++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

แก่อายุกับ แก่ร่างกาย

อันที่จริงผมตั้งใจจะเขียนเรื่องความแก่ หรือความชราเป็นเรื่องใหญ่ เพราะ สิ่งหนึ่ง ที่รู้สึก อยู่ตลอดเวลาก็คือ เป็นเรื่องของตัวเอง โดยตรง เพราะอายุก็มากแล้ว (77) ถ้า เขียนเรื่อง ความแก่ ซึ่งเป็นเรื่องของตัวเองโดยตรง ก็คงจะเขียนได้ดี อาศัยความรู้ทางวิชาการ และการแพทย์ ที่ได้ร่ำเรียนมา ผสมกับ ประสบการณ์ของตัวเอง คงจะเขียน เป็นเรื่องใหญ่ และเรื่องที่ดีได้พอสมควร จึงได้รอมานานว่าสบโอกาส เหมาะเมื่อไหร่ก็จะได้เขียนทันที แต่โอกาสเหมาะ ที่ว่านั้นก็ยังไม่มาถึงสักที

มาถึงตอนนี้และขณะนี้ จะรอไว้โอกาสเหมาะก็รอไม่ได้ เพราะผมเพิ่งไปงานศพของ เพื่อนรุ่นน้องซึ่งอายุไล่เลี่ยกันมาหยกๆ ทำให้ ประจักษ์ความจริงว่า เพื่อนๆทั้งที่รู้จักและไม่รู้จัก แต่ก็เป็นเพื่อนร่วมโลกหรือร่วมรุ่นนั้น มีอยู่ มากมาย ถ้าจะเขียนก็ต้องรีบเขียนเสียเดี๋ยวนี้ อย่ารอโอกาสที่จะได้เขียนเป็นเรื่องใหญ่อยู่เลย เรื่องเล็กๆสั้นๆแต่เป็นความรู้แท้จริง นับเป็นประโยชน์แก่คนทั่วไปได้ทุกเมื่อ ที่ออกจะเสียดายแต่มันก็เป็นความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็คือว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางเพื่อน ฝูงหรือคนที่รู้จักรุ่นราวคราวเดียวกันเหล่านี้ โดยเฉพาะพบกันในงานศพ คำพูดที่ได้ยินหรือ ถูกถามเป็นประจำก็คือ “เออ ทราบข่าววิสูตร บ้างหรือเปล่า” ถ้าคำตอบว่า “ไม่ทราบเลย” ก็มักจะเป็นคำบอกเล่าต่อมาเองว่า “ตายเสียแล้ว เมื่ออาทิตย์ก่อนนี้เอง” และคำบอกเล่าแนวเดียวกันก็จะหลุดมาจากเพื่อนๆอีกคนว่า “เอ ก็พบกันเมื่อปลายเดือน ที่แล้ว ก็ยังดูดีอยู่นี่นา” คำพูดและคำปรารภทำนองนี้ได้ยินอยู่ เสมอ ในกลุ่มหรือชมรมของเพื่อนๆรุ่นเดียวกันในงานศพ ที่น่าเสียดายก็คือ นานๆพบกันทีน่าจะมีเรื่องอื่นๆที่น่าสนใจนอกเหนือไปจากความตาย ซึ่งผมเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาๆมาพูดมาคุยกันบ้าง ในเรื่องของความแก่เพราะอายุนั้น เราเชื่อกันมานานว่า พออายุครบ 60 ก็แสดงว่าแก่ ใช้งานไม่ได้แล้ว พวกที่ทำงานจึงมักจะถูกฝ่ายบริษัทหรือ ที่ทำงานราชการบังคับ ให้เกษียณตัวเอง เดี๋ยวนี้บางแห่งเขาให้เกษียณก่อนอายุตั้งแต่อายุ 55 ด้วยซ้ำ นั่นแปลว่า อายุ 55 เขาก็เห็นว่าแก่งั่กใช้การไม่ได้แล้ว เขาให้ออกจากที่ทำงานไปอยู่บ้าน หรือไม่ก็เลี้ยงหลาน พาหลานไปส่งไปรับที่โรงเรียนไปพลางๆ ดูชีวิตช่างไร้ ประโยชน์เร็วเสียนี่กระไร แล้วจะทำอย่างไร กับคนที่เกษียณแล้วแต่ยังมีอายุจนถึง 85 ปี เกือบร้อยปีหรือกว่าร้อยปีก็มี อย่างสตรีเอเชีย ซึ่งถือไว้ว่าเป็นผู้นำแห่งตำนานคนหนึ่งของโลก คือ มาดามเจียงไคเช็ค ภรรยาของผู้นำจีนสมัยหนึ่ง ก็เพิ่งจะถึงแก่กรรมเมื่ออาทิตย์ก่อน เธอมีอายุถึง 106 ปี นับว่าเป็นผู้มีอายุยืนมากคนหนึ่ง นับวันผู้ที่โลกเขาเรียกว่าเป็นคนแก่อายุยืนก็จะมีจำนวนมากขึ้นทุกที ยิ่งคนแก่แต่ยังดูหนุ่มสาวแข็งแรงระหว่างอายุ 60-70 นี้ เดี๋ยวนี้ทั่วโลกมีจำนวนมากนับได้ กว่า 100 ล้านคน (สถิติในอเมริกา ปี 1990 มีคน อายุถึง 65 ปี ประมาณ 25 ล้านคน และเมื่อถึง ปี 2040 จะมีประมาณ 44 ล้านคน) แล้วคนเหล่านี้ก่อนที่เขาจะอายุครบเกษียณ 55 หรือ 60 ปี นั้น เขารู้ตัวล่วงหน้าหรือเปล่าว่า เขาจะเกษียณ และจะเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อพบกับความแก่ชรา และชีวิตของคนเกษียณอย่างไร ส่วนมากจะตอบว่าไม่ได้เตรียม เขาจะเหมือนกับคนที่อยู่บ้านบนภูเขาสูง วันหนึ่งเมื่อเปิด ประตูบ้านออกมาก็พบว่ามีหุบเหวอยู่หน้าบ้านยาวและลึกสุดลูกหูลูกตา คงจะเป็นเพราะจำนวนคนแก่อายุยืนมีจำนวนมากขึ้นเช่นนี้เอง จึงมีตำราเกี่ยวแก่การดูแลคนแก่ ให้แข็งแรงและมีชีวิตชีวาสดชื่น เกิดขึ้นมากมายในระยะ 20 ปีให้หลังมานี้ วิชาการเกี่ยวแก่สุขภาพของคนชราในสมัยหลังนี้ ที่เรียกกันว่า GERONTOLOGY นั้นนับวันก็จะมี สภาพเหมือนกับการชุบชีวิตผู้ชราให้กลับกลายเป็นหนุ่ม เป็นสาวมากมายขึ้นทุกวัน ในช่วงสั้นๆของการเขียนถึงเรื่องผู้สูงอายุ และการทำตัวให้เป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น มีโปรแกรมซึ่งผมอยากจะเอามาคุยกันเป็นการอุ่นเครื่องก่อน ที่จะเขียนเรื่องเกี่ยวกับ การฟื้นฟูชีวิตและสุขภาพของผู้สูงอายุโดยละเอียดต่อไป

