++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

เจาะแผนนายวีระ มุสิกพงศ์ ถวายฎีกาให้ทักษิณ

เจาะแผนนายวีระ มุสิกพงศ์ ถวายฎีกาให้ทักษิณ
โดย ว.ร.ฤทธาคนี


ในการทำสงครามการเมืองของทักษิณตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา มีหลายรูปแบบ
ทั้งเย็นและร้อน ทั้งเชิงรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์
รวมทั้งการประยุกต์สงครามการเมืองจิตวิทยาที่ทักษิณทำเองด้วยการโฟนอิน
ทั้งเชิงรุกและเชิงรับเพื่อรักษาโมเมนตัมอิทธิพลการเมืองของตัวเองไว้
โดยเฉพาะพื้นที่ในหัวใจของผู้หลงใหล
ขณะเดียวกันก็ทุ่มเงินเพื่อรักษาแกนนำสาวกที่ทำศึกสงครามการเมืองในเมืองไทย
ให้ทักษิณในห้วง 3 ปีที่ผ่านมา

สงครามการเมืองร้อนที่ทักษิณบัญชาการเองแบบควบคุมทางไกลเห็นได้ชัด
จากกรณีสงกรานต์ 2552 ที่ดุเดือดเลือดพล่าน
แต่เคราะห์ดีที่ฝ่ายรัฐบาลโดยเฉพาะฝ่ายทหารมีความอดทน
จัดรูปขบวนยุทธ์และสถาปนากลยุทธ์ยืดหยุ่น ใช้ทั้งจังหวะ เวลา
และโอกาสสามารถขัดขวางแผนสงครามกลางเมืองย่อยโดยหวังให้ประชาชนโกรธแค้นทหาร
และรัฐบาลในการใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนเหมือนกับกรณี 14 ตุลาคม 2516
ด้วยการส่งหน่วยไล่ล่าทำร้ายผู้นำรัฐบาลหรือแกนนำชุมชนที่ต่อต้านระบอบ
ทักษิณและข่มขู่รัฐบาลด้วยการเอาประชาชนเป็นตัวประกัน เช่น ที่แฟลตดินแดง

เหตุการณ์เหล่านี้ชาวโลกสามารถเห็นได้จากภาพใน Clip ต่างๆ
ที่ถูกบันทึกไว้ตั้งแต่วันที่ 12-14 เมษายน 2552
และจะเป็นเหตุการณ์อมตะที่คนกรุงเทพฯ ไม่มีวันลืม
รวมทั้งมีผู้ถูกสังหารอย่างหฤโหดเลือดเย็นที่ชุมชนนางเลิ้งซึ่งต้องการเพียง
ปกป้องถิ่นฐานของตัวเองมิให้ถูกเป็นเครื่องมือในการข่มขู่ของกลุ่มเสื้อแดง
แต่สาวกทักษิณหวังให้มีการตอบโต้จากประชาชนนางเลิ้งจนเกิดจลาจลแล้วทหารเข้า
ขัดขวาง ทำการห้ามปรามแต่ถูกทำร้าย
ทหารก็จะตอบโต้ทำให้กลุ่มเสื้อแดงขยายผลลุกลามเรียกพลเพิ่มเติมได้จากภาค
เหนือและอีสาน แต่แผนชั่วนี้ไม่บรรลุตามความปรารถนาของทักษิณที่ตกหลุมพรางตัวเอง
เมื่อเพื่อนรุ่นเตรียมทหาร 10 อย่างน้อย 2
คนรู้ทันประกอบกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ที่กล้าแสดงความรับผิดชอบต่อหน้าผู้บังคับบัญชาหน่วยทหาร
เพื่อไม่ให้ทหารกังวลใจว่าจะตกเป็นจำเลยสังคมอีก

ตำราการดำเนินกลยุทธ์ทางการเมืองของทักษิณเริ่มงวดเข้าทุกที
ถึงแม้ว่าพรรคเพื่อไทยของทักษิณ มีชัยในการเลือกตั้งซ่อมภาคอีสาน
ก็ไม่เป็นที่แปลกประหลาดอะไร
เพราะพื้นที่เหล่านี้ถูกควบคุมโดยอิทธิพลทักษิณตั้งแต่ พ.ศ. 2544
เป็นต้นมาแล้ว และมีการดำรงรักษาไว้ได้เป็นอย่างดี
ประกอบกับหลังจากรัฐประหาร 2549
กระแสเงินหลั่งไหลลงพื้นที่อีสานอย่างต่อเนื่อง
เพราะเป็นเรื่องสามัญสำนึกของนักยุทธศาสตร์สงครามประชาชนรอบตัวทักษิณ
ต้องการดำเนินกลยุทธ์ยึดฐานที่มั่นหลักก็คือ
พื้นที่ทางกายภาพมีผู้คนอยู่หนาแน่น เช่น
ภาคอีสานซึ่งมีใจโน้มเอียงอยู่แล้วในเรื่องลัทธิประชานิยม
หัวใจจึงถูกซื้อได้ง่าย

