++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันอังคารที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2549

วิธีการแก้ปัญหาที่ผู้อื่นแก้ไม่ได้

จาก HOW TO BE TWICE AS SMART
โดย สก๊อตต์ วิทท์

การแก้ปัญหาที่คุณจะได้เรียนรู้ในโอกาสต่อไปนี้ จะเป็นวิธีที่ผิดแปลกไปจากที่คุณได้เคยเรียนรู้มา มันมิใช่วิธีเดียวกันกับที่คนส่วนมากนำมาใช้ในการแก้ปัญหา ทั้งนี้ เพราะคนส่วนมากนั้น มิใช่นักแก้ปัญหาที่ดีเท่าที่ควรจะเป็น

บุคคลซึ่งประสพความสำเร็จนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เป็นเพราะเขาเรียนรู้ถึงวิธีที่จะจัดการกับปัญหา ที่คู่แข่งขันของเขาไม่อาจจะแก้ได้ ซึ่งเทคนิคในการแก้ปัญหาเดียวกันนี้ ย่อมจะยังประโยชน์ให้กับคุณด้วย มันจะทำให้คุณสามารถมองเห็นหนทาง ที่จะแก้ไข ในขณะที่เพื่อนร่วมงานของคุณ มองไม่เห็นเลยโดยสิ้นเชิง และคุณก็จะได้รับผลรางวัลจากมัน

วิธีการแก้ปัญหาใดที่จะช่วยคุณได้


เทคนิคในการแก้ปัญหา ซึ่งจะได้อธิบายไว้ในบทนี้ และในบทต่อไป เป็นเทคนิคอันจะนำประโยชน์มาสู่คุณได้ทุกกรณี
photoตลอด เวลาที่ผมได้ใช้ชีวิตในการทำงาน ซึ่งเกี่ยวข้องอยู่กับการสัมภาษณ์ และได้สนทนากับบุคคลที่ประสพความสำเร็จในชีวิตทั้งหลาย ผมได้บันทึกความสามารถพิเศษของเขาเหล่านั้นลงไว้ และคุณจะมั่นใจได้เลยว่า ความสามารถในการแก้ปัญหาของเขาเหล่านั้น จะอยู่ในคุณสมบัติประการแรกเสมอ

จากการที่ผมได้ศึกษาทั้งในชีวิตส่วนตัว และชีวิตในการทำงานของบุคคลเหล่านี้ ทำให้ผมได้รับความรู้เกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ซึ่งคุณจะหาอ่านได้จากในเเอกสารนี้ ซึ่งผมมีความเห็นว่า ถ้าเทคนิคเหล่านี้ เคยอำนวยประโยชน์ให้กับผู้อื่นมาแล้ว มันก็ย่อมอำนวยประโยชน์ให้กับคุณได้เช่นกัน ดังนี้
  1. มันย่อมทำให้คุณสามารถเผชิญกับปัญหาได้โดยไม่ย่อท้อ และทำให้มันปราชัยไปได้โดยง่าย
  2. มันจะเป็นตราที่ประทับอยู่บนตัวคุณ แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ และการมีสายตาอันยาวไกล เพราะคุณสามารถจะลงมือปฏิบัติการได้ ในขณะที่ผู้อื่นยังตกอยู่ในภาวะวิตกกังวล
  3. มันจะช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้า ในหน้าที่การงานให้คุณอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลในการเลื่อนตำแหน่ง และการได้รับเงินเดือนขึ้น
  4. ช่วยให้คุณมีศักยภาพ ในการที่จะประสพความสำเร็จในธุรกิจได้ เพราะความสามารถอันยิ่งใหญ่ ในการผจญกับอุปสรรคที่ทำให้งานของคู่ต่อสู้ของคุณต้องช้าลง

การทำลายอุปสรรค 2 ประการ ที่สร้างความสับสนให้กับคนส่วนมาก


เมื่อผมบอกกับใครคนหนึ่งว่า มันมีวิธีการที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่ดีกว่าวิธีการที่พวกเขาใช้กันอยู่ ผมก็ได้รับการย้อนถามมาว่า "ใครละครับ ที่ต้องการวิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่านี้? เท่าที่ผมทำอยู่มันก็ดีอยู่แล้วนี่"

