++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

10 เหตุสุญญากาศ : โอกาสหรือหายนะของชาติ

10 เหตุสุญญากาศ : โอกาสหรือหายนะของชาติ
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ


ท่านผู้อ่านที่เคารพ ผมขอเริ่มบทความวันนี้ด้วยการสนทนากับทุกๆ
ท่านเป็นส่วนตัวก่อน ผมอยากจะเลิกเขียนคอลัมน์นี้มานานแล้ว ทั้งๆ
ที่ผมชอบ แต่มีอะไรหลายอย่างที่ผมอยากเขียนและอยากอ่านมากกว่า
และผมน่าจะเลือกทำตามใจตัวเอง เพราะผมแก่แล้ว
หากประมาทเกินไปอาจจะหมดโอกาส

อีกประการหนึ่ง
ผมไม่อยากให้คอลัมน์ของผมเป็นอาวุธทำร้ายท่านผู้อ่านและประเทศชาติ
ผมอยากให้ข้อเขียนของผมทำลายความชั่วและการกระทำชั่วที่เป็นอันตรายต่อชาติ
แต่มีผู้อ่านจำนวนไม่น้อยเห็นตรงกันข้าม
จนกระทั่งผมกลายเป็นบุคคลสำคัญในกระบวนการล้มล้างรัฐบาลทักษิณ
และอยู่ในบัญชีล่าสังหารตอนต้นๆ ซะอีก ทั้งๆ ที่ผมไม่เคยทำอะไรเลย
นอกจากเขียนกับพูด

และการเขียนกับพูดของผมที่ไหนก็เหมือนกัน นั่นก็คือเปิดเผย
จริงใจ ไม่มีเรื่องส่วนตัวกับใคร
และขอร้องท่านผู้อ่านเสมอว่าโปรดใช้วิจารณญาณ
คัดค้านได้เต็มที่และไม่ต้องเชื่อผม

ชะรอยคุณภาพข้อเขียนของผมและคุณภาพของท่านผู้อ่านคงต่ำพอๆ กัน
เราจึงไม่สามารถสร้างผู้อ่านที่ดี และผู้เขียนที่ดีขึ้นได้ง่ายๆ
มีผู้อ่านหลายท่านที่ผมเห็นว่ามีแววในการเขียน
และมีความคิดเห็นแตกต่างกับผมอยู่บ่อยๆ ผมเห็นเป็นเรื่องที่ดี
จึงอ้อนวอนและเชื้อเชิญท่านเหล่านั้นให้ช่วยกันเขียน
เป็นผลให้คนอย่างคุณคนผ่านทาง และคุณทวิช
ซึ่งผมไม่เคยพบหรือรู้จักเป็นส่วนตัวเลย กลับถูกค่อนขอดเสียอีก
และผู้อ่านส่วนหนึ่งยังเลือกที่จะสรุปผิดๆ ทำนองเดียวกันตลอดเวลา
ไม่ว่าจะอ่านเรื่องอะไร

เอาละครับ ต่อไปนี้โปรดอ่านดีๆ เมื่ออ่านบทความนี้แล้ว
โปรดย้อนไปอ่านบทความ 5 ฉบับหลัง
ยกเว้นเรื่องวิทยาลัยประชาคมนานาชาติหนองคาย แล้วอย่าใจผิดอีก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง

เข้าใจผิดเรื่องที่ 1 จากบทความ "ทักษิณจะถึงฆาต
หากสุญญากาศเกิดเมื่อใด" โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า
ผมแช่งหรือยุให้คนไปฆ่าทักษิณ ผมไม่เห็นด้วยและคัดค้าน การที่ใครๆ
คิดจะยุหรือใช้อำนาจรัฐสังหารทักษิณหรือใครก็ตาม
ผมไม่เห็นด้วยการตั้งฆ่าหัวจับเป็นหรือจับตาย ไม่ว่าใครจะเป็นเจ้าของเงิน
ได้ยินเมื่อไรก็คัดค้านเมื่อนั้น แต่ผมเคยเขียน