เขาแบ่งโปรแกรมสำหรับผู้สูงอายุไว้ 3 หลักการด้วยกันคือ

1. หลักการแรกเกี่ยวแก่อาหารและสารอาหารสำหรับผู้สูงอายุ แม้จะมุ่งไปในด้านสุขภาพ โดยทั่วไป แต่ เป้าหมายที่สูงกว่านั้น ก็คือ ต้องการให้ผู้สูง อายุ นอกจากจะแข็งแรง สุขภาพสมบูรณ์แล้ว ยังจะต้อง “ดูดี” ด้วย“ดูดี” ก็คือรูปร่าง หน้าตาสง่าผ่าเผย ดูยังหนุ่มสาวกว่าอายุจริง และจุดที่สำคัญต้องไม่อ้วนหรือน้ำหนักเกิน

2. ในด้านของจิตใจจะต้องเป็นคนแจ่มใสร่าเริงและมองดูโลกในแง่บวก รวมทั้งจะต้องมีงานจริงหรืองานอดิเรกที่เป็นงานสร้างสรรค์ด้วย

3. รักษาสภาพของร่างกายให้ฟิต ว่องไว กระตือรือร้น ในขณะเดียวกันก็สามารถผ่อนคลาย และพักผ่อนได้มากพอสมควรพร้อมกันไปด้วย สำหรับคำถามสำหรับ 3 หลักการนี้ ก็คือว่า การจะเปลี่ยนแปลงไม่ให้เกิดความแก่ แต่ ให้เปลี่ยนเป็นการรักษาความหนุ่มความสาวไว้ ได้ตลอดกาลนั้น เป็นไปได้หรือไม่ คำตอบซึ่งถือว่าเป็นคำตอบที่ตรงตามสัจธรรมทั่วโลกก็คือ การห้ามไม่ให้ความแก่ชรา เกิดขึ้นได้นั้น ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ความแก่ ชราเป็นเรื่องของความจริง เป็นสัจธรรมที่จะ เกิดขึ้นแก่คนทุกคน แต่กระนั้นก็ตาม ด้วยการศึกษาทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์อย่างละเอียดลึกซึ้ง เราสามารถชะลอความแก่ความชราได้ นี่คือคำตอบ ที่มั่นคงของนายแพทย์คาลตัน เฟรดเดอริค และ เฮอร์มัน กู้ดแมน แห่งมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน และได้รับคำยืนยันจากศาสตราจารย์ เอลิเนอร์ นอส วิทนีย์ ผู้เชี่ยวชาญด้าน CLINICAL NUTRITION แห่งมหาวิทยาลัยฟลอริดา โดยเฉพาะในด้านการแพทย์โภชนบำบัดนั้น ศาสตราจารย์วิทนีย์ได้ทำการค้นคว้าและ รายงานว่า อาหารประเภท NUTRIENT หรือ สารอาหารที่ดีนั้น นอกจากจะรักษาโรคภัย ไข้เจ็บต่างๆ ได้แล้ว ยังสามารถชะลอความแก่ชรา และทำให้กลับกลายเป็นหนุ่ม เป็นสาวขึ้นมาอย่างทันตาเห็น และอีกเหมือนกัน นายแพทย์เฟรดเดอริค ก็มีหลักฐานการค้นคว้าซึ่งได้ระบุว่า “เฉพาะ ผู้ชราหรือสูงอายุนั้น เคล็ดลับซึ่งสำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือ การดื่มน้ำมากๆ การดื่มน้ำ มากๆ ประมาณวันละ 6-8 แก้ว จะช่วยชะลอความแก่ได้แน่นอน” ยังมีเคล็ดลับในการชะลอความแก่อีกมากมาย ซึ่งผมจะได้ทยอยนำมาคุยกันเป็นตอนๆต่อไป คุณที่เป็นหนุ่มเป็นสาวก็อ่านได้ ประโยชน์ดีนะครับ เพราะหนุ่มสาววันนี้ก็คือ คนแก่ชราวันหน้า.

แก่อายุหมายความว่า เป็นอายุตาม ตัวเลข ถามว่าอายุเท่าไหร่ ตอบว่า 70 คนฟัง ก็มักจะอุทานว่า โอ้โฮ อายุมากแล้วนะ แต่มักจะไม่มีใครพูด ต่อว่า ไม่น่าเชื่อ อายุ 70 แต่ ยังดูหนุ่มเหมือน 50 อยู่เลย นั่นคือแก่ตามอายุ

ถามว่าอายุเท่าไหร่ ตอบว่า 40 คนฟังจะทำ หน้างงๆ แล้วพูดซ้ำอีกว่า 40 หรือครับ ตอบว่าครับ คนฟังก็ยังหน้างงๆอีกเช่นเดิม และด้วยความเกรงใจก็จะไปพูดลับหลังว่า นึกว่าอายุสัก 60 นั่นคือแก่ร่างกาย ถ้าเป็นประเภทแรก อายุก็เป็นแต่เพียงตัวเลข ร่างกายหาแก่ไปตามอายุไม่ แต่ประเภทหลังนี้ อายุน้อย แต่หน้าตาและรูปร่างดูแก่เกินตัว ประเภทหลังนี้ต้องหมายเหตุไว้ ในใจว่า สุขภาพไม่สมบูรณ์ ดูแก่หง่อมเกินอายุ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้เขียนเป็นเชิงปรารภ ไว้ว่า จะเขียนเรื่องความแก่แบบคร่าวๆสั้นๆก่อน และจะหาโอกาสเขียนโดยละเอียดทีหลัง เพราะความแก่นำไปสู่ความตายหรืออายุสั้น แก่และตายมักจะคู่กัน ถ้าเขียนโดยละเอียดก็ต้องเขียนให้เข้าใจว่าแก่อย่างไร และจะตายอย่างไร