สิ่งที่คนเหล่านี้มิได้ตระหนัก และคุณเองก็อาจมิได้ตระหนัก ก็คือ ถ้า คุณมุ่งหน้าที่จะแก้ปัญหาที่มันยากลำบาก ด้วยวิธีการอันเป็นประเพณีนิยมหรืออีกนัยหนึ่ง ตามวิธีการที่ใครๆก็แก้กันแล้ว คุณจะต้องพบกับอุปสรรค 2 ประการ ที่เข้ามาขวางทางคุณได้ คือ
  1. การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด
  2. มีความมั่นใจที่ผิดพลาด
ซึ่งคุณจะได้เห็นถึงความสำคัญของอุปสรรค 2 ประการนี้ โดยเราจะพิจารณาในแต่ละข้อ เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่า คุณสามารถจะผ่านพ้นอุปสรรคนั้นไปได้ด้วยวิธีใด และจากนั้น เราจึงจะอธิบายไปถึงวิธีการต่อสู้กับปัญหาต่างๆที่เผชิญหน้าคุณอยู่

การขจัดอุปสรรคประการแรก :
แก้ไขความเข้าใจในข้อมูลที่ผิดพลาด และแก้ปัญหาที่ไม่อาจแก้ได้


คนส่วนมาก มักจะไม่คิดแก้ปัญหาทางด้านคณิตศาสตร์ ตามความคิดเห็นของคนส่วนใหญ่ แต่เป็นที่น่าแปลกใจอย่างยิ่ง ปัญหาจำนวนมากถูกแก้ด้วยวิธีเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าคุณต้องการรู้ผลบวกของเลขจำนวนหนึ่ง มีคน 4 คนบอกกับคุณว่า ผลลัพธ์ของมันคือ 4,397 แต่มีอีกคนหนึ่งกล่าวว่า มันจะต้องเป็น 4,398 จึงจะถูก คุณจะต้องไม่ยอมรับทั้งสองคำตอบ แม้ว่าคำตอบใดคำตอบหนึ่งจะถูกต้อง แต่คุณจะต้องลองบวกเลขจำนวนนั้นด้วยตนเอง

แต่เมื่อมาถึงเรื่องของปัญหา เรากลับยอมรับในข้อมูลที่มีผู้ส่งมาให้อย่างหน้าชื่น โดยที่ไม่ยอมตรวจสอบข้อมูลความเป็นจริงเสียก่อน แล้วเราก็มานั่งสงสัยว่า ทำไมเราจึงแก้ปัญหาได้ไม่สำเร็จ ในเมื่อข้อมูลไม่ถูกต้อง คุณก็ย่อมไม่มีทางจะแก้ปัญหาได้ หรือถ้าจะแก้ได้ ก็ต้องใช้เวลานานมาก

มีหนังสือพิมพ์ฉบับประจำวันอาทิตย์ฉบับหนึ่ง ซึ่งผมเคยอ่าน ได้ตีพิมพ์แผนผังของการเล่นหมากรุก ซึ่งมีการวางหมากตามตำแหน่งต่างๆ หลังจากที่ได้มีการเดินหมากไปแล้วระยะหนึ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับนี้ ได้ท้าทายผู้อ่าน ได้พิจารณาดูเกมนี้ แล้วจะเห็นว่า ถ้ามีการเดินหมากอีกเพียง 2 ตา ก็จะสามารถชนะได้ พร้อมกับตั้งคำถามว่า การเดินหมากนั้น ควรทำอย่างไร

ผมใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วโมงในวันอาทิตย์นั้น แต่ก็มองไม่เห็นทางที่เกมนี้จะชนะกันไปได้ ด้วยการเดินหมากเพียงแค่ 2 ตา ไม่ว่าจะทดลองเดินอย่างไร ผมก็ไม่อาจหาคำตอบได้ ผมถึงกับเอากระดานหมากรุกออกมา และตั้งตัวหมากลงตามแบบที่พิมพ์ไว้ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ช่วยอะไรเลย

ในที่สุดด้วยความหงุดหงิดใจ ผมก็มองดูวิธีการแก้ปัญหาที่พิมพ์ไว้ตรงท้ายหน้า และทันใดผมก็ได้เห็นว่า แผนผังการเดินหมากในตารางนั้นไม่ถูกต้อง เพราะมีหมากอยู่ตัวหนึ่ง ซึ่งวางอยู่ผิดตา เพราะการให้ข้อมูลที่ผิดพลาดนี่เอง ซึ่งทำให้ปริศนาดังกล่าวไม่อาจแก้ได้

กับปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงของคนเรา มันมิได้มีคำตอบที่พิมพ์ลงไว้ในท้ายหน้า คนบางคนต้องหาทางแก้เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือไม่ก็เป็นปี กว่าจะรู้ว่าตนเองได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือในบางครั้งก็ไม่รู้เลย

ตัวอย่างการแก้ปัญหา 3 เรื่อง


ในขณะที่คนบางคนกล่าวว่า การแก้ปัญหานั้น ในบางครั้งก็เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ นั่นหมายถึงว่า เขาได้ตั้งสมมติฐานอยู่บนข้อมูลที่เขามีอยู่ในมือ ซึ่งบางข้อมูลที่เขามีอยู่ หรืออาจจะทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ผิดพลาด ส่วนบุคคลที่มีข้อมูลอันถูกต้องอยู่ในมือ ย่อมสามารถจะแก้ปัญหาที่คนอื่นเห็นว่ายากได้โดยง่าย

photoความ สามารถในการแก้ปัญหาที่ยุ่งยาก หรือแม้แต่ปัญหาที่แก้ไม่ได้ เนื่องจากการได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เป็นสิ่งที่ข้องเกี่ยวอยู่ในชีวิต และหน้าที่การงานของผู้คนเป็นจำนวนมาก และต่อไปนี้ เป็นบางตัวอย่าง ของการแก้ปัญหา ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วยการอาศัยหลักความจริง

สแตน. อี พำนักอยู่ในท้องถิ่น ซึ่งอากาศจะมีความเค็มผสมอยู่มาก โดยเฉพาะในฤดูหนาว ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการเป็นสนิมขึ้นกับทั้งรถยนต์ และรถบรรทุก ผู้คนส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ในบริเวณเดียวกัน ยอมรับว่า การเป็นสนิมนั้น เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่สแตน ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทรถแท๊กซี่ ไม่เคยต้องประสบกัญหาในเรื่องของสนิมเลย ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
คำตอบก็คือ สแตน มิได้ยึดถือในข้อมูลผิดๆ ที่คนส่วนมากเชื่อถือกัน เขามีความรู้เกินกว่าที่จะเชื่อในทฤษฎีที่ว่า การเกิดสนิม จะมีมากขึ้นในระหว่างฤดูหนาว

เขารู้ว่าในทุกๆ 10 องศาที่อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเหนือจุดเยือกแข็ง อัตราของการผสมระหว่างธาตุกับก๊าซออกซิเจน จะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ซึ่งจุดนี้เป็นจุดสำคัญ เพราะการอ๊อกซ์เดชั่น ระหว่างธาตุ กับก๊าซออกซิเจน คือ กระบวนการที่ทำให้เกิดสนิม

คนส่วนมากที่อยู่บริเวณใกล้ชายทะเล ซึ่งมีความเค็มสูง จะล้างรถบ่อยครั้งในฤดูหนาว แต่พวกเขากลับแทบไม่ได้ล้างรถเลยในฤดูอื่นของปี ดังนั้น ด้วยการล้างรถตลอดฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน จึงทำให้สแตน สามารถขจัดปัญหาเรื่องสนิมให้หมดไปได้

เรื่องที่ 2 ในขณะที่ราคาค่าซื้อขายบ้านอันเป็นที่อยู่อาศัย เป็นปัญหาที่คู่สมรสมากมายหลายคู่ ซึ่งไม่มีโอกาสจะหลีกลี้ไปให้พ้นจากชีวิตที่ต้องเช่าบ้านอยู่ โจเอล กับ เกรซ เอ็น กลับได้พบวิธรการที่ดี
คู่สมรสส่วนมาก มักจะพบกับปัญหา ในการได้รับข้อมูลอย่างผิดพลาดที่ว่า การที่พวกเขาจะซื้อบ้านสักหลังหนึ่งนั้น จะทำได้ ก็ต่อเมื่อมีฐานะอยู่ในขั้นมีอันจะกินเท่านั้น แต่โจเอล กับเกรซ กลับสามารถแก้ปัญหาในการซื้อบ้าน และมีบ้านหลังเล็กๆ น่ารัก บนที่ดินครึ่งเอเคอร์ได้อย่างสบาย

ทั้งนี้ โดยโจเอล กับเกรซ ตกลงที่จะซื้อที่ดินทั้งหมด 10 เอเคอร์ และให้นายหน้าทำสัญญา ให้มีการแบ่งส่วนของที่ดินออกเป็นชิ้นๆ ละ 1/4 เอเคอร์ และให้ผู้ซื้อสามารถถือกรรมสิทธิ์ได้สองคน และแบ่งขายเสีนส่วนหนึ่ง ซึ่งเงินพิเศษที่ได้มาจากการนี้ สามารถทำให้เขาและเธอเอาไปดาวน์บ้านได้