"การล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทัศนะพุทธ" และ

"การล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมในทฤษฎีสัญญาประชาคม"
ในเดือนธันวาคม 2548
ยืนยันทฤษฎีว่าประชาชนมีสิทธิล้มล้างรัฐบาลที่ขาดความชอบธรรมได้
และผมได้เขียน "ทักษิณ แบลร์ : ใครจะไปก่อนกัน" ในเดือนกุมภาพันธ์ 2549
ทำนายว่าทักษิณกับแบลร์จะต้องไปก่อนหมดเทอมทั้งคู่
เพราะปัญหาการขาดความชอบธรรม

ผมเห็นด้วยที่กองทัพขับไล่รัฐบาลทักษิณ
แต่ผมไม่เห็นด้วยทหารปฏิวัติตั้งตนเองเป็นใหญ่
ไม่ว่าจะสั้นหรือยาวก็ตามโดยไม่สร้างความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
ผมเขียนวิจารณ์ คมช.ตั้งแต่สัปดาห์แรกจนถึงสัปดาห์สุดท้ายไม่ต่างกับที่ผมวิจารณ์ทักษิณ
สำหรับเรื่องทักษิณจะถึงฆาตนี้ผมต้องการปรามทักษิณให้หยุดเลิกกระทำการที่จะ
ก่อให้เกิดสุญญากาศครั้งใหญ่ อันจะเป็นอันตรายต่อบ้านเมือง จนกระทั่งใครๆ
ก็ทนไม่ได้จนต้องร่วมใจกันรุมกำจัดทักษิณ หากทักษิณเชื่อผม
คำทำนายของผมก็จะไม่เกิดขึ้น ผมอยากให้ทักษิณเชื่อผมสักครั้ง
อย่าเชื่อพวกที่หวังเกาะกินจนถอนตัวไม่ขึ้น
โอกาสที่ทักษิณจะพึ่งกฎหมายจะยังไม่ถึงกับศูนย์ทีเดียว
ทักษิณควรกลับไปอ่าน ทักษิณควรฉวยโอกาสพึ่งพระราชอำนาจ ในคิดถึงเมืองไทย
17 พ.ย. 48

เข้าใจผิดเรื่องที่ 2
คือเข้าใจผิดว่าผมคิดร้ายต้องการทำลายอภิสิทธิ์และพรรคประชาธิปัตย์
ความจริงผมอยากเห็นพรรคประชาธิปัตย์พัฒนาขึ้นเป็นพรรคการเมืองที่แท้จริง
เสียที พรรคอื่นๆ อีกสัก 2-3 พรรคจะได้มีโอกาสเกิดขึ้นบ้าง
เพราะพรรคบรรดามีอยู่ทุกวันนี้ล้วนแต่เป็นแก๊งเลือกตั้งน้ำเน่า
อาศัยนักสมัครผู้แทนซึ่งมีอยู่จริงๆ ไม่ถึง 1 พันคนจากผู้สมัคร 2 พันเศษๆ
พวกนี้ ชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือ เหมือนกระสือฝูงห่าลงหากิน นายยุวรัตน์
กมลเวชช ถึงขนาดบอกว่าต้องตัดสิทธิพวกนี้สัก 10
ปีเมืองไทยจึงจะเป็นประชาธิปไตยได้