ความเข้าใจในลัทธิทุนนิยมสามานย์ยังมีน้อย
คิดว่าการโกงชาติบ้านเมืองนั้นเป็นเรื่องปกติหรือเป็นเรื่องวัฒนธรรมการ
เมืองของไทย หรือแนวคิดว่า "ใครๆ เขาก็ทำกัน"
และด้วยเหตุนี้เองทำให้ประชาชนผู้หวังความอยู่รอดในชีวิตเพียงวันหนึ่งๆ
จึงไม่สนใจว่า ใครจะโกงบ้านโกงเมืองอย่างไร
หรือจะมีการปกครองชาติบ้านเมืองอย่างไร ก็ไม่สนใจ
ขอให้มีใครมาให้เงินให้ทองใช้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชีวิตในวันหนึ่งๆ

เมื่อตำราพิชัยสงครามการเมืองหลายบทไม่ได้ผล
ทำให้ต้องใช้แผนถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องวิเคราะห์และประชาชนต้องกล้าคิด
กล้าวิจารณ์เพราะแผนนี้มีความละเอียดอ่อนมาก

การถวายฎีกาพระมหากษัตริย์ถือว่าเป็นเรื่องปกติ
ตามประเพณีการปกครองของไทย
เพราะการถวายฎีกาตรงต่อพระมหากษัตริย์เพื่อทรงบำบัดทุกข์บำรุงสุขให้ประชาชน
นั้นเป็นประเพณีปฏิบัติที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงยึดถือมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย
กว่า 800 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะตำนานการถวายฎีกาพ่อขุนรามคำแหง
แม้ว่าไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในรัฐธรรมนูญ
แต่ก็ถือเป็นรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีที่ทรงรับฎีกา
และทรงบำบัดทุกข์ให้ราษฎร

โดยปกติพระมหากษัตริย์จะโปรดเกล้าฯ
ให้หน่วยราชการหรือหน่วยงานต่างๆ รับไปดำเนินการตามหน้าที่ก่อน
แต่ถ้ายังไม่มีการดำเนินการใดๆ หรือดำเนินการไม่ดี ราษฎรถวายฎีกาใหม่
ก็ทรงมีพระราชอำนาจตามรัฐธรรมนูญจารีตประเพณีที่อาจมีพระราชวินิจฉัยสั่งการ
ให้หน่วยราชการดำเนินการได้ ส่วนราชการต้องเคารพและปฏิบัติตาม

พระบรมราชวินิจฉัยนี้มีผลในทางกฎหมาย
เพราะถือว่าพระมหากษัตริย์ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแทนประชาชน
พระบรมราชวินิจฉัยนี้จะสูงกว่าองค์กรใดๆ ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร
ไม่ว่าจะเป็นรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาลสถิตยุติธรรม หรือองค์กรอื่นๆ
ตามรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอื่นๆ

พระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ
หรือแบบของไทยในเชิงสากลที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษร
และถือว่าพระราชอำนาจเป็นเรื่องหลัก
ความยืดหยุ่นที่เกิดประโยชน์มหาศาลในการปกครองประเทศ
เมื่อเกิดสถานการณ์ทางตันในการเมืองและสังคม

พระราชอำนาจ 3 ประการคือ 1.พระราชอำนาจในการที่จะทรงรับคำปรึกษา
และพระราชทานคำแนะนำแก่รัฐบาล 2.
พระราชอำนาจที่จะทรงสนับสนุนหรือให้กำลังใจรัฐบาลในนโยบาย
หรือการดำเนินนโยบายอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง
และ 3.พระราชอำนาจที่พระมหากษัตริย์จะทรงตักเตือนรัฐบาลของพระองค์ให้ตระหนักถึง
ความเสียหายในการกระทำของรัฐบาล
ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหายแก่ประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน

ทั้งหมดนี้เป็นแนวคิดเชิงรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ที่สัมพันธ์กับ
สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ซึ่งสร้างสรรค์ให้เกิดความร่มเย็นผาสุกกับประชาชนที่วอลเตอร์ แบจฮอท
(Walter Bagehot) ที่เขียนไว้ในหนังสือ เดอะอิงลิช คอนสติติวชัน ใน ค.ศ.
1867

หากจะพิจารณาถึงแผนการถวายฎีกาของนายวีระ มุสิกพงศ์
แม่ทัพหน้าของทักษิณเตรียมการล่าลายเซ็นประชาชนให้ได้ครบ 1 ล้านชื่อนั้น
เป็นเรื่องที่น่าคิดอยู่ว่า ทั้งทักษิณ วีระ มุสิกพงศ์ และสาวกคนอื่นๆ
ของทักษิณกำลังคิดอะไรอยู่
เพราะหากพิจารณาในพระราชอำนาจที่ว่าพระมหากษัตริย์จะทรงตักเตือนรัฐบาลของ
พระองค์ให้ตระหนักถึงความเสียหายในการกระทำของรัฐบาล
ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียหายแก่ประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนนั้น
หากได้พิจารณาถึงพระราชดำรัสที่ทรงพระราชทานให้คณะบุคคลที่มีทักษิณร่วมอยู่
ด้วยที่ได้เข้าเฝ้าฯ ในวาระต่างๆ โดยเฉพาะในวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ซึ่งวิเคราะห์ได้ว่าพระองค์ทรงแฝงไว้ด้วยคำเตือนให้ผู้บริหารประเทศซื่อ
สัตย์สุจริต ยึดถือประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก

คดีความของทักษิณเป็นคดีตัวอย่างของนักการเมืองที่มีความมุ่งมั่นที่
จะแสวงประโยชน์เพื่อตัวเอง แม้ทว่าทุกวันนี้ภายใต้ภาวการณ์ต่างๆ
ที่เกิดขึ้นทั้งความขัดแย้งทางการเมืองของคนสองกลุ่มที่มีแนวโน้มความรุนแรง
สูง และภาวะทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ซึ่งนักการเมืองในอดีตหากเกิดภาวการณ์เช่นนี้ก็
จะเลิกราไปแล้ว แล้วปล่อยให้เป็นไปตามกฎแห่งกรรมของตัวเองไม่ดื้อรั้นเพื่อส่วนร่วม
แต่ทักษิณฝืนกฎแห่งกรรม

ดังนั้น กำลังมีการใช้กฎหมู่เพื่อสร้างแรงกดดันจากแผนการถวายฎีกาให้ทักษิณ
แต่ขณะเดียวกันก็มีประชาชนอีกนับล้านๆ
ที่ต้องการเห็นนักการเมืองทุจริตคดโกงประเทศชาติต้องรับโทษตามขบวนการ
ยุติธรรมที่ได้สร้างความชัดเจนและเด่นชัดในพฤติกรรมชั่วของนักการเมืองเหล่า
นั้นและลงโทษไปแล้ว ก็อาจยื่นถวายฎีกาเช่นกัน แล้วอะไรจะเกิดขึ้น
ทำไมถึงต้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงรับภาระจากความผิดของคนคน
เดียวที่ผิดจริง
เพราะขณะเดียวกันนี้ก็ยังมีบุคคลกระทำผิดอยู่มากมายที่เป็นความผิด คดโกง
ขโมย ลักทรัพย์ ยักยอกทรัพย์ หรือการใช้อำนาจหน้าที่โกงเงินผู้อื่น
ก็ถูกพิพากษาลงโทษอยู่เป็นประจำวันไม่ต่างจากทักษิณ
และหากบุคคลเหล่านี้ต่างถวายฎีกากันบ้าง อะไรจะเกิดขึ้น

หากให้ผู้เขียนวิเคราะห์แผนการนี้แล้ว
ก็จะวิเคราะห์ว่ากลุ่มนิยมทักษิณหวังผล 2 ทางคือ 1.
เมื่อถวายฎีกาและได้รับพระราชทานอภัยโทษแล้ว
ทักษิณก็จะได้ประโยชน์จากการนี้อย่างมหาศาลในการดำเนินกลยุทธ์ทางจิตวิทยา
การเมืองว่า "ในหลวงยังทรงเมตตาเขาอยู่"
เพียงแค่นี้กระแสของผู้หลงใหลทักษิณก็จะยิ่งรุนแรงขึ้น 2.
หากมิทรงรับฎีกา และมีพระราชวินิจฉัยไม่พระราชทานอภัยโทษ กลุ่มอนาธิปไตย
ก็จะโจมตีว่า "ในหลวงไม่ทรงมีเมตตาต่อประชาชนซึ่งเคยเป็นนายกรัฐมนตรีรับสนองพระราชโองการต่างๆ"

จึงสรุปได้ว่ากลุ่มทักษิณผนวกกับพวกอนาธิปไตยหวังที่จะจาบจ้วงและ
ท้าทายพระราชอำนาจ
ที่สำคัญใช้ปทัสถานประชาชนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์เป็นเครื่องมือสร้างตัวชี้
วัดความนิยมในตัวเขาเพื่อกดดันสถาบันชาติ
พร้อมทั้งจงใจที่จะยั่วยุฝ่ายต่อต้านระบอบทักษิณให้ตอบโต้โดยมีสถาบันพระมหา
กษัตริย์เป็นตัวแปรในการวิพากษ์ทั้งสองกรณีทั้งได้รับพระราชทานอภัยโทษหรือ
ไม่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

ทั้ง หมดนี้จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ประชาชนทั้งปวงอย่าได้คิดคล้อยตามไปกับ
แนวกลยุทธ์นี้ เพราะคนทำเรื่องนี้เคยเป็นผู้ต้องโทษหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
และเป็นคนที่ธนาคารไม่เชื่อถือแล้ว


nidd.riddhagni@gmail.com

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000075054

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น