ขณะนี้ขอเขียนหัวข้อสั้นๆไว้ก่อนว่า จะ ป้องกันความแก่หรือชะลอความแก่ได้อย่างไร? ได้วางหลักการไว้ 3 ประการถึงวิธีชะลอความแก่คือ

1. เรื่องอาหาร
2. เรื่องจิตใจ
3. สภาพของร่างกาย

ฉบับที่แล้วได้ทิ้งท้ายไว้เรื่องน้ำ ซึ่งถือว่า เป็นส่วนหนึ่งของอาหาร ได้บอกไว้ว่า ควรจะ กินน้ำวันละ 6-8 แก้ว กินมากกว่านั้นไม่ได้หรือ? เคยเห็นมีการชักชวนหรือ “เห่อ” กันอยู่พักหนึ่งว่า “กินน้ำรักษาโรคได้” ถึงกับมีการแนะนำกัน ทางคอลัมน์หนังสือพิมพ์ดังฉบับหนึ่ง เมื่อหลายปีมาแล้ว บอกว่า ตื่นเช้าขึ้นมาให้ดื่มน้ำ อย่างน้อย 5 แก้ว อ้างกันว่า จะทำให้ขับถ่ายสบาย หายจากโรคภัยต่างๆได้หลายโรค ทั้งยังทำให้สุขภาพอนามัยดี ดูเป็นหนุ่มเป็นสาวได้ด้วย ขอวิจารณ์ตามนี้เลยนะครับว่า เลิกเสียเถิด ดื่มน้ำตอนเช้าอย่างน้อย 5 แก้วนั้น ไม่ดีเลย ขอให้ศึกษา เรื่องระบบย่อย ของคนเราสักนิดนะครับ ปกติเราย่อยในปากก่อน ต่อจากนั้นย่อยในกระเพาะ และขั้นสุดท้ายเราจะย่อยในลำไส้ ในลำไส้เมื่อย่อยแล้ว อาหารจะถูกดูดซึมเข้าไปในระบบเลือด และเลือดจะนำอาหารที่ย่อยแล้ว (อาหารที่ย่อยแล้วเรียกว่า นิวเทรียนท์ NU-TRIENT) ไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ตอนเช้าเมื่อตื่นขึ้นมา ท้องกำลังว่าง หมายความว่า อาหารต่างๆย่อยหมดแล้ว น้ำจะ ผ่านจากปากไปสู่กระเพาะ และลำไส้อย่างรวดเร็ว และน้ำที่อยู่ในลำไส้จะถูกดูดซึมเข้าไป ในกระแสโลหิต โดยเหตุที่เป็นน้ำเฉยๆ ไม่มี สารอาหารปะปนอยู่เลย เมื่อน้ำถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือด ก็จะทำให้เลือดจาง และถ้าบังเอิญคุณเป็นคนอ้วน หรือมีอาการ ค่อนไปทางเบาหวาน และส่วนมากคนเป็นเบาหวาน มักจะชอบกินรสจัด เอาเรื่องเค็ม อย่างเดียว น้ำที่กิน เข้าไปก็จะถูกกักในร่างกาย เพราะร่างกายต้องการน้ำขัง ในร่างกายเพื่อช่วยระบายความเค็ม น้ำอยู่ในตัวมากๆก็เลยทำให้บวม เริ่มแรกขาบวม หน้าบวม ต่อไปก็บวมทั้งตัว ไตก็ทำงานหนัก เมื่อไตงานหนัก หัวใจก็พลอยทำงานหนักไปด้วย จำเคล็ดลับไว้สักนิดนะครับว่า หัวใจและ ไตนั้นมักจะทำงานคู่กัน หัวใจเป็นอะไร ไตก็แย่ตามไปด้วย ไตเป็นอะไร หัวใจก็แย่ตามอีกเช่นกัน จำหลักอันนี้ไว้นะครับ ฉะนั้นอย่ากินน้ำมากเกินไปตอนเช้าและก็อย่ากินมากเกินไปตลอดวันด้วย เคยเห็นบางคน ตั้งตัวเป็นอาจารย์ เอาตำราผีบอก หรือตำราเมือง จีนมาจากไหนก็ไม่ทราบ มาแนะนำกลุ่มผู้สูงอายุ ของโรงพยาบาลบางแห่ง ให้กินน้ำวันละ 3-5 ลิตร สงสารคนแก่ครับ บวมไปทั้งตัว ช็อกหัวใจ เกือบจะวายตาย ฉะนั้นกินน้ำตลอดทั้งวัน ประมาณ 6-8 แก้ว กำลังดีครับ อย่าให้เกินกว่านั้นเลย แล้วกินน้อยไปเป็นอย่างไร? ไม่ดีอีกนั่นแหละครับ กินน้ำน้อยทำให้ เลือดข้น เลือดข้นก็ทำให้ การไหลเวียนของโลหิต ช้า และมักจะมีอาการเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่ได้ ผู้ชราจริงๆ คือชราทั้งอายุและร่างกาย จะ เกิดอาการอัมพาต หรือหลงๆลืมๆได้ เพราะถ้า เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ได้ เซลล์สมองก็จะตาย ส่วนใดส่วนหนึ่งของสมองทำงานไม่ได้ ก็จะกระทบไปหมดทั้งร่างกาย เพราะสมองส่วนต่างๆ มีหน้าที่ควบคุมส่วนต่างๆของร่างกาย ยิ่งอาการ หลงลืมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ก็จะมีอาการเหมือนตายทั้งเป็น ผมเคยดูแลคนไข้บางคน อายุยังน้อยอยู่ เลยครับ ห้าสิบกว่าๆเท่านั้นเอง แต่มีอาการทาง สมอง ความจำเสื่อม เป็นโรคอัลไซเมอร์ จำอะไร ไม่ได้ แม้แต่ชื่อตัวเอง เวลาถ่ายก็ไม่รู้ตัว ถ่ายออกมาแล้วก็ละเลงเละที่นอน นอนจมอุจจาระอยู่อย่างนั้น เห็นแล้วน่าเวทนาอย่างที่สุด เพราะฉะนั้นดื่มน้ำแต่ละวันดื่มให้พอดีคือระหว่าง 6-8 แก้ว เป็นปริมาณที่เหมาะที่สุด อยู่แล้ว ยกเว้นในหน้าร้อนในเมืองไทย ถ้าอยู่ กลางแจ้ง หรือทำงานหนักเหงื่อออกมาก ก็จะกินน้ำมากอย่างนั้นไม่เป็นไรครับ และก็ยังยืนยันว่ากินน้ำนั้น อย่ากินรวด เดียว แต่ควรจะเฉลี่ยตลอดทั้งวันให้สัดส่วนพอดีกัน มีข้อแนะนำนิดหนึ่งครับเกี่ยวกับเรื่องนํ้าอ่อน ซึ่งบางท้องถิ่น แถบภูเขา หรือทะเลสาบ น้ำจืด มักจะมีน้ำประเภทที่เรียกว่า น้ำอ่อน (SOFT WATER) วิธีดูน้ำอ่อนหรือไม่ ดูเวลาอาบน้ำถูตัว ล้างสบู่ มักจะไม่ค่อยออกตามน้ำ ต้องราดน้ำ หลายหน ถูตัวหลายหน สบู่จึงจะออกจากตัว นั่นแหละครับ คือน้ำอ่อน ถ้าท้องถิ่นนั้น เอาน้ำอ่อนมาเป็นน้ำดื่ม มีข้อแนะนำว่า ให้เอาเกลือเติมสักสองช้อนโต๊ะ ต่อน้ำหนึ่งแกลลอน และต้องเป็นเกลือทะเลด้วยนะครับ เกลือสินเธาว์ใช้ไม่ได้