เรื่องที่ 3 โรเจอร์ ดับบลิว เป็นสมุห์บัญชีของบริษัทขายเครื่องมือก่อสร้างแห่งหนึ่ง เขาสามารถจะช่วยบริษัทไว้ให้พ้นจากการล้มละลายได้ ด้วยการหารายได้แบบใหม่เข้าบริษัท เนื่องจากบริษัทดังกล่าว มีเครื่องจักรกลขนาดใหญ่อยู่หลายชิ้น และบางชิ้น ก็ได้แต่ตั้งอยู่ในบริษัทเช่นนั้น ทั้งนี้ เพราะเจ้าของบริษัทได้รับข้อมูลที่ผิดพลาดว่า เครื่องมือขนาดใหญ่เหล่านั้น ในปัจจุบันไม่มีผู้นิยมใช้แล้ว

แต่โรเจอร์ ได้เสนอให้มีการนำออกไปให้บริษัทอื่นเช่าเป็นรายวัน หรือรายสัปดาห์ ซึ่งการกระทำเช่นนี้ ทำให้เขาสามารถแก้ปัญหาทางด้านการเงินให้กับบริษัทได้ และโรเจอร์ ยังได้รับการเลื่อนตำแหน่ง เป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัทอีกด้วย

แต่ละบุคคลที่ได้ยกตัวอย่างมานี้ ได้แก้ปัญหาที่ดูเหมือนจะแก้ไม่ได้เลยในทรรศนะของผู้อื่น
อัน ที่จริงแล้ว การแก้ปัญหาต่างๆเหล่านี้ แทบจะมิได้ต้องใช้สติปัญญาแต่อย่างใดเลย เป็นแต่เพียงว่า ข้อมูลที่ผิดพลาด ได้ปิดบังภาพต่างๆไว้จากสายตา ซึ่งเขาควรจะมองเห็นมันเท่านั้นเอง

การรู้สาเหตุแห่งข้อมูลที่ผิดพลาด


มีเทคนิคมากมายในเอกสารนี้ ได้รับการพัฒนามาจากนักธุรกิจทั้งชายและหญิงที่ประสพความสำเร็จ ในโลกธุรกิจนั้น เป็นโลกที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ และบุคคลเหล่านี้ ก็ได้ใช้อิทธิพลทางด้านจิตใจต่อสู้กับปัญหานานัปประการ เพื่อให้ตนเองสามารถรักษาตัวให้อยู่รอดมาได้

ในเมื่อเขาจะต้องพบกับคู่แข่งที่มีความสามารถทัดเทียมกัน ดังนั้น เขาจำเป็นจะต้องระมัดระวังในเรื่องของความผิดพลาดอย่างมาก ที่สุดและจะยอมรับในข้อมูลที่ผิดพลาดไม่ได้

นักธุจกิจประเภทที่เรากำลังพูดถึงกันอยู่นี้ จะต้องมีความสามารถที่เหมือนกันอยู่ประการหนึ่ง คือ เขาจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหลายด้วยตนเอง ประสบการณ์ได้สอบเขาว่า การเชื่อถือในข้อมูลที่ผิดพลาดนั้น มีราคาแพงเพียงไร

