โดย ชัยสิริ สมุทวณิช 22 กรกฎาคม 2552 15:37 น.
ประเทศจีนทุกวันนี้ยังมีปัญหาที่น่าปวดหัวอยู่เรื่องหนึ่งเป็นปัญหาเรื้อรังที่แก้ไม่ตกมานาน
ปัญหานี้อยู่ในพื้นที่ที่ไกลออกไปทางตะวันตก และเป็นพื้นที่ 1 ใน
6 ของประเทศด้วย
ซินเกียงมีปัญหาครับ
เป็นปัญหาทางการเมืองที่มีรากมาจากด้านวัฒนธรรม และด้านชนชาติด้วย
ก่อนจะเข้าถึงตัวปัญหา เราควรจะรู้เรื่องทั่วๆ ไป ของซินเกียงก่อน
"ซินเกียง" เป็นชื่อในรากภาษาของชาวอุยกู๋
และถ้าจะให้สะกดเป็นภาษาอังกฤษ แต่เดิมนั้นก็ต้องเขียนว่า Sinkiang ครับ
ปัจจุบันซินเกียงเป็นเขตปกครองตนเองของจีนครับ
พื้นที่ส่วนใหญ่นั้นมีประชากรกระจายตัวกันอยู่
และประชากรในพื้นที่มีแค่ 1.6 ล้านคนเท่านั้น
ขนาดของซินเกียงนั้น พอๆ กับประเทศอิหร่าน
พวกกษัตริย์ในราชวงศ์แมนจู เรียกซินเกียงว่าเป็นพรมแดนใหม่
เนื่องจากห่างไกลออกไป
ความกว้างของซินเกียง ทำให้มีเพื่อนบ้านอยู่หลายประเทศ
พรมแดน ติดกับทิเบต ด้านตะวันตกติดมองโกเลีย ทางเหนือติดรัสเซีย
ส่วนทิศตะวันตกติดกับหลายประเทศ คือไม่ต่ำ 5-6 ประเทศ ได้แก่ คาซัคสถาน,
เตอรกีสถาน, ทาจิกิสถาน, อัฟกานิสถาน และอินเดียด้วย
นอกจากนี้พื้นที่บางส่วนของซินเกียงยังรวมเอาดินแดนที่เคยอยู่ในเขตแดนของ
แคว้นแคชเมียร์ไว้ด้วย
จากหลักฐานหลายพันปีมาแล้ว พื้นที่นี้เป็นที่รู้จักกัน
โดยนักโบราณคดีขุดพบศพคนผิวขาว
ผมยาวว่าอยู่กันมาก่อนและอยู่กันมายาวนานมาก
หลายศพจะพบคนที่เหมือนพวกยุโรป ผิวขาวผมบลอนด์ไม่ก็ผมออกแดง
และพบว่าเป็นชนเผ่าหากินเร่ร่อนหลายพวกที่แน่ๆ คือพวกง้วยสี
ซึ่งเป็นพวกที่เคยอพยพครั้งใหญ่เข้ามาอยู่โดยสร้างบ้านเมืองเป็นเรื่องเป็น
ราว
กล่าวให้ชัดๆ ก็คือซินเกียงเป็นถิ่นของพวกเชื้อสายอินโด-ยูโรเปียนมาก่อน
แม้พวกง้วยสีจะมีอำนาจและปกครองพื้นที่มานาน
แต่ก็ต้องต่อสู้กับพวกชนเผ่าต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
และง้วยสีแพ้ที่ภูเขาเทียนซานและบริเวณถ้ำตุงหวงมาแล้ว
ซินเกียงยังอยู่ในเส้นทางคมนาคมที่สำคัญ
คือเส้นทางไพรไหมทางตอนบน หรือเส้นทางแพรไหมทิศเหนืออีกด้วย
ของดีที่นี้คือ หยก ผลิตผลทางเกษตรคือผลไม้ที่เป็นพืชเมืองหนาวหลายชนิด
ในยุคเจงกิสข่าน
พวกอุยกู๋พ้นจากการถูกปราบปรามและสูญเสียอาณาจักร
ก็เพราะพวกเขาเข้าไปเป็นพันธมิตรกับเจงกิสข่านที่ต้อนรับพวกเขาอย่างดี