ผมเองอยากยึดหลักการไม่ยึดตัวบุคคล
แต่ขณะนี้เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อพิเศษของการเมืองไทย
ระหว่างโอกาสกับหายนะโอกาสอยู่ที่อภิสิทธิ์จะต้องพึ่งพระราชอำนาจตามจารีต
ประชาธิปไตยและพึ่งส่วนร่วมของปวงชนชาวไทยอยู่ให้ครบเทอม
เพื่อทำการปฏิรูปนักการเมือง ปฎิรูปสภา ปฏิรูปรัฐบาล
ปฏิรูประบบราชการตามที่อภิสิทธิ์เคยพูดและเขียนไว้
การที่อภิสิทธิ์เขียนไว้แสดงไว้อภิสิทธิ์เข้าใจปัญหา
และมีความจริงใจอยากจะแก้ปัญหา สาเหตุที่ยังแก้ไม่ได้
ผมไม่เชื่อว่าอภิสิทธิ์หลงอำนาจหรือกลายเป็นน้ำเน่าเสียเอง
ผมเชื่อว่าอภิสิทธิ์ยังรอจังหวะและโอกาสให้เงื่อนไขของความเป็นไปได้พร้อม
กว่าเดิม พูดง่ายๆ ขณะนี้อภิสิทธิ์ยังมีอำนาจและกำลังไม่พอ
หากอภิสิทธิ์กล้าสักหน่อยเงื่อนไขอาจจะมาเร็วกว่าที่คิดก็ได้
ข้อสำคัญอย่าไปทำลายความรู้สึกดีๆ ของประชาชนเสียจนหมดก็แล้วกัน

ต่อไปนี้ ผมขอเสนอ 10 สาเหตุที่จะสร้างสุญญากาศ
เปิดทางให้เกิดโอกาสหรือหายนะแก่ประเทศ
แล้วแต่รัฐบาลและประชาชนจะเลือกอะไร

ผมจะยังไม่อธิบายให้ละเอียด จะขอยกมาเป็นข้อๆ
ให้ท่านผู้อ่านช่วยกันหาข้อมูลและออกความคิดเห็น
แต่ละข้อผมจะจับเอามาวิเคราะห์ คงจะได้ข้อละ 1 บทความพอดี ดังนี้

10 สาเหตุที่จะนำไปสู่สุญญากาศ

1. การเลือกตั้งซ่อมที่สกลนคร และศรีสะเกษ

2. วุฒิสภาคว่ำพ.ร.บ.ของรัฐบาล

3. ส.ส และส.ว.จำนวนมากจะถูกถอดถอน

4. ประชาชนจะเคลื่อนไหวลงชื่อถอดถอน ส.ส.บางประเภทที่ประพฤติเสื่อมเสีย

5. เอ็นจีโอและสหภาพฯ จะต่อต้านการแปรรูปรถไฟและอื่นๆ

6. การชุมนุมเสื้อแดงในวันที่ 27 มิถุนายน
และการปลุกระดมต่อเนื่องโดย DTV และทักษิณโฟนอิน

7. การเลือกตั้งซ่อมที่ไร้ความหมายอีกนับไม่ถ้วนครั้ง

8. การจับกุมผู้ต้องสงสัยลอบสังหารสนธิ

9. การตัดสินคดีของ คตส.และการกล่าวหา ครม.ปัจจุบันคอร์รัปชัน

10. เรื่อง 3 จังหวัดภาคใต้ เรื่องเขาพระวิหาร เกาะกูด
และเรื่องต่างประเทศอีกหลายประเด็น

ความหวัง

ความหวังสุดท้ายอาจจะอยู่ที่นายกรัฐมนตรีไม่ติดยึดอำนาจ
ไม่เป็นทาสของสูตรนั่งเรือให้โจรพาย
มีศรัทธาในพลังของปวงชนที่แท้จริงยิ่งกว่า ส.ส.และพรรคขายตัว

ข้อ สำคัญ นายกรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯ เป็นประจำ เข้าใจ เคารพ
และสามารถพึ่งพระราชอำนาจในระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริงของพระบาทสมเด็จพระ
เจ้าอยู่หัว
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000074966