แก่อายุกับ แก่ร่างกาย ได้แบ่งหัวข้อวิธีรักษาความเป็น หนุ่มเป็นสาวและ วิธีชะลอความแก่ไว้ 2 ตอนแล้วนะครับ คุณๆที่ติดใจกลัว จะแก่เร็วก็กรุณาย้อน กลับไปดู 2 ตอนของอาทิตย์ที่ผ่านมาแล้ว และ เฉพาะอาทิตย์นี้และอาทิตย์ต่อๆไป ก็ตัดเก็บไว้ รวมกันนะครับ เพราะ ตอนพูดถึงอาหารชะลอ ความแก่นี้ คงจะยาวสักหน่อย ขออธิบายไว้เป็นตอนสั้นๆ แต่ละตอนเรื่อง ความแก่ไว้ด้วยนะครับ จะมีข้อความเกี่ยวกับความแก่ แต่ละอาทิตย์ไม่เหมือนกัน

อาทิตย์นี้ขอย้ำข้อความสำคัญอีกข้อหนึ่งว่า “ความเจ็บไข้ได้ป่วยกับความแก่นั้นไม่เหมือนกัน” เจ็บไข้ได้ป่วยนั้นเพราะเราติดเชื้อโรค หรือเชื้อโรคเข้ามาสู่ตัวเรา เราจึงป่วย ป่วยตอนนี้ ป่วยเพราะติดเชื้อโรค ไม่ใช่ป่วยเพราะความแก่ แต่ความแก่นั้น เกิดขึ้นเพราะความเสื่อม ของร่างกาย ร่างกายก็เหมือนรถยนต์แหละครับ พออายุมากขึ้น ร่างกายก็เสื่อมเหมือนเครื่องยนต์ พอเก่าและใช้งานมากมันก็ต้องเสื่อม และพังไปในที่สุด

คำถามสำคัญตอนนี้ก็คือว่า เริ่มอายุเท่าไหร่เล่าครับที่ร่างกายจะต้องเสื่อม ตามตำราของวิชา GERONTOLOGY หรือการแพทย์แขนงหนึ่งเกี่ยวกับ วิชาการว่าด้วยความแก่หรือความเสื่อมโทรม ของร่างกายระบุไว้ว่า พออายุเลย 20 ปีไปแล้ว ร่างกายของคุณจะเริ่มเสื่อม ดูจากอะไรว่าส่วนไหนของร่างกาย หรือตอนไหนที่มันจะเสื่อม คำตอบโดยกว้างๆแบบจะคุยกันแบบชาวบ้านก็คือให้ดู 2 อย่าง คือ

1. METABOLISM ต้องขออภัยครับที่ต้องใช้ภาษาวิชาการ เพราะภาษาไทยจริงๆนั้นไม่มี มีแต่ความหมายกว้างๆว่า คือการที่เรากินอาหารเข้าไปแล้วถูกย่อยกลายเป็น สารอาหาร แล้วสารอาหารถูกนำไปเลี้ยงทุกเซลล์ของร่างกาย และถ้ามีการสึกหรอหรือเสื่อมลงสารอาหาร ก็จะทำให้ระบบต่างๆของร่างกายซ่อมตัวเองได้ และสารอาหารจะสร้างพลังให้กับร่างกาย เพื่อที่เราจะมีแรง มีพลังทำงาน เคลื่อนไหวและออกแรงได้ ตามความพอใจของเรา ขบวนการตั้งแต่ต้นของการกินอาหารแล้วสร้างพลังให้แก่เรา ลงเอยด้วยการขับ ของเสียออกจากร่างกาย ขบวนการเช่นนี้เรียกว่า METABOLISM และขบวนการ นี้เกิดขึ้นได้เพราะ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี หรือเพราะปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกายของเรา

2. ร่างกายทั้งหมดจะกำหนดว่าเราต้องมีพลังเท่าไหร่ หรือต้องการพลังจากสารอาหารเท่าไหร่ เราจึงจะมีชีวิตอยู่ได้ ออกแรงและเคลื่อนไหวได้ตามปกติ พลังหรือแรงเช่นนี้ เรียกว่า CALORY