ประธานของบริษัทอุตสาหกรรมแห่งหนึ่ง ได้พูดเกี่ยวกับเรื่องข้อมูลที่ผิดพลาดในการสัมมนาระดับบริหารเมื่อเร็วๆนี้ ในการสัมมนา เขาได้ให้หัวข้อของสาเหตุแห่งการให้ข้อมูลทีผิดพลาด ซึ่งเขาได้พบมาดังนี้
  1. "ความจริง" จากบุคคลที่ถือประโยชน์ส่วนตัวเป็นสำคัญ
  2. การตั้งข้อสังเกต ของบุคคลผู้ซึ่งขาดประสบการณ์ ในหน้าที่การงานซึ่งตนทำอยู่
  3. การเตรียมข้อมูลด้วยวิธีการตั้งสมมติฐาน และผิดพลาด
  4. การเสนอรายงาน โดยมิได้ศึกษาถึงต้นเรื่องโดยละเอียดแน่ชัด
  5. การแสดงออกว่ามีความเชื่อมั่นล่วงหน้า ซึ่งมิได้ถูกต้องตั้งแต่แรก
photo ซึ่งเขาได้เล่าให้ที่ประชุมฟังว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหา สิ่งแรกที่เขาจะต้องทำคือ ตรวจสอบข้อเท็จจริงเสียก่อน โดยยึดหลักว่า
  • มีความจริงประการใดที่ไม่อาจโต้แย้งได้
  • ข้อมูลใดที่ก่อให้เกิดการตั้งคำถามขึ้นมาได้
  • มีข้อมูลใดที่ขาดหายไป
เขากล่าวว่า "เมื่อคุณได้ตรวจสอบสมุหฐานแล้ว คุณอาจจะต้องพบกับความแปลกใจก็ได้ที่ว่า แท้ที่จริงแล้ว มันแทบมิได้มีปัญหาเกิดขึ้นเลย การได้รับข้อมูลที่ผิดพลาด หรือมีข้อมูลบางประการที่ขาดหายไป อาจทำให้คุณหลงเชื่อไปว่า มันมีปัญหาเกิดขึ้น ทั้งๆที่มันมิได้มีเลย"

และแม้ว่า ในบางครั้งมันจะมีปัญหาเกิดอยู่ แต่จากการตรวจสอบข้อเท็จจริง จะทำให้คุณสามารถตั้งรับได้ทัน ซึ่งคุณจะได้เห็นจากตัวอย่างในตอนต่อไป ซึ่งจะได้อธิบายถึงวิธีการนำความจริงเข้ามาใช้ เพื่อเป็นรากฐานที่จะทำให้การแก้ปัญหาง่ายขึ้น

ดังนั้น กฏประการแรกในการแก้ปัญหา ก็คือ คุณจะต้องตรวจสอบข้อเท็จจริง เพื่อ
  • ก. พิจารณาว่า มีปัญหาเกิดขึ้นจริงหรือไม่ และ
  • ข. สร้างพื้นฐานอันมั่นคงในการแก้ปัญหานั้น
บุคคลที่ต้องประสพปัญหา ที่ท้าทายความสามารถในการแก้ปัญหาอยู่ทุกวัน จะแก้ปัญหานั้นตามหลักวิทยาศาสตร์ และการทำความเข้าใจในเรื่องของข้อมูลอันผิดพลาด คือ กฏแรกของหลักวิทยาศาสตร์

ขจัดอุปสรรคประการที่ 2
การมุ่งมั่นที่จะให้เกิดผลตามต้องการ


เมื่อใดก็ตาม ที่มีปัญหาเกิดขึ้น มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่ประการหนึ่ง คือ บังเกิด ความวิตกกังวลกับ ปัญหานั้น จนลืมไปว่า แท้ที่จริงแล้ว มันเป็นเพียงอุปสรรคที่เข้ามาขวางทางไว้ มิให้คุณเดินไปถึงเป้าหมายได้เท่านั้น คุณจะต้องให้ความสนใจในอุปสรรคดังกล่าวอย่างมาก จนทำให้มองไม่เห็นเป้าหมายที่ถูกปิดบังไว้ มิให้ประสพความสำเร็จ

เมื่อนักแก้ปัญหาที่มีความสามารถ ต้องเผชิญกับอุปสรรค เขาจะมองข้ามอุปสรรคนั้น ไปยังเป้าหมายที่ตนแสวงหาอยู่ พร้อมกันเขาก็จะพิจารณาแนวทางต่างๆ ที่ให้ตนเองได้บรรลุความสำเร็จตามเป้าหมายให้ได้ และบ่อยครั้งที่เขาได้พบว่า แท้ที่จริงแล้ว มันแทขจะไม่มีปัญหาใดๆ เกิดขึ้นเลย

ขอให้คุณลองใช้ความคิด เกี่ยวกับแนวความคิดทางด้านธุรกิจต่างๆ ที่ต้องถูกทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย ทั้งนี้เพราะเจ้าของแนวความคิดนั้น ไม่สามารถจะหาเงินในจำนวนที่พอเพียง เพื่อทำให้ตนเองทำงานให้บรรลุเป้าหมาย ตามแนวความคิดที่ตั้งไว้ได้ มันเป็นอุปสรรคที่ทำลายธุรกิจนั้น ๆ ตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ

สถานที่ซึ่งจะให้การสนับสนุนทางด้านการเงิน แก่ธุรกิจประ เภทต่างๆนั้น ก็เห็นจะมีแต่ธนาคาร ซึ่งมีอยู่มากมายประจำท้องถิ่นต่างๆ เพียง แต่ออกจะเป็นที่น่าเสียดาย ที่มีนักธุรกิจนับพัน ที่ได้พบว่า ธนาคารที่ตนเข้าไปขอการสนับสนุนนั้น มิได้ให้ความร่วมมือฉันท์มิตรด้วยเลย

ทั้งนี้ ดูคล้ายกับว่า ธนาคารทั้งหลายเหล่านั้น ไม่พอใจในการที่จะให้กู้เงิน โดยเฉพาะกับธุรกิจที่ยังมิได้พิสูจน์ผลให้เห็นชัด
แต่ถ้าคุณสามารถจะเสนอโครงการ ซึ่งได้ทดลองทำไปแล้ว และมีทางที่จะประสพความสำเร็จได้ คุณก็อาจจะกู้เงินมาดำเนินกิจการต่อได้
แต่ถ้าคุณขาดเงิน ที่จะมาดำเนินการตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่แรกเล่า คุณจะพิสูจน์ได้อย่างไรว่า ธุรกิจดังกล่าวนั้นจะได้ผล

สำหรับนักธุรกิจคนอื่นๆ อาจจะเห็นว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้ และก็มีคนจำนวนมาก ที่ต้องยกเลิกธุรกิจที่ตนเคยดำริไว้ แต่ทว่า ไม่ใช่ผู้หญิงคนหนึ่ง ซึ่งผมกำลังจะเล่าเรื่องของเธอให้คุณฟัง

เมื่อเส้นทางสายเดิมถูกตัดขาด


พาเมล่า เอส. เป็นแม่ม้ายสาวสวย ผู้เต็มไปด้วยแนวความคิด แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเธอก็คือ แนวความคิดที่เธอมีอยู่นั้น จะต้องใช้เงินถึง 20,000 เหรียญ ซึ่งเธอไม่มี

ความคิดของเธอ ก็คือ จะตั้งศูนย์บริการคอมพิวเตอร์ให้เช่า แก่บรรดานักธุรกิจทั้งหลาย ซึ่งศูนย์บริการดังกล่าว จะอำนวยประโยชน์ให้กับทั้งนักกฏหมาย นักลงทุนในตลาดหุ้น นักลงทุนประเภทซื้อหุ้นโภคภัณฑ์ COMMODITY และอื่นๆ ซึ่งนักธุรกิจเหล่านี้ จะมาใช้บริการที่ศูนย์ หรือเช่าเครื่องไปตั้งไว้ในบ้านก็ได้

photo พาเมล่า กล่าวว่า " เพียงการพิมพ์ข้อมูลใส่ลงในเครื่องเพียงไม่กี่ตัว ลูกค้าก็สามารถจะได้รับรู้รายละเอียดที่ตนต้องการกลับมา ซึ่งโดยปรกติแล้ว เป็นการยากยิ่งที่จะให้รายละเอียดนั้นๆ แต่การที่จะเริ่มต้นธุรกิจนี้ ฉันจำเป็นจะต้องตั้งศูนย์บริการขึ้นตามจุดต่างๆ และจำเป็นจะต้องมีเงินสำรองไว้ใช้จ่ายในการโฆษณา รวมทั้งค่าใช้จ่ายจิปาถะในตอนเริ่มแรก และเพราะฉันมีประวัติในการทำกิจการเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์อยู่แล้ว ฉันก็คิดว่า มันย่อมมีทางเป็นไปได้ที่จะกู้เงินจำนวนนั้นมาจากธนาคาร แต่แล้วฉันก็ต้องพบกับความแปลกใจอย่างที่สุด"

ปรากฏว่า ธนาคารทุกแห่งที่เธอเข้าไปติดต่อ ต่างปฏิเสธที่จะให้เธอกู้เงินจำนวน 20,000 เหรียญนั้น ซึ่งเพเมล่าไม่รู้ว่า เพราะเธอเป็นเพียงผู้หญิง หรือเพราะเหตุผลที่ว่า แม้ว่าเธอจะมีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องคอมพิวเตอร์มาอย่างดี แต่ก็มิได้หมายความว่า เธอจะต้องเป็นนักลงทุนที่ดี

ไม่ว่าเธอจะใช้ความพยายามเพียงใด เธอก็ไม่ประสพความสำเร็จ ในการเดินตามเส้นทางสายเดิม คือ แสวงหาเงินกู้เพื่อสนับสนุนธุรกิจ เช่นที่ใครๆเขาทำกัน