กราบเรียน ท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างสูง

กราบขอบพระคุณครับท่าน อาจารย์ที่เป็นห่วงว่า ผมถูกค่อนขอดไปด้วย
เรื่องธรรมดาครับ ขนาดท่านอาจารย์ทำความดีเพื่อชาติบ้านเมืองมานาน
ก็ยังมีคนไม่เข้าใจ สำมะหาอะไรกับผมคนรุ่นกลางเก่ากลางใหม่
ที่เพิ่งจะมีโอกาสมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในคอลัมน์ของท่านอาจารย์
ในสังคมที่ชอบตามกระแส เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นการโกงเป็นเรื่องปกติ
สังคมที่คนส่วนใหญ่ถ้าไม่ติดชั่ว ก็ติดดี ในสังคมที่มันมืดมัว
เมื่อมีแสงสว่างสักนิด คนก็ฮือฮาพอใจแล้ว เพราะฉะนั้นมีคนดีนิดหน่อย
เพียงแค่ซื่อสัตย์สุจริต ป้องกันโกงกินทุจริตได้เป็นรายวัน
ประนีประนอมกับคนชั่วอ้างเพื่อความสงบชั่วคราว
แต่ขาดความกล้าหาญในการทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อชาติบ้านเมืองให้อยู่นานถึงวัน
ข้างหน้า ทั้งในเรื่องระบบความยุติธรรม
ยุทธศาสตร์เรื่องความอยู่รอดของประชาชนและบ้านเมืองในระยะยาว
อย่างเรื่องน้ำ เรื่องพลังงาน เรื่องสนามบินสุวรรณภูมิ
เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ที่ไม่เคยแสดงศักยภาพหรือความมีวิสัยทัศน์อย่างที่อวดอ้างกันแต่อย่างใด
คนส่วนใหญ่กลับชื่นชมโอบอุ้มกันเหมือนสิ่งมหัศจรรย์ คนพันธ์หายาก นับว่า
เป็นกรณีที่ต้องศึกษา

มาตรฐานของคนดีที่จะมาทำงานให้ชาติบ้านเมือง นี้ ดูเหมือนมันจะต่ำลง
ในขณะที่มาตรฐานของความชั่วมันสูงขึ้น เพราะคนชั่วมันหน้าด้าน
(ความกล้าหาญของคนชั่ว = ความหน้าด้าน) ทำได้ทุกอย่างทั้งโกงกิน
ทั้งล้างผลาญบ้านเมือง อย่างไม่เกรงกลัวหรือสะเทิ้นอาย
กลายเป็นความฉลาดโก้เก๋เท่ห์ เป็นตัวอย่างทำตามกัน
เมื่อสังคมที่มาตรฐานของความดีและความชั่ว มันสูง-ต่ำตาละปัตรกลับกัน
คนที่มีสติปัญญาย่อมเห็นว่า
ความเจริญรุ่งเรืองจะเกิดขึ้นในบ้านเมืองนี้ได้ยาก
มีแต่คนที่ประมาทขาดสติเท่านั้นที่ยังหลงเชื่อ หลงเพ้อว่า
เทวดาจะอวตารมาแก้ปัญหาของคน คนนั้นถ้าดีแต่หน้า ดีแต่วิชา
ดีแต่พูดจาคำคม แต่ไม่กล้าหาญที่ทำความดีอันยิ่งใหญ่ เพื่อสวนกระแสชั่ว
ก็เหมือนคนดีเพียงตัว เพียงแค่คอยปัดความชั่วไม่ให้ระเคืองกาย
คงไม่ต่างจากคนดี ๆ ธรรมดา
แต่ในเมื่ออ้างอวดอาสาเสนอตัวเพื่อออกมาจะนำพาคนหมู่ใหญ่ให้พ้นภัย
นี่ก็เลยเวลามาเนิ่นนาน จนเริ่มเห็นผลของความอ่อนแอในสัจจะ
ถ้าคิดจะเป็นคนยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ขอให้เงยหน้าขึ้นไปดูองค์ต้นแบบที่ทรงประกาศเมื่อกว่า 60 ปีว่า
"เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม"
แล้วให้เดินตามรอยพระบาทของพระองค์ท่าน ไปอย่างไม่ต้องลังเล
ถ้าวันนี้ความกล้าหาญในความดีเอาชนะความหน้าด้านของความชั่วไม่ได้
ในวันข้างหน้าก็จะไม่มีที่ให้คนดี ๆ ธรรมดาหน้าไหน
ขึ้นมายืนเสนอหน้าอยู่ท่ามกลางความชั่วได้อีกต่อไป