ในหัวข้อของข้อ 1 และข้อ 2 นี้ ตามตำรา ของการชะลอความแก่ระบุไว้ว่า ในข้อ 1. ขบวนการ METABOLISM จะทำงานช้าลงเมื่ออายุเกิน 20 ปีไปแล้ว ในข้อ 2 ความต้องการ CALORY หรือหน่วยพลังงานของร่างกายจะน้อยลงประมาณ 8% ของทุกๆ 10 ปี เฉพาะในข้อสองนี้ สมมติว่า เมื่อนาย ก. อายุ 20 ปี แต่ละวันเขาจะต้องใช้พลังงานประมาณ วันละ 3,500 แคลอรี แต่เมื่ออายุ 30 ปี เขาจะต้องการเพียง 3,150 แคลอรี และเมื่ออายุ 50 ปี เขาจะต้องการเพียง 2,450 แคลอรีเท่านั้น ส่วนเหตุผลข้อที่ 1. ที่ขบวนการของ METABOLISM จะทำงานช้าลงนั้น จะเห็นตัวอย่าง ของนักกีฬา เช่น นักมวย นักเทนนิส เป็นต้น นักมวย อายุประมาณ 35 ปี มักจะต้องเกษียณตัวเอง เพราะเขาจะชกได้ช้าลง ยืดยาดและเปราะ กว่าเดิม ขืนชกไปก็มีหวังถูกน็อกเสียมวยไปตลอดกาล นักเทนนิสก็เหมือนกัน ดูอย่างพีท แซม-พราส แชมป์แกรนด์สแลมถึง 9 ปี ก็ต้องประกาศเกษียณ ตัวเองเมื่ออายุได้ 35 ปีเท่านั้น เพราะแข่งแพ้รุ่นเด็กกว่าเขาหลายครั้งแล้ว ส่วนคุณผู้หญิงนั้น จำนวนพลังของหน่วยแคลอรีในร่างกายนั้น จะต้องการน้อยกว่าผู้ชายมาก คือต้องการน้อยลง 10-15% หรือเกือบจะสองเท่าของผู้ชาย โดยเหตุนี้ เฉพาะคุณผู้หญิงจะอ้วนเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณผู้หญิงหมดประจำเดือนแล้ว จะอ้วนเร็วมาก ทั้งนี้เพราะใช้พลัง งานน้อยลงกว่าปกติ แต่ ในขณะเดียวกันยังกิน มากเหมือนเก่า จำนวนพลังงานขาเข้ากับขาออกไม่เท่ากัน เพราะพลังออกมีน้อย มีพลังเหลือเฟือสะสมใน ร่างกายมาก จึงทำให้อ้วนเร็วตอนประมาณอายุ 55 ปี โดยเหตุนี้ถ้าคุณจะรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาวและชะลอความแก่ไว้ได้ คุณต้องเตรียม โครงการและปฏิบัติตัวไว้ตั้งแต่อายุ 30 ปีเป็นต้นไป ก็คงจะมีคำถามและคำประท้วงจากเพื่อนๆหลายท่านที่เพิ่งจะอ่านคอลัมน์นี้ และขณะนี้อายุ 50-60 ปีแล้ว จะถาม (ถามด้วยความโกรธหรือเปล่าก็ไม่ทราบ) ว่า “ก็แล้วฉันอายุตั้ง 50 กว่าแล้ว จะให้ฉันทำอย่างไรดีล่ะ” ขอตอบด้วยความรักใคร่ฉันเพื่อนสนิทจริงๆครับว่า “ไม่ต้องกลัว อายุเท่าไหร่ เราก็ปรับปรุง ตัวเองได้ ขอแต่ว่ารู้เดี๋ยวนี้ ก็ต้องปฏิบัติอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้ ช้าไม่ได้เป็น อันขาด” เอาล่ะครับ เรื่องอาหาร ขอเริ่มด้วยโปรตีนก่อน เดิมทีเราถูกสอนกันมาว่า “อาหารโปรตีนที่ดีนั้น ต้อง เนื้อ นม ไข่” ขอชักชวนให้เปลี่ยนเป็น “ไม่เอาเนื้อ นม ไข่ แต่ให้กินปลาแทน และควรเป็นปลาทะเล ด้วย ถ้าชอบกินปลาน้ำจืด ก็ควร จะเป็นอัตราปลาทะเล 2 ส่วนต่อปลาน้ำจืด 1 ส่วน” และการกินปลานั้น ให้กินเพียงอาทิตย์ ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 200 กรัม หรือประมาณ ครึ่งฝ่ามือเท่านั้น

แก่อายุกับ แก่ร่างกาย เมื่ออาทิตย์ที่แล้วได้ลงท้ายไว้ว่า อาหารประเภทโปรตีนนั้น สมัยก่อน เราถูกสอนให้ กินหนักเรื่อง เนื้อ-นม-ไข่ แต่ผมกลับชักชวนว่า ไม่เอาเนื้อ-นม-ไข่ แต่ให้กินปลาแทน และได้ขอผัดไว้ว่า อาทิตย์นี้จะอธิบายเหตุผลเกี่ยวกับการ ชักชวนให้กินปลา และขอแถมต่อจากอาทิตย์ที่แล้วนิด หนึ่งว่า ไม่ใช่แต่กินปลาอย่างเดียว แต่อาหารทะเล อื่นๆก็เอามาใช้ร่วมสังฆกรรมกับปลาได้ เหมือนกัน มีข้อแม้อยู่นิดว่า ถ้ากินปลาและอาหารทะเลแล้วละก็ สัดส่วนของปลาต่ออาหารทะเล นั้นควรจะเป็น 3 ต่อ 1 คือกินปลาให้มากกว่าอาหารทะเลอื่นๆสัก 3 เท่า ประเดี๋ยวจะอธิบายให้ละเอียดกว่านี้ครับ

ก่อนอื่นขออธิบายเรื่องโปรตีนก่อน โปรตีนเป็นอาหารสำคัญซึ่งให้พลังงาน ต่อร่างกาย มีความสำคัญต่อ การสร้างกล้ามเนื้อ-เลือด-ผิวหนัง-ผม-เล็บ-อวัยวะ ภายใน เมื่อพูดถึงกล้ามเนื้อ ก็รวมเรื่องเส้นเอ็นและกระดูกด้วยนะครับ ฉะนั้นเมื่อพูดย่อๆ ว่า โปรตีนสร้างกล้ามเนื้อ ก็หมายความว่า การที่เรามีเรี่ยวมีแรง เคลื่อนไหวได้ ทำงานได้ วิ่งได้ ออกกำลังกายได้ ทำงานยกของหนักเบาต่างๆได้ก็เพราะกล้ามเนื้อ สรุปว่าจะมีเรี่ยวมีแรงทำอะไรได้ก็เพราะอาหารกลุ่มโปรตีนนี่เอง นี่เป็นการสรุปความสำคัญของโปรตีนอย่างย่อๆ ถ้าจะเอารายละเอียดทางวิชาการด้านชีวเคมี ก็ต้องอธิบายว่า โปรตีนนั้นจะแตกตัวออกเป็น แอมมิโน แอซิค ซึ่งประกอบไปด้วย คาร์บอน- ไฮโดรเจน ไนโตรเจน ออกซิเจน และแร่ธาตุอีกหลายตัว ซึ่งรายละเอียดทางชีวเคมีนี้ ผมคิดว่าตัดออกก่อนดีกว่า เพราะจะพูดสั้นๆไม่ได้ ต้องยาว เหยียด เขียนกันเป็นเดือนๆปีๆเลยแหละครับ