จน ถึงปัจจุบันที่ชาวอุยกู๋รู้สึกว่า แม้จะได้ปกครองตัวเองก็จริง
แต่ก็ไม่พอใจอยู่ดีที่รัฐบาลจีน
มีอำนาจและชาวอุยกู๋รู้สึกว่าตนเองเหมือนพวกด้อยโอกาสรัฐบาลกลางคุมพวกอุย
กู๋แบบเกินกว่าที่ชาวอุยกู๋จะทนได้
การก่อจลาจลที่ซินเกียงจึงเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เช่น ในเดือนกรกฎาคม
ศกนี้ ที่เมืองอูหลู่มู่ฉี ซึ่งเป็นเมืองเอกของชาวอุยกู๋ทำให้มีคนตายไป
156 คน
ปัญหา ของชาวอุยกู๋ซึ่งเป็นมุสลิมก็คือ
พวกเขาอยากมีชีวิตแบบอิสระ
แต่รัฐบาลกลับไม่ต้องการให้พวกเขาแสดงออกเกินขอบเขต และใช้มาตรการรุนแรง
ทั้งยังกล่าวหาว่าพวกนี้ต้องการแบ่งแยกดินแดน
ผู้นำคนหนึ่งของอุยกู๋เป็นผู้หญิง เธอคือนางรอบียะ กอดีร์
เวลานี้ต้องหนีไปอยู่ในอเมริกา เธอเคยติดคุกในจีนถึง 4 ปี
ในข้อหายุยงมุสลิมอุยกู๋
รัฐบาลจีนไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะทำให้สถานการณ์สงบได้
ก็ส่งแต่ทหารจีนเข้าไปรักษาเมือง โดยอ้างว่าเพื่อควบคุมให้เกิดความสงบ
การจลาจลเกิดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 กรกฎาคม
โดยพลเมืองอุยกู๋ปิดถนน, เผารถยนต์
และเดินหน้าปะทะตำรวจและหน่วยปราบจลาจล
ก่อนหน้านี้ได้เกิดปะทะกันระหว่างชาวจีนกับคนงานอุยกู๋ที่โรงงานแห่งหนึ่ง
ทำให้ชาวอุยกู๋ตายไป 2 คน
เหตุการณ์ประท้วงทำให้มีคนตายทั้งหมด 150 คนบาดเจ็บ 1,000 กว่าคน
ถูกจับไปเกือบ 1,500 คน
ชาวฮั่นต่างพอใจที่ทหารมาปกป้องประชาชน แต่ก็มีชาวฮั่นที่ไม่พอใจ
และร่วมกับชาวอุยกู๋ต่อสู้กับรัฐบาลไปด้วย
เหตุการณ์เช่นนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก
สำหรับรัฐบาลจีนที่เคยมีปัญหามาแล้วในทิเบต
แต่กับชาวอุยกู๋แล้ว
มันเป็นบทเรียนที่คงแก้กันยากเพราะพวกเขาอ้างรากฐานทางประวัติศาสตร์ย้อนยุคกันมานานแล้ว
จีนอาจต้องส่งงบประมาณและทุ่มเทความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจในพื้นที่ให้มากกว่าเดิม
และควรยอมรับว่า ควรปล่อยให้ชาวอุยกู๋มีอิสระมากกว่าไปกดดัน
หรือระมัดระวังจนเกินไป
ทุกวันนี้เศรษฐกิจจีนโตวันโตคืน ถ้าพลาดโอกาสดีๆ ไปเสียแล้ว
ก็เท่ากับว่าจีนต้องนับหนึ่งใหม่ทุกครั้งกับปัญหาชนชาติส่วนน้อย
ซึ่งมันจะไปบั่นทอนอำนาจของรัฐบาลเองในท้ายที่สุด
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000082907
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น