ตอนนี้สถานการณ์ ทุกอย่างในบ้านเมืองนี้มันก็จะไหลลงต่ำไปตามเหตุปัจจัย
ผมเองเดาเอาว่า เกมการเมืองครั้งนี้ ทรราชทักษิณคงไม่น่าจะมีผลอะไร
เพราะจะให้กลับมาใหญ่อย่างเดิมคงยาก ทั้งปัจจัยภายในที่มีทั้งมิตรทรยศ
ทหารคิดคดหวังเป็นใหญ่ ที่มีขุมกำลังมากมาย
คงไม่ยอมให้กลับมาใหญ่ได้ดังเดิม เพราะไม่อย่างนั้นตนเองก็จะไม่มีที่ยืน
ที่อยู่ ส่วนปัจจัยภายนอกในสายตาของต่างชาตินั้นก็หมดค่าราคาเหมือนคนบ้าโรคจิตไป
แล้ว แต่ที่ผมสงสัยคือ มันเอาเงินมาจากไหนมามากมาย
หรือว่ามีประเทศใดหนุนหลัง ให้ปั่นป่วนบ้านเมืองให้วุ่นวายไปนาน ๆ
ถ้าท่านนายก ฯ ยังบริหารบ้านเมือง เหมือนบริหารเวลา คือ
ปล่อยให้เวลามันบริหารคน เหมือนอย่างเช่น รอให้ ผบ. ตร.
ที่ไร้ประสิทธิภาพมันเกษียณไปเองแบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น
กู้เงินกันมาอีกมากมายแต่นายก ฯ ต้องมาสกัดการโกงกินเป็นรายเรื่อง
ก็คอยดูกันว่า บ้านเมืองจะไปทางไหน

ผมนะเชื่อเหมือนท่านอาจารย์ว่า "อภิสิทธิ์ยังมีอำนาจและกำลังไม่พอ"
(คราวนี้ไม่เห็นแย้งครับ) แล้วอำนาจและกำลังนั้นมันจะมาจากไหน
ในเมื่อท่านนายก ฯ ก็ไม่ใช่ทหารที่จะมีอาวุธเป็นอำนาจและกำลังหนุนหลัง
เหลือเพียงอย่างเดียวก็ต้องใช้ "กำลังของความดี"
แต่ต้องไม่ใช่ความดีธรรมดา แต่ต้องเป็น "กำลังความดีที่ต้องกล้าหาญ"
ที่มันจะทำให้ยิ่งใหญ่ ให้มีบารมี ถึงจะนำพาประเทศนี้ให้พ้นภัยไปได้
ไม่เช่นนั้นก็จะถูกคนชั่วมันทับกลืนหมด ตอนที่ประเทศนี้ได้นายก ฯ คนใหม่
คนถึงกับเชียร์ยกย่องว่า นี่คือ โอบาร์มาร์คเพื่อเทียบกับโอบาร์ม่าร์
ซึ่งเป็นผู้นำที่จะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงที่ดี ถึงทุกวันนี้โอบาร์ม่าร์
ได้พยายามทำทุกอย่างทั้งปฏิรูประบบการรักษาสุขภาพ การป้องกันโลกร้อน
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และหลายอย่างเป็นรูปเป็นร่างเห็นทิศทางชัดเจน
แน่นอน คงต้องมีคนเถียงว่า ประเทศเขาไม่มีปัญหาการเมืองเหมือนบ้านเรานี่
แต่คงลืมไปว่า ประเทศเขาเป็นประเทศใหญ่และมีปัญหาหมักหมมสะสมมานานพอสมควร
ภาระจึงหนักอึ้งไม่น้อยเช่นกัน
ถ้าโอบาร์มา่ร์แก้ไขไม่ได้ประเทศนี้ที่เป็นมหาอำนาจอาจจะล้มพังครืนเอาง่าย
ๆ ประเทศเขาก็มีชื่อเสียง ความยิ่งใหญ่ และภาระสำคัญที่เหมือนประเทศเรา
คือความอยู่รอดในวันข้างหน้าเป็นเดิมพันเหมือนกัน
และเมื่อมีคนวิพากย์วิจารณ์ติติงการทำงานของโอบาร์มาร์
ยังไม่เห็นผู้นำประเทศเขาตอบประชาชนว่า "ทำมันไม่ง่ายเหมือนพูด"
เพราะเขารู้ตัวเองว่า อาสามาทำไม่ใช่อาสามาพูด