ขอฝากไว้นิดหนึ่งว่า จะพูดถึงแร่ธาตุตัวหนึ่งในโปรตีน คือ ซัลเฟอร์ หรือกำมะถัน ในตอนท้ายๆของบทความเรื่องโปรตีนนี้ คุณผู้หญิงขอให้สนใจเป็นพิเศษนะครับ เพราะกำมะถันในโปรตีนนี้ เกี่ยวกับความสวยความงามของ คุณโดยตรง ขอย้อนกลับไปถึงข้อความ ที่ทิ้งไว้เก่าว่า ความนิยมเก่าๆ ชักชวนให้กินเนื้อ-นม-ไข่ แต่ให้กลับมากินปลาและอาหารทะเลแทน เพราะอะไร? เพราะเนื้อ (เนื้อ- หมู-ไก่) และนมนั้น คอเลสเทอรอล และไขมัน เลวมีมาก ได้พิสูจน์ทางวิชาการ และได้มีการศึกษาสรุปแล้วว่า เมื่อไขมันเลวสะสมอยู่ในร่างกายจะเป็นอันตรายก่อ ให้เกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือด เบาหวาน และโยงไปถึงมะเร็งได้ด้วย ส่วนไข่นั้น ถ้าเกิดจากไก่ซึ่งเลี้ยงแบบไทยๆ สมัยเก่า คือ ปล่อยให้วิ่งหากินตามลานบ้าน เป็นไก่ซึ่งเลี้ยงแบบธรรมชาติ ไข่ที่ออกมาก็น่าจะบริโภคได้โดยปราศจากอันตราย หรือมีอยู่พักหนึ่ง มีผู้ทำฟาร์มไก่โดยวิธีเลี้ยง แบบธรรมชาติ ไก่กินอาหารปลอดสารพิษ เรียกว่า เลี้ยงแบบออร์แกนิค (ORGANIC) ไข่ที่ออกมาก็น่าจะใช้ได้ เหมือนกัน แต่ไข่ประเภทนี้แพงกว่า ไข่ธรรมดาๆหลายเท่า มันจะกลายเป็นไข่พิษก็ตรงที่ราคานี่เอง ด้วยเหตุผลอย่างย่อๆ นี้เองแหละครับ จึงไม่สนับสนุนให้กินเนื้อ-นม-ไข่ แต่หันมาสนับสนุนให้ กินปลาและอาหารทะเลแทน เหตุผลข้อแรก เนื้อปลา ย่อยง่าย ปรุงเป็นอาหารก็ง่าย เปรียบเทียบกับกิน เนื้อ-นม-ไข่และสัตว์ปีกอื่นๆ แล้วคงจะไม่เจอกับคำว่า “เหนียว เคี้ยวไม่ออก” หรือ “เหนียว เคี้ยวไปเคี้ยวมา ฟันปลอมหลุดออกมาทั้งชุดเลยเป็นแน่” อย่าลืมว่า เรากำลังพูดถึงอาหารโปรตีนสำหรับ ผู้บริโภคทั่วไป และกำลังเน้นถึง “ผู้สูงอายุ” ด้วยนะครับ เหตุผลข้อต่อไป ปลามีน้ำมันดีและไขมัน ดี คือ OMEGA 3 ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อ การป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด ทั้งยังถือได้ว่าเป็นยาบำรุง ช่วยชะลอความแก่ ได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยล้างชำระไขมันเลว อย่างเช่นคอเลสเทอรอลให้ออกจากตัวเราได้เป็นอย่างดีด้วย เหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ในปลาและอาหารทะเล มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการเกือบจะครบ ร่างกายต้องการแร่ธาตุ 18 อย่าง (ไม่ใช่แร่ธาตุโลหะที่เอามาใช้ในอุตสาหกรรมนะครับ แต่เป็นแร่ธาตุซึ่งอยู่ในอาหารเกิดจากพืชและอาหารชนิดต่างๆ เรื่องแร่ธาตุนี้ คงจะต้องเขียนรายละเอียดเมื่อถึงจังหวะที่จะต้องอธิบายกันยืดยาวต่อไป) แร่ธาตุเหล่านี้มีความสำคัญต่อระบบเลือดของเราเป็นอย่างยิ่ง ปลาและอาหารทะเลจึงเป็นอาหารสำคัญต่อระบบเลือดและหัวใจของเรา แต่ก็มีข้อสงสัยและถูกถามมานานแล้วว่า ถ้าปลาเป็นประโยชน์ ต่อร่างกายจริงแล้ว ทำไมจึงแนะนำให้กินเพียงอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเท่านั้น เล่า และกินแต่ละครั้งก็ปริมาณน้อย ประมาณครึ่งฝ่ามือ หรือประมาณ 200 กรัมต่อครั้งเท่านั้นเอง ขอตอบว่า โปรตีนจากเนื้อสัตว์ แม้แต่จะเป็นปลาซึ่งมีไขมันดีอยู่มากนั้น ถ้ากินมากเกินไป ก็จะกลายเป็นโทษ โปรตีนมากเกินไปจะทำให้ สมดุล ของเหลวในร่างกายเปลี่ยนแปลง เกิดการเจ็บป่วยอย่างร้ายแรง เช่น เกิดอาการโรคไตวายขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้นจึงให้จำกัดว่ากินอาหารปลาและอาหารทะเลได้อาทิตย์ละประมาณ 1-2 ครั้งเท่านั้น แต่-ครับมีข้อแม้อีกเหมือนกัน สำหรับผู้มีอายุเกิน 50 ขึ้นไป และชีวิตประจำวันของท่าน หนักไปในทางออกกำลังกาย หรือทำงานในด้านใช้กำลังกายมากตลอดเวลา จะว่าเป็นคนสูงอายุที่แอ็กทีฟหรือกระฉับกระเฉงกว่าหนุ่มอายุ 30-40 ก็ว่าได้ ถ้าเป็นอย่างนี้ จะเพิ่มปลาและอาหารทะเล เป็นอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ก็ยังไหวนะครับ ขอพูดถึงโปรตีนชนิดอื่นๆด้วย เพื่อแก้ข้อสงสัยของบางท่านว่า ให้กินปลาเพียงอาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง แล้วอีก 5 วันในหนึ่งอาทิตย์นั้น ไม่ต้องกินโปรตีนเลยอย่างนั้นหรือ ขอตอบว่า ต้องกินโปรตีนทุกวันครับ แต่ ไม่ใช่โปรตีนจากปลาทั้งหมด เรายังมีอาหารอื่นๆอีกมากมายซึ่งมีโปรตีน โดยเฉพาะโปรตีนจากพืช คือพวกถั่วต่างๆ และผลิตผลโปรตีนจากพืช เช่น เต้าหู้ และโปรตีนเกษตร เป็นต้น ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง-ดำ นั้น ถั่วเหลืองจะเป็นพืชที่มีโปรตีนดีที่สุดและ มากที่สุด แต่ถั่วอื่นๆ ประเภทกินเล่น เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์นั้นต้องกินอย่างระมัด ระวัง กินแต่พอสมควร เพราะคอเลสเทอรอลสูง ถั่วกินเล่นอื่นๆ อย่างเช่น อัลมอนด์ นั้นดีมาก มีสารซึ่งช่วยกำจัดท็อกซินและฟรี แรดิคอล ได้ แต่ก็อย่ากินมากจนเกินเหตุ ขนาดวันละกระป๋อง หรือสองกระป๋องมากเกินไป ประเภทคล้ายถั่วกินเล่น แต่ไม่ใช่ถั่ว เช่น เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน นั้นก็ดีมากเช่นกัน กินเล่นๆวันละ และอย่างละ 1-2 กำมือ ก็จะได้ ทั้งความอร่อย และเป็นยารักษาโรคได้

