++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ประเทศไทยต้องเปลี่ยนทิศทางพัฒนา

โดย สิริอัญญา 19 กรกฎาคม 2552 15:35 น.
ต้องขอแสดงความยินดีกับคณะกรรมการชุดใหม่ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคม
แห่งชาติ แม้ว่ายังไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนักกับคุณสมบัติของกรรมการบางคนซึ่งเคยมี
เรื่องอื้อฉาวมาแต่ก่อน

กรรมการบางคนที่ได้รับแต่งตั้งเคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสถาบันการ
เงินที่ถูกปิดกิจการ เพราะมีการทุจริตในช่วงวิกฤตการเงินปี 2540
จนต้องใช้เงินภาษีของประชาชนเข้าไปชดเชยและถึงวันนี้ก็ยังชำระหนี้ไม่เสร็จ

แต่ เอาล่ะ การทำงานโดยคณะก็ต้องพิจารณาในภาพรวมของคณะ
และก็พอจะวางใจผู้เป็นกรรมการส่วนใหญ่ได้
แต่ถึงกระนั้นก็จำเป็นจะต้องกล่าวถึงบทบาทในสถานการณ์ใหม่ของสภาพัฒนาการ
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติสักครั้งหนึ่ง

เพราะหน่วยงานนี้มีความสำคัญ
เป็นมันสมองในการกำหนดทิศทางพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ
ซึ่งได้ทำต่อเนื่องมานับถึงวันนี้เป็นเวลาร่วม 50 ปีแล้ว
ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในประเทศไทยอันเป็นผลจากการวางแผนของหน่วยงานแห่งนี้
ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมเป็นอย่างไร
มีความอุดมสมบูรณ์เพียงพอที่จะชี้ผิดถูกได้แล้ว

จึงอยากจะขอให้คณะกรรมการชุดใหม่เปิดใจให้กว้าง
แล้วฟังเหตุฟังผลและต้นสายปลายเหตุที่ไปที่มา
เพื่อร่วมกันพิจารณาอนาคตของประเทศ
เพื่ออาณาประโยชน์ร่วมกันของประชาชาติไทยทั้งมวล

ประเทศ ไทยของเรานี้เคยมีการวางแผนกำหนดทิศทางพัฒนาประเทศมาก่อนแล้ว
อย่างน้อยที่สุดที่เด่นชัดคือในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

คราวนั้นทรงวางทิศทางพัฒนาประเทศไทยโดยสอดคล้องกับความเป็นจริงของ
ประเทศไทยและคนไทย
มุ่งเป้าประสงค์ต่อความเจริญรุ่งเรืองของประเทศชาติและความร่มเย็นเป็นสุข
ของอาณาราษฎร

แนวทางหรือทิศทางพัฒนาประเทศไทยที่ทรงกำหนดขึ้นคือ
สภาพของประเทศไทยนั้นจะต้องพัฒนาไปเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรม
เพราะจะทำเกษตรกรรมธรรมชาติอย่างเดียวไม่ได้
เนื่องจากไม่มีชาติไหนมั่งคั่งหรืออยู่รอดได้เพราะทำเกษตรกรรมธรรมชาติ
แต่จะทำอุตสาหกรรมก็ไม่ได้เพราะประเทศไทยไม่มีปัจจัยใดๆ เลย
ไม่ว่าเครื่องจักร วัตถุดิบ โนฮาว ทุน เทคโนโลยี ตลาด
จึงต้องพึ่งพาจมูกคนอื่นหายใจตลอดไป
ดังนั้นความเหมาะสมที่สุดคือต้องแปรรูปภาคเกษตรเป็นเกษตรอุตสาหกรรม

อีกด้านหนึ่ง ทรงเล็งเห็นว่าประเทศไทยเป็นแหล่งทรัพยากร
การท่องเที่ยว และบริการที่ล้ำเลิศของโลก
มีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติมากหลาย มีวัฒนธรรมประเพณีอันดีงาม
และคนไทยมีจิตใจโอบอ้อมอารี
มีขีดความสามารถที่จะทำงานบริการทุกชนิดด้วยจิตใจบริการอันยอดเยี่ยม
จึงเหมาะสมที่จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการ

ดัง นั้นธงชัยใหญ่ในการพัฒนาประเทศในยุคนั้นจึงมีถึง 2 ผืน
คือแนวทางพัฒนาประเทศเป็นประเทศเกษตรอุตสาหกรรมภาคหนึ่ง
และแนวทางพัฒนาประเทศเป็นประเทศอุตสาหกรรมบริการอีกภาคหนึ่ง

ผลจากการดำเนินพระบรมราโชบายที่ว่านี้
สยามได้พัฒนาก้าวหน้ากลายเป็นประเทศที่ก้าวหน้าและรุ่งเรืองมากที่สุดใน
เอเชีย เศรษฐกิจของประเทศรุ่งเรืองเฟื่องฟู ค่าเงินบาทแข็งแกร่งที่สุด
มีอัตราแลกเปลี่ยน 1 บาทเท่ากับ 2 ปอนด์สเตอริง
นานาประเทศในย่านนี้ล้วนชื่นชมยินดีและส่งผู้คนมาเล่าเรียนงาน
ราษฎรสยามอยู่ดีมีสุขถ้วนหน้า

ครั้นมีการก่อตั้งสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
ก็มีการจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 1 ขึ้น
และจัดทำต่อเนื่องกันมานับถึงปัจจุบันร่วม 10 ฉบับแล้ว

แผนพัฒนาฯ
ตั้งแต่ฉบับแรกได้ล้มเลิกธงชัยอันศักดิ์สิทธิ์ของรัชกาลที่ 5
ที่นำพาสยามและราษฎรให้รุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างไม่ไยดี
หันเหทิศทางของประเทศไปสู่ทิศทางหายนะที่ทรงเคยชี้ไว้
คือพัฒนาประเทศเป็นประเทศอุตสาหกรรม

นับ แต่นั้นมาได้มีการจัดตั้งองค์กรและหน่วยงานของรัฐ
จัดระบบภาษีอากรและกำหนดอภิสิทธิ์มากหลายเพื่อให้รองรับกับการลงทุนในภาค
อุตสาหกรรม ในขณะที่ภาคเกษตรอุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมบริการถูกทอดทิ้ง
ไร้การเหลียวแลอีกต่อไป

50 ปีมาแล้ว
จากดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟูมั่งคั่งเกือบจะที่สุดในเอเชีย
กลายเป็นประเทศที่ต้องยืมจมูกชาติอื่นหายใจ มีหนี้สินพะรุงพะรัง
ที่ไม่รู้จะชดใช้หนี้ถึงชั้นลูกหลานเหลนโหลนหมดหรือไม่ ผืนดิน แผ่นน้ำ
และอากาศ เต็มไปด้วยมลพิษเป็นพิษ
ในขณะที่จิตใจประชาชนเกรอะกรังไปด้วยความคิดริษยาเบียดเบียนกัน
และเกิดความแตกแยกร้าวฉานขนานใหญ่ในบ้านเมือง

ความมั่งคั่งของชาติถูกทำลายยับเยิน และก้าวสู่หนทางหายนะ
รายได้ของประเทศจากการผลิตภาคเกษตรและจากการท่องเที่ยวมีจำนวนไม่ถึงครึ่ง
หนึ่งของรายจ่ายของประเทศ คือการนำเข้าพลังงาน ซึ่ง 80%
หมดไปกับการขนส่งทางรถยนต์
และยังจะเดินหน้าไปสู่ความหายนะที่หนักขึ้นไปอีก

วันนี้ชาติบ้านเมืองตกอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจจากผลกระทบของเศรษฐกิจโลก
ภาคอุตสาหกรรมที่ทำนุบำรุงมาอย่างผิดๆ กำลังก้าวสู่หายนะ
คงเหลือแต่ภาคเกษตรที่ค้ำจุนชาติบ้านเมืองให้อยู่รอดปลอดภัยได้ถึงวันนี้