ทางสว่างที่ท่าน อาจารย์ชี้ทางให้คนตาบอดนั้น น่าจะลำบากครับ
คงมองไม่เห็น เหมือนอย่างเช่น การเข้าเฝ้าองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คงคิดแบบตื้น ๆ ว่า จะเป็นการดึงเอาพระองค์ท่านมาแปดเปื้อนกับการเมือง
หรืออาจจะกลัวว่า คนเขาจะนินทาว่า
ไปดึงเอาพระองค์ท่านมาเป็นเกราะป้องกันตัว
เหตุผลในประการแรกนั้นคงลืมไปกระมังว่า
พระองค์ท่านยังทรงเป็นประมุขของประเทศ
แม้แต่ประเทศที่เขาเจริญแล้วอย่างประเทศที่ท่านนายก ฯ
โตมาอย่างอังกฤษที่ท่านอาจารย์ยกตัวอย่างมาให้ดู เขาก็ยังทำเป็นประเพณี
และยิ่งองค์พระมหากษัตริย์ของแผ่นดินนี้
แม้แต่นานาชาติยังยกย่องให้เป็นกษัตริย์ที่ยอดยิ่งของโลก
นั่นเป็นเพราะนักปราชญ์ทั้งหลายต่างทึ่งในพระปัญญาบารมี
ในการแก้ไขปัญหาให้บ้านเมืองและประชาชนได้อย่างมากมาย ทั้ง ๆ
ที่มีพระราชอำนาจอย่างจำกัด
ถ้านึกไม่ออกก็ไปศึกษาโครงการในพระราชดำริทั้งหลาย
ดูแนวพระราชดำริในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาแต่ละเรื่อง
แนวทางเหล่านี้ล้วนเป็นขุมทรัพย์ที่นำมาประยุกต์ใช้แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง
ไม่ใช่รอให้คนในบ้านเมืองนี้เลือดตกยางออก ถึงไปขอพระราชทานความช่วยเหลือ
และถ้าเพราะเกรงเหตุผลในประการที่สอง ก็คงสำคัญตัวผิดอย่างมาก
การที่จะเข้าเฝ้ากราบทูลงานราชการแผ่นดินกับพระองค์ท่าน
ไม่ได้ทำให้ใครมีอภิสิทธิ์เหนือคุณธรรม ความถูกต้องใด ๆ
กลับเป็นสิ่งที่ผู้กระทำนั้นต้องพึงระมัดระวังตัว
เสมือนหนึ่งศิษย์ที่ต้องสำรวมกายและจิตเมื่ออยู่กับครูบาอาจารย์ที่สูงด้วย
คุณธรรม คนดีคนกล้า คนที่หวังความเจริญของชีวิต
ย่อมไม่กลัวการเข้าหาท่านผู้ทรงปัญญาและคุณธรรมฉันใดก็ฉันนั้น
แต่ถ้าไม่ใช่ทั้งสองเหตุผล ก็คงต้องกลับไปคิดกันเองครับว่า
คนที่กลัวการเข้าหาผู้ทรงปัญญาและคุณธรรมเป็นคนแบบใด
คนผ่านทาง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น