองค์ยังมีศิษย์ที่ดีไว้ใจได้ และจะประดิษฐาน
"ปูทะเลย์มหาวิชชาลัย" ได้แน่นอน มิถิลายังไม่สิ้นคนดี"

พระ ราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
เรื่อง พระมหาชนก จึงมีเนื้อหาสาระที่สอนประชาชนให้มีความเพียร
ตั้งอยู่ในธรรม เสียสละความสุขส่วนตนเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมด้วยความมุ่งมัน
กล้าหาญที่จะทำงานอย่างหนักด้วยตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมอวิชชา

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000074008

อ่านแล้วเข้าใจ สะท้อนให้เห็นคนในชาติไทยปั่จจุบัน
ส่วนหนึ่งแล้วเมื่อเปรียบเทียบเขมร ในปัจจุบันแล้วความรักชาติ
สู้ประเทศเขมรไม่ได้เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เขาพระวิหาร
ขนาดคนศรีษะเกษแท้ๆ ยังไม่เข้าใจเลยว่า มีคนเอาแผ่นดินไปให้เขมร
เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว
คนไทยส่วนหนึ่งมองประเทศเหมือนเค๊กที่แย่งกันกิน แย่งกันเอาผลประโยชน์
โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง หากเป็นเช่นนี้แล้วไม่นาน คงต้องสูญเสีย
ประเทศไทย เป็นแน่
วันนี้ เราต้องการคนที่กล้าหาญ ซึ่งนอกจากจะต้องฟื้นฟูชาติแล้ว
ต้องฟื้นฟูศีลธรรมและจริยธรรมของคนในชาติ ความรัก
ความภูมิใจของความเป็นคนชาติ ไทย ที่มีเอกราชมาช้านาน กำลังจะลืมหายไป
ก็มีแต่กลุ่มพันธมิตรฯ นี่แหละ ที่จะจุดประกาย ความหวังเหล่านี้ได้
นอกนั้นส่วนใหญ่ เอาเงินซื้อได้ไม่ต่างจากสัตว์เท่าไหร่
จากเสื้อเหลืองคนหนึ่ง
--
คุณสนธิ อย่าเสียสัจจะ
คุณเสียสัจจะ คุณเสียทุกอย่างที่คุณทำมา
ผมดูรายการ ตอนคุณบอกว่า เว้นคุณกับลุงจำลองไว้
ใครจะตั้งพรรคก็ไม่ขวาง
แต่ไม่ขอรับตำแหน่ง
จะมารับคราวนี้ สีข้างถลอก ไม่แพ้คนที่คุณด่ามาหรอกครับ
แค่ตั้งพรรคก็จะเลิกอ่าน manager อยู่แล้ว ความเป็นกลาง
เป็นสื่อฝ่ายต่อต้านการเมืองก็หมดไป

อย่าเลยครับ ขอร้อง
pattawit

--
. ทุกการกระทำ ทุกการขับเคลื่อน การยอมสละความสุขสะดวกสบายส่วนตัว
การเสี่ยงต่อการถูกลอบปองร้ายเอาชีวิต ..
ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ที่เด่นชัด
ถึงความมีเลือดรักชาติที่แท้จริงของบุรุษผู้มีนามว่า .. " สนธิ
ลิ้มทองกุล "

..... ท่านใดที่เป็นพันธมิตรที่แท้จริง
ลองพิจารณาและไตร่ตรองดูนะครับว่า หากที่ผ่านมา คุณสนธิ ลิ้มทองกุล
รักตัวกลัวตาย เห็นแก่ความสุขส่วนตัว ยอมทำตัว .. ลู่ตามลม ..
เหมือนสื่อเลว ๆ บางคน ..

... ป่านนี้ บุรุษผู้มีนามว่า .. " สนธิ ลิ้มทองกุล " ..
คงไม่ต้องมาพบกับความเจ็บปวดและแบกภาระที่หนักหนาอย่างเช่นทุกวันนี้หรอก
ครับ ...

... โดยส่วนตัวของกระผม เชื่อมั่นในตัวคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เต็มร้อยครับ
... พร้อมสนับสนุนทุกการกระทำและการตัดสินใจของท่าน
ไม่ว่าท่านจะรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคหรือไม่ครับ ... ///
อู่ตะเภา. (hongkuang สมาชิก
--
แค่นี้ก้อรักษาสัตย์ไม่ได้ แล้วเราจะเชื่อคุณได้อีกนานเท่าไหร่
คนที่เหมาะสมมีอีกตั้งหลายคน ที่เค้าก้อพร้อมจะรับ.
ขอค้านค่ะ
pt.
--
พอดีไปเที่ยว เพิ่งกลับมาอ่านวันนี้

พวกเรากำลังสับสนกันระหว่างตำแหน่งหัวหน้าพรรค กับตำแหน่งทางการเมืองหรือเปล่า???