มิหนำซ้ำ ทรัพย์สมบัติของชาติมากหลาย ไม่ว่าธนาคาร สถาบันการเงิน
และรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนสิทธิในอวกาศ ในอากาศ บนดิน ในน้ำ
กลับถูกเฉือนขายให้กับต่างชาติไปเป็นลำดับๆ
จนเกือบจะสิ้นไร้ไม้ตอกอยู่แล้ว

เพียง พอหรือยังที่จะพร้อมใจกันประกาศว่า
จะต้องยุติการเดินหนทางผิด แล้วตั้งต้นสัมมาทิฐิเสียใหม่
ด้วยการอัญเชิญพระบรมราโชบายในการกำหนดทิศทางพัฒนาประเทศไทยของล้นเกล้า
รัชกาลที่ 5 มาใช้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ประเทศไทยของเราจะต้องหยุดการเดินหนทางอุตสาหกรรมอย่างบ้าคลั่งเสีย
ที และต้องหันเหไปสู่ทิศทางที่จะสร้างความรุ่งเรืองเฟื่องฟูมั่งคั่งให้แก่
ประเทศชาติ ตามที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางไว้อีกครั้งหนึ่ง

นั่นคือการกำหนดแนวทางพัฒนาประเทศไปสู่ความเป็นชาติมหาอำนาจทางเกษตร
อุตสาหกรรม และอุตสาหกรรมบริการ
ซึ่งประเทศไทยและคนไทยมีพื้นฐานที่มั่งคั่งที่สุดในโลก

ในการดำเนินสู่ทิศทางสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางเกษตรอุตสาหกรรมนั้น
จะต้องวางเข็มมุ่งในด้านการวางแผนและปรับปรุงการผลิตใหม่
และรองรับด้วยการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรอย่างทั่วด้าน
จัดระบบการขนส่งระบบรางรองรับการขนส่งและขนถ่ายสินค้าในภาคนี้อย่างทั่วถึง
ทั้งประเทศ ฟื้นฟูปรับปรุงพัฒนาและสร้างสรรค์แหล่งน้ำใหม่
ให้มีอัตราปริมาณน้ำใกล้เคียงหรือเท่ากับที่เคยมีอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 5

องค์กรของรัฐ ระบบกฎหมาย สิทธิพิเศษทางภาษี
จะต้องรองรับกับการสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางเกษตรอุตสาหกรรม
รวมทั้งการจัดตั้งกองทัพเศรษฐกิจแห่งชาติ
เพื่อนำพาผลิตผลของชาติออกสู่โลกกว้าง
โดยสอดคล้องกับสภาพประเทศไทยที่เป็นอู่ข้าวอู่น้ำและคลังธัญญาหารใหญ่ของโลก
ซึ่งเหมาะสมกับยุคสมัยที่กำลังเข้าสู่ยุคช่วงชิงทรัพยากรและอาหารในศตวรรษ
ใหม่นี้

ในการดำเนินสู่ทิศทางสร้างชาติเป็นมหาอำนาจทางอุตสาหกรรมบริการนั้น
จะต้องวางเข็มมุ่งในด้านการวางแผนและปรับปรุงทรัพยากรพื้นฐานด้านบริการของ
ประเทศอย่างทั่วด้าน ฟื้นฟู สร้างและเพิ่มทรัพยากรท่องเที่ยวทั้งบนดิน
ในแม่น้ำลำคลอง ในทะเล และป่าเขา ฟื้นฟูวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของไทย
ตลอดจนงานสถาปัตยกรรมทั้งปวง ตลอดจนการฟื้นฟู
อนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาด้านบริการในภาคบริการของไทยอย่างทั่วด้านให้
สอดคล้องต้องกัน งานศิลป์ งานช่าง ศิลปกรรมดนตรี สถาปัตยกรรม
การนวดแผนไทย การแพทย์แผนไทย จะต้องได้รับการส่งเสริมสนับสนุน
และต้องรองรับด้วยระบบการขนส่งในทุกทาง ทุกมิติ
เพื่อนำพาประชากรโลกเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย

จะต้องวางเข็มมุ่งที่เด่นชัด
กำหนดให้ประชาชาติทั่วโลกคือนักท่องเที่ยวของประเทศไทย
ทุกตารางนิ้วของประเทศไทยคือแหล่งท่องเที่ยวของชาวโลก
ผลผลิตและบริการทุกด้านของประเทศคือแหล่งที่มารายได้หลักของชาติ
ที่จะทำให้ชาติสามารถอยู่รอดปลอดภัยอย่างยั่งยืนและมั่งคั่งได้ในทุกกาล

ไม่ต้องคลุ้มคลั่งอยู่กับอัตราขึ้นลงของดอกเบี้ย
และดัชนีขึ้นลงของตลาดหุ้น หรือสภาวะเงินเฟ้อเงินฝืด
ตลอดจนวิกฤตและโอกาสทางเศรษฐกิจของระบอบทุนที่เน่าเฟะอีกต่อไป

เราจะต้องหยุดสภาพการยืมจมูกชาติอื่นหายใจไว้ในทันที แล้วค่อยๆ
เริ่มต้นยืนบนขาของตนเอง ใช้สติปัญญาความสามารถของคนไทยและภูมิปัญญาอื่นๆ
ในโลกมารับใช้ชาติของเรา
ฟื้นฟูประเทศไทยขึ้นมาใหม่ให้รุ่งเรืองเฟื่องฟูและยิ่งใหญ่ในบูรพา
และอาณาประชาราษฎรร่มเย็นเป็นสุขเหมือนที่เคยเป็นมาแล้วเมื่อ 150 ปีก่อน

คณะ กรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติเอย!
พวกท่านมีความกล้าหาญและองอาจเพียงพอที่จะคิดเก่าทำใหม่
ดำเนินตามรอยพระบาทสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า
พระมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ของชาติเราหรือไม่เล่า?

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081459


เรียนคุณ สิริอัญญา
ผมทำงานด้านการพัฒนาชนบทแล้วสะท้อนใจแผนเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
และรับบาลทุกชุดที่ผ่านมา
ไม่เคยสนองพระราชดำริของในหลวงเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงที่เป็นปรัญชาซึ่งได้
ประยุกต์จากพระบรมราโชบายขอพระอัยกาเจ้าเลย
ผลปรากฎดังเช่นปัจจุบันตามที่คุณสิริอัญญาบอกเลย
ผมขอเสนอสิ่งแรกที่ต้องทำคือเลิกใช้แผนเศรษฐิกิจและสังคมและยุบสภาพัฒฯ
ซะแล้วยกระดับศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริยกขึ้นเป็น
สำนักที่ขึ้นกับสำนักนายกฯ
แทนและออกแผนศรษฐกิจพอเพียงและทฤษฎีใหม่แห่งชาติมาใช้แทนและให้ทุกกระทรวงทำ
งานร่วมกันแบบบูรณาการร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ขยายผลตามแนวโครงการพระราชดำริไปทั่วประเทศ
มีการศึกษาวิจัยอย่างจริงจังโดยสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคประชาชน
เพื่อนำโครงการตามแนวพระราชดำริไปใช้ทั่วประเทศ
ขณะที่เศรษฐกิจภาคการเงินการคลังก็จัดการปรับระบบไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจ
ต่างชาติมากเกินไป ทำเท่าที่ทำได้โดยทุกอย่างตั้งอยู่บนผลประโยชน์ของชาติ
แต่เหนืออื่นใดสิ่งที่ต้องทำอันดับแรก คือ ทำการเมืองใหม่ให้เป็นจริง
ให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ได้ไม่ให้มีอำนาจอีกต่อไป
ถึงทำได้
เห็นด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น