แก่อายุกับ แก่ร่างกาย โปรตีน-กำมะถัน-ความไม่แก่กับความสวยความงาม กำมะถัน เป็นแร่ธาตุหนึ่งในสิบแปดตัว ซึ่งร่างกายต้องมี ขาดไม่ได้ เมื่ออาทิตย์ ที่แล้วพูดถึง กำมะถันที่มีอยู่ในโปรตีน ซึ่ง เป็นสารอาหารที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของ ร่างกา และได้บอกไว้ ด้วยว่ากำมะถันมี ส่วนสร้างความสวยงามให้กับร่างกาย ด้วย

รู้สึกคุณผู้หญิงที่เป็นแฟนของชีวจิตทำท่า กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเลยเชียวนะ ครับ พอไทยรัฐฉบับที่แล้วบางแห่งวาง ตลาดแต่เย็นวันเสาร์ ท่านก็โทร.มาถามทันทีเลยว่า ไหนบอกว่า กำมะถันจะช่วยให้สวยให้งาม แล้วไม่บอกว่าจะกินอย่างไร กินที่ไหน และกินเท่าไหร่ แล้วมันจะ ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา (ยะ) ก็เลยต้องตอบไปว่า อดใจรอสักนิด ฉบับนี้จะตอบให้ทราบแน่นอน อย่าด่วนใจร้อนรีบไปซื้อกำมะถันอย่างเป็นก้อนเหลืองๆมากินเสียก่อนก็แล้วกัน

กำมะถันก้อนๆอย่างนั้นกินไม่ได้ กินเข้าไปก็เกิดฤทธิ์เดชถึงตายเชียวนะครับ กำมะถันที่จะกินได้นั้น ต้องเป็นกำมะถันที่อยู่ในอาหาร เช่น ในเนื้อสัตว์ หรือจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ ถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ เป็นต้น หรือมิฉะนั้น ก็เป็นอย่างที่เขาสกัดออกมาเป็นเม็ดเล็กๆ จะเรียกว่าเป็นยาก็ได้ เม็ดๆอย่างนี้เรียกว่า MSM หรือชื่อเต็มว่า METHYL SULFONY METHANE ซึ่งเป็นกำมะถัน แบบที่เรา เรียกว่า ORGANIC ใช้เป็นยาและเป็นอาหารได้ กำมะถันซึ่งว่าเป็นยาและเป็นอาหารนี้ หน้าที่คือช่วยการเจริญเติบโตของผม ผิวหนัง และเล็บ เป็นไปอย่างสมบูรณ์เต็มที่ ถ้าเกี่ยวกับผม ก็จะทำให้เส้นผมดกดำเป็นเงางาม ถ้าเป็นผิวหนัง ก็ทำให้ผิวหนังเต่งตึง ผิวพรรณสดใสและสดชื่น ถ้าเป็นเล็บก็ทำให้เล็บแข็งแรง ไม่แตก ไม่ฉีก และยังทำให้เล็บสีสวยดีด้วย (ยาทาเล็บไม่เกี่ยวนะ ครับ) ถ้าผม ผิวหนัง เล็บ มีอาการตรงกันข้าม คือ ผมแตก แห้ง บาง ผิวหนังแห้งแตกเป็นขุย แสบคัน บ่อยๆ เล็บแตกฉีก นั่นก็แปลว่า คุณขาดแร่ธาตุกำมะถันในอาหารที่คุณกิน และก็ทำให้ ร่างกาย คุณขาดแร่ธาตุกำมะถันตามไปด้วย นอกจากนั้นกำมะถันยังมีหน้าที่ช่วยการทำงานของสมองให้ดีขึ้น สมบูรณ์ ขึ้นด้วย ส่วนของ สมอง ซึ่งกำมะถันมีหน้าที่ต้องช่วยโดยตรงก็คือ NEUROTRANSMIT TER สมองส่วน นี้เป็นสารเคมีซึ่งมีหน้าที่ทำงานติดต่อเพื่อให้ สมองส่วนต่างๆติดต่อถึงกันได้และประสานกันได้ สมองทั้งหมดจะทำงานได้ฉับไว สมบูรณ์ เพียงไร ก็อยู่ที่ NEURO TRANSMITTER นี้ กำมะถันซึ่งมีส่วนช่วยให้ สมองทำงานได้ดี จึงมีความสำคัญต่อร่างกายหมดทั้งตัวของเราเลย ไม่เพียงแต่มีความสำคัญต่อสมองอย่างเดียว แต่ยังมีความสำคัญต่อการสร้างพลังและการเผา ผลาญของร่างกายด้วย ทั้งยังช่วยให้ตับขับน้ำดีออกมาช่วยย่อยอาหารให้กลายเป็นสารอาหารที่สำคัญอีกเช่นกัน สรุปแล้วกำมะถันเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้เกิดความสวยงาม มีเสน่ห์ (ผม-ผิวหนัง-เล็บ) และช่วยให้ระบบต่างๆของร่างกายได้ทำงานถูกต้อง ครบถ้วน ทำให้ร่างกายเกิดพลังและ แข็งแรง แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องไม่ใช่กำมะถันที่ใช้ในอุตสาหกรรม อย่างเป็นก้อนเหลืองๆนั้นใช้ไม่ได้ ต้องเป็นกำมะถัน ซึ่งเกิดในเนื้อสัตว์ และพืช ซึ่งเรียกว่า ORGANIC กำมะถันที่ใช้ในอุตสาห กรรมและเกษตรกรรมนั้น เป็นกำมะถัน แบบ INORGANIC ซึ่งกินเข้าไปไม่ได้ เพราะเป็นพิษ ต่อร่างกาย อาหารที่มีกำมะถันและเป็นประโยชน์ต่อร่างกายนั้นได้แก่ โปรตีนจากเนื้อสัตว์ และโปรตีนจาก พืช เช่น ถั่วต่างๆ เต้าหู้ ไข่ ปลา กะหล่ำปลี คะน้า บร็อคเคอรี่ ดอกกะหล่ำ บรัสเซล สเปร้าท์ (กะหล่ำปลีหัวเล็กๆ) กระเทียม สำหรับโปรตีนจากเนื้อสัตว์นั้น ชีวจิตแนะนำให้กินปลาและอาหารทะเลได้ เนื้อสัตว์อื่นๆไม่แนะ นำ เพราะมีท็อกซินมาก