"ทันใดนั้นฉันก็เกิดความคิดขึ้นมา " พาเมล่าเล่าต่อ "ว่าฉันให้ความสนใจในเรื่องการหาเงินกู้มาสนับสนุนธุรกิจของตัวเองมากเกินไป ฉันทำให้มันกลายเป็น เป้าหมาย ไปโดยไม่รู้ตัว แทนที่จะตระหนักถึงเป้าหมายอันแท้จริงว่า ฉันต้องการเงิน 20,000 เหรียญ มาดำเนินงานตามโครงการ เพราะฉะนั้น เมื่อเป้าหมายเปลี่ยนไปอยู่ที่เงิน 20,000 เหรียญ ฉันจะได้เงินนั้นมาด้วยวิธีใดย่อมไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะความสำคัญมันอยู่ตรงที่ว่า ให้ได้เงินจำนวนนั้นมาก็แล้วกัน"

เมื่อได้ตระหนักชัดในสิ่งนี้ พาเมล่าก็เริ่มมองหาทางออกด้วยวิธีต่างๆ และในที่สุด ก็พบทางออกที่ง่ายที่สุด นั่นก็คือ เพิ่มเงินค่าจำนองบ้าน ที่ได้นำไปจำนองไว้กับธนาคารอีก 20,000 เหรียญ ซึ่งปรากฏว่า ทางธนาคารยินดีทำตามความประสงค์ของเธอ ขึ้นค่าจำนองให้ตามจำนวนเงินที่เธอต้องการ

ใช้เลนส์ขยาย


ซึ่งจากประสบการณ์นี้เอง ได้สอนให้พาเมล่า ได้รู้ซึ้งถึงบทเรียนอันสำคัญในอันที่จะพัฒนา และขยายธุรกิจของเธอออกไป จนประสพความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง
"เมื่อใดก็ตามที่ปัญหาเกิดขึ้น" เธอกล่าว "ฉันจะต้องเอาแว่นขยายมาใช้ มิใช่แว่นธรรมดา ที่ฉันพูดเช่นนี้ ก็หมายความว่า ฉันจะมองไกลไปให้ถึงเป้าหมาย มากกว่าที่จะมองติดอยู่แค่อุปสรรคที่ขวางกั้น และฉันก็ได้พบกับวิธีการแก้ปัญหา ซึ่งมิได้อยู่ไกลจนเกินความสามารถเลย"

และผมเองก็ได้พบว่า บุคคลที่ประสพความสำเร็จในธุรกิจทุกประการของชีวิต ก็ใช้วิธีการเดียวกันนี้ทั้งนั้น
ดังนั้น กฏประการที่ 2 ของการแก้ปัญหาก็คือ

"จงมองไปให้ถึงเป้าหมาย และพิจารณาหาทางออก ที่จะกระทำเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น"
ถ้าฟังดูอย่างผิวเผินแล้ว คล้ายกับว่า คุณพยายามที่จะหลีกเลี่ยงจากปัญหาเฉพาะหน้า แต่จะเป็นอะไรไปเล่า? ในเมื่อบุคคลผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต เขาก็มีวิธีการที่จะหาทางออกที่ง่ายที่สุด เพื่อการแก้ปัญหาของตนเองด้วยกันทั้งนั้น

สมองที่ปลอดโปร่งแจ่มใส


เมื่อใดก็ตาม ที่คุณต้องเผชิญกับอุปสรรคอันขวางกั้นคุณไว้มิให้คุณสามารถแก้ปัญหาได้ง่าย คุณจะต้องรวบรวมพลังสมองให้ทำงานอย่างเต็มที่ ดังนั้น การที่คนเรามีสมองปลอดโปร่งแจ่มใส จึงทำให้สามารถที่จะเข้าใจ และนำพลังสมองนั้นมาใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ และยิ่งกว่านั้น บุคคลที่สามารถใช้พลังสมองได้อย่างเต็มที่ ย่อมสามารถค้นคว้าหาข้อมูล และทางออกได้มากกว่าคนอื่นๆ