การ เป็นหัวหน้าพรรคเป็นเหมือนกับพวกพี่เลี้ยงนางงามน่ะครับ
แต่พวกนักการเมืองที่ไปสมัคร สส. หรือ ไปทำงานในรัฐบาล
หรือเป็นฝ่ายค้านน่ะ เปรียบไปก็คือพวกนางงามนะ เพียงแต่เมืองไทยน่ะ
ทำไปทำมา กลายเป็นว่า พวกพี่เลี้ยงอยากเข้าประกวดเสียเอง

ในต่าง ประเทศที่พัฒนาระบบแล้ว เขาจะแยกกันชัดเจนระหว่าง
การเป็นพี่เลี้ยงนางงาม กับ นางงาม โดยพี่เลี้ยง มีหน้าที่เลี้ยง
หลังจากนั้น ก็ปล่อยพวกนางงามทำหน้าที่ของตัวเองไป
โดยพี่เลี้ยงหลังจากนางงามได้ตำแหน่งแล้ว ก็จะมีหน้าที่คอยเตือน
เวลานางงามทำอะไรผิด แต่จะไม่เข้าไปก้าวล่วงการตัดสินใจเป็นอันขาด

ต้องยกตัวอย่างเป็นเรื่องนางงาม เพราะว่าง่ายดี

เมื่อ ก่อน ในรัฐธรรมนูญกำหนดว่า คนจะเป็นนายกฯ
ต้องเป็นหัวหน้าพรรคเท่านั้น (ระบบนี้ ยังมีใช้ใน ญี่ปุ่น และ อังกฤษ)
ซึ่งต้นแบบมาจากอังกฤษ แต่ถ้าเราดูหนังเรื่อง Change จะเห็นว่า
คนที่เป็นหัวหน้าพรรคจริง ๆ ในเรื่องคือ เลขาพรรคต่างหาก
ตัวหัวหน้าเป็นแค่หุ่นให้เขาชักเท่านั้น ก็คือ พี่เลี้ยง กับนางงามไง

แต่ในหลาย ๆ ประเทศ เช่น เยอรมัน หรือ อเมริกา คนเป็นนายกฯ
หรือผู้นำประเทศ ไม่จำเป็นต้องเป็นหัวหน้าพรรค
แต่ต้องเป็นคนที่เป็นที่ยอมรับในพรรค และรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปัจจุบัน
ได้เปลี่ยนเป็นระบบนี้แล้วครับ

เพราะฉะนั้น การที่คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรค
ไม่ถือว่าเป็นตำแหน่งทางการเมือง นอกจากเราจะเหมาว่า พี่เลี้ยงนางงาม
ก็คือนางงาม และทำหน้าที่แทนนางงามได้ ถ้างั้น
หัวหน้าพรรคก็คือตำแหน่งทางการเมืองครับ
สับสนกันจัง
--
ขอพวกเราจงใช้สติ
ท่านก็บอกแล้วว่า"แล้วแต่เสียงส่วนใหญ่"