ทีนี้ก็มาถึงคำถามว่า เมื่อแนะนำสารอาหารและอาหารที่เป็นประโยชน์ แล้ววิธีกินจะกินอย่างไร สัดส่วนเท่าไหร่ ก็ขอแนะนำอาหารและสัดส่วนดังนี้นะครับ

1. สูตรอาหารทั่วๆไป (หมายถึงสูตรสุขภาพ) นั้น แบ่งออกเป็น

ก. ข้าว-แป้ง ซึ่งไม่ขัดขาว เช่น ข้าว ขอให้เป็นข้าวซ้อมมือ-ข้าวแดง ถ้าเป็นขนมปัง ขอให้เป็น ขนมปังโฮลวีท ปริมาณของข้าว-แป้งแต่ละมื้อ 50%
ข. ผัก ปริมาณ 25%
ค. โปรตีน จากพืช เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ และเต้าหู้ ปริมาณ 15% ในปริมาณโปรตีน 15% นี้ให้กินปลาได้ อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง
ง. เบ็ดเตล็ด ได้แก่ เต้าเจี้ยวญี่ปุ่น (มิโซ่) สาหร่ายทะเล เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ผลไม้ ไม่หวาน เช่น มะละกอ พุทรา ฝรั่ง เป็นต้น ปริมาณ 10%
ในกรณีนี้ที่เจ้าตัวน้ำหนักมากเกินไป (อ้วน) ตามเนื้อตามตัวมีแต่ไขมัน กล้ามเนื้อไม่ค่อยมี ขอให้ เปลี่ยนสัดส่วนดังนี้ ข้าวหรือแป้ง 30% ผัก 35% โปรตีน 25% เบ็ดเตล็ด 10% ในกรณีที่ต้องการเพิ่มความสวยงามและความสมบูรณ์ของผม ผิวหนัง และเล็บให้มากขึ้น อย่า ลืมกินผักประเภทที่มีกำมะถันให้มากขึ้น (แนะนำไว้แล้วข้างบนนี้) และสัดส่วนของโปรตีน ซึ่ง เพิ่มเป็น 25% นี้ ให้เพิ่มการกินปลาและอาหารเป็น 3 ครั้ง ต่ออาทิตย์ได้ สำหรับผู้สูงอายุ (ตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป) ถ้าท่านอยู่ในสภาพพอดีๆ ไม่อ้วน ไม่ผอม ก็ใช้สูตร ธรรมดา ข้าว 50% ผัก 25% โปรตีน 15% เบ็ดเตล็ด 10% และขอให้เพิ่มปลาเป็นอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ส่วนท่านที่รูปร่างน้ำหนักมากเกินไปก็ใช้ สูตรสอง คือ ข้าว 30% ผัก 35% โปรตีน 25% และ เบ็ดเตล็ด 10% ปลาเพิ่มเป็น อาทิตย์ละ 3 ครั้ง และถ้าฟันของท่านไม่ค่อยดี เคี้ยวอาหารไม่สะดวก ขอให้ใช้อาหารอ่อน จะเป็นข้าวค่อนข้าง เปียกหรือข้าวต้ม ผักต้มทั้งหมด ส่วนปลานั้น เพิ่มเป็นอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ได้เช่นกัน

สูตรอาหารดังกล่าวแล้ว ไม่ใช่แต่เพื่อความสวยงามและสำหรับผู้สูงอายุเท่านั้น แม้แต่เด็กหรือ หนุ่มสาว ก็ใช้สูตรนี้ได้ทุกคน ที่อยากจะให้ปรับสูตรอาหารก็ให้ดูตามน้ำหนักและรูปร่างเท่านั้น ถ้ารูปร่างพอดีๆ ก็ใช้ สูตรหนึ่ง ถ้าน้ำหนักมากเกินไปก็ใช้ สูตรสอง และถ้าอยากจะให้เส้นผม ผิวหนังและเล็บสวยละก็ ก็ขอให้เพิ่มผักที่มีกำมะถันอยู่ด้วยให้มากกว่า ผักอย่างอื่น นอกเหนือไปจากนั้น เพื่อที่จะให้กำมะถันซึ่งอยู่ในอาหารทำงานได้ดีขึ้น ก็อยากจะให้เพิ่มวิตามิน B1, B6, B12 และ B COMPLEX อย่างละหนึ่งเม็ดวันละหนึ่งครั้งหลังอาหารเช้า ในขณะเดียวกันเพื่อให้เซลล์ต่างๆในร่างกายสดใสอยู่เสมอเท่ากับรักษาเซลล์ให้เป็นหนุ่มเป็น สาว ไม่แก่เร็ว ก็ควรจะใช้วิตามินประเภทแอนตี้ออกซิแดนท์ คือ วิตามิน A, C, D, E อย่างละ 1 เม็ด วันละหนึ่งครั้ง หลังอาหารเย็น และก็อย่าลืมออกกำลังกายทุกวันด้วยนะครับ อาหารที่ถูกต้อง ทำให้สวยงาม และดูเป็นหนุ่มเป็นสาว อยู่ได้นานๆทีเดียวแหละครับ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น