พวกเราควรเคารพในจุดนี้

ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร

เราก็ยังเป็นพธม.ที่จะต้อง

เสียสละฝ่าฟันร่วมกันต่อไป

มิใช่หรือ
pad phd 49.
--
ได้ติดตามศึกษาความคิดและความเป็นตัวตนของคุณสนธิจากเอเอสทีวีและบนเวที
พันธมิตรก็เห็นว่ามีศักยภาพความเป็นผู้นำที่สามารถเป็นที่ปรึกษาหรือเป็นผู้
ปฏิบัติการได้ที่จะแก้ปัญหาประเทศชาติอย่างที่เป็นอยู่นี้
ขณะ นี้เรากำลังอยู่ระหว่างอุดมการณ์ความจริงใจกับอดีตที่เราสัมผัสแต่ความเป็น
ไปไม่ได้ของความจริงใจและความดีจึงเป็นธรรมดาที่บุคคลมีความกลัว
ความไม่เชื่อมั่นในมนุษย์และไม่เชื่อมั่นในความดี
ยังจำที่คุณสนธิเคย เล่าให้ฟังว่าวันเกิดคุณสนธิมีลูกหลานมาแสดงความยินดี
คุณสนธิบอกว่าหนูๆ เข้าใจไหมลุงไม่ได้ทำเพื่อตัวเองนะ ลุงทำเพื่อลูกๆ
หลานๆ เพื่อหนูๆ
น้ำเสียงความรู้สึกที่เล่าในวันนั้นทำให้ดิฉันถึงกับน้ำตาซึมเพราะรู้สึกได้
ถึงความรู้สึกนั้นจริงๆ
กาลเวลาและการกระทำจะพิสูจน์ความจริงใจของคนคน นั้น
และเราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต้องการกลุ่มคนนะคะไม่ใช่เฉพาะผู้นำ
เราต้องการกลุ่มคนที่เป็นคนมีธรรมประจำใจ
ทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเพื่อลูกหลานจริงๆ
สมเด็จพระบิดา กรมหลวงสงขลาฯ ท่านทรงตรัสเช่นกันว่า
"ให้กิจของส่วนรวมมาเป็นที่หนึ่ง กิจส่วนตัวมาเป็นที่สอง"
นักศึกษามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี
nun_kiew@hotmail.com
--
...ถ้าผมเป็น สนธิ ลิ้มทองกุล
...ถ้าผมคิด จะทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อชาติไทย และประชาชนคนไทย
ผมจะไม่ฟังเสียงค้านจากใครๆทั้งสิ้น
...คนแบบนี้มีจริงๆ
...ถ้าผมทำดี ได้ผลดีแก่ชาติบ้านเมือง แล้วมันอยากค้าน อยากด่า
จนตัวมันตายให้มันค้านมันด่ากันไป
... ทำให้มันรู้กันไปเลย
ว่าสังคมและชาติที่จะเจริญรุ่งเรืองสงบร่มเย็นเป็นสุขไม่ได้เกิดจาก
คนที่จะทำติดโน่นนิดติดนี่หน่อย แล้วไม่ได้ทำจน เกิดผลดีที่ต้องได้
...ทักสิน ทำผิด ทำชั่ว ติดข้อจำกัดทางกฎหมาย
ยังได้ทำ(งานการเมือง)และคนรักมากมายครึ่งค่อนประเทศ
...สนธิ ไม่ได้ทำผิด ทำชั่ว จนติดข้อจำกัดทางกฎหมายใดๆ ทำไมสนธิ
จะไม่ได้ทำ(งานการเมือง)
...หรือว่านายกประเทศไทย มีไว้สำหรับคนทำผิดทำชั่ว
...คนไทยไม่เอาคนเก่งกว่าทักสินและอภิสิทธิ์
คนกล้ากว่าทักสินและอภิสิทธิ์ คนเสียสละกว่าทักสินและอภิสิทธิ์
เป็นนายกหรือครับ?
...เป็นไปเลยครับหัวหน้าพรรคและถ้าเมื่อไรมีโอกาสเป็นนายก เป็นนายกไปเลย
...tnu
--
ท่านๆที่ว่าคุณสนธิว่าไม่รักษาคำพูดอยากถามว่าในประเทศนี้นักการเมืองคนไหน
บ้างที่ทำตามคำพูดที่ให้สัญญากับปชช.ไว้ถามว่าคุณสนธิทำไมต้องมาเป็นหัวหน้า
พรรคการเมืองใหม่ถามว่าจำเป็นไหมขอตอบว่า(ส่วนตัว)จำเป็นมากๆเพราะอะไรเพราะ
ศูนย์รวมจิตใจของพี่น้องพธม.จะรวมอยู่ที่คุณสนธิถ้าไม่ใช่คุณสนธิขอบอกว่า
พรรคการเมืองใหม่
ลำบากแน่ในช่วงนี้เวลานี้แต่ในอนาคตค่อยว่ากันไปอีกเรื่องเมื่อพรรคมั่นคง
แล้ว และอยากบอกพี่น้องพธม.ว่าอย่าพึ่งไปหวังว่าเราจะได้เป็นรัฐฯ
เอาแค่มองใกล้ๆก่อนว่าเราจะเข้าไปอยู่ในสภาได้กี่ท่านกี่คน
โจทย์ยังมีให้ทำอีกมากมายเราอย่างพึ่งวาดฝันล่วงหน้า
และขอบอกว่าคนที่จะต่อกรกับนักการเมืองเลวๆต้องมีคุณสนธิเป็นแกนนำเท่านั้น
ถึงจะรู้เท่าทันเกมส์ของนักการเมืองพวกนี้เชื่อซิ
เหลืองศรีเกษ (deep2505 สมาชิก
--
มีความรู้สึกเหมือนมีความพยายามชี้นำว่า หัวหน้าพรรคต้องเป็นคุณสนธิเท่านั้น
ที่พูดกันเสมอๆว่า พรรคการเมืองใหม่คือ เครื่องมือหนึ่งของพันธมิตร
แล้วทำไมคุณสนธิต้องไปเป็นหัวหน้าพรรค
ในเมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใหญ่กว่าพรรค
ทำไมคุณสนธิไม่อยู่เป็นแกนนำเหมือนเดิม
ทำไมไม่ปล่อยให้คนอื่นที่มีความสามารถ เช่น คุณประพันธ์ คูณมี
คุณสุริยะใส คุณสำราญ เป็นหัวหน้าพรรค
แสดง ว่า วงในเค้ารู้กันแล้วว่า ถ้าไม่ได้คุณสนธิเป็นหัวหน้าพรรค
คงไปไม่รอด คนอื่นๆไร้ความสามารถกันไปหมดแล้วหรือ ?
แบ่งบทบาทหน้าที่กันทำบ้างไม่ได้หรือ ?
ก้อแล่วแต้ว่ะ
--

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น