ระบบการแก้ปัญหาที่ได้อธิบายไว้ในบทนี้ จะช่วยเพิ่มพลังสมองให้กับคุณ เพื่อนำมันไปใช้เป็นอาวุธได้ นั่นคือ
  • การเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญ ในการคิดหาเหตุผล
  • การเพิ่มความสามารถ ในการมองหาหนทางแก้ปัญหาของจิตใต้สำนึก
  • ความสามารถในการแก้ปัญหา ด้วยวิธีการสร้างภาพพจน์
เมื่อคุณมีอาวุธ 3 ประการนี้อยู่ในมือ คุณย่อมสามารถวางผังของปัญหาไปจนกระทั่งถึงวิธีการแก้ไขได้โดยง่าย แต่ก่อนหน้าที่ผมจะอธิบายถึงวิธีการดังกล่าว คุณจะต้องรู้เสียก่อนว่า เพราะเหตุใด ระบบนี้จึงใช้ได้ผล

เครื่องมือที่จะช่วยเพิ่มพูนความเชี่ยวชาญในการหาเหตุผล


เมื่อคุณเผชิญหน้ากับปัญหานั้น คุณมักจะกระทำในประการใดประการหนึ่งหรือทุกประการ ดังนี้
  1. เกิดความยุ่งยากสับสนขึ้นในสมอง
  2. ปรึกษาหารือกับเพื่อนร่วมงาน
  3. ทดลองหาทางออกด้วยวิธีการผิดๆ ถูกๆ ต่างๆ เพื่อแก้ปัญหา
ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ คือเทคนิคในการแก้ปัญหาตามแบบมาตรฐาน ซึ่งในบางครั้ง มันก็ได้ผล แต่กระนั้น แม้ว่ามันจะดูเป็นวิธีการที่น่าจะดี แต่คุณจะประสบความล้มเหลว ในการใช้พลังในการคิดหาเหตุผล ... ซึ่งเครื่องมือที่คุณสามารถจะนำมาใช้เพื่อเสริมสร้างพลังดังกล่าว เป็นเพียงเครื่องมือง่ายๆ เช่น กระดาษ ดินสอ กับเทปบันทึกเสียงแบบคาสเซทเท่านั้น

วิธีการหนึ่งของเทคนิคในการแก้ปัญหา ซึ่งจะได้แนะนำในบทนี้ ให้คุณวางผังการแก้ปัญหาลงบนกระดาษ ด้วยวิธีเขียนหัวข้อของปัญหาขึ้น และเมื่อคุณสามารถหาวิธีตามขั้นตอนในการแก้ปัญหานั้นๆแล้ว คุณก็จดบันทึกลงไป คนส่วนมากใช้วิธีการเขียนนี้ เพื่อเตือนความจำของตนเอง

แต่การบันทึกของคุณในครั้งนี้ จะมิใช่ด้วย้หตุผลเดียวกันกับพวกเขา นักจิตวิทยาได้ค้นพบว่า สมองของคนเรานั้น จะทำงานอย่างเคร่งครัดขึ้น เมื่อมีสิ่งที่จะวางให้ทำอยู่ตรงหน้า ความคิดของคุณอาจสับสน และคิดอะไรต่อมิอะไร ไปได้ร้อยแปดพันประการ ถ้าคุณมัวแต่พิศวง สงสัยอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น

แต่ถ้าคุณได้ เขียนปัญหานั้นลงในกระดาษ เท่ากับคุณถูกบังคับให้ตั้งสมาธิอันแน่วแน่ อยู่แต่เฉพาะเรื่องราวที่เขียนขึ้นไว้ และถ้าคุณกระทำตามแนวทางที่ผมจะแนะนำต่อไป เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้แล้ว กระบวนการในการหาเหตุผลอย่างมีระบบ จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานขึ้นอีกมาก

photo บุคคลผู้จะต้องเผชิญอยู่กับปัญหาอยู่เสมอ ได้พบว่า การพกเทปติดตัวไว้สามารถช่วยเขาได้มาก ยกตัวอย่างเช่น เอ็ด เจ ซึ่งเป็นนักธุรกิจทางด้านโฆษณา
" งานของผมเต็มไปด้วยความวุ่นวายอยู่ตลอดเวลา ผมมักจะถูกขัดจังหวะเสมอ ในทุกครั้งที่ลงมือตั้งผังปัญหา กับวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ " เอ็ดเล่า "มันทำให้ผมต้องวางปัญหาที่เกิดขึ้นไว้ แล้วก็หันไปทำเรื่องอื่นเสียก่อน และเมื่อเวลามันผ่านไป เพราะมีงานอื่นแทรกซ้อนเข้ามา ผมก็ลืมแนวความคิดต่างๆ ที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาแล้ว และผมก็ได้พบว่า ในบางครั้ง วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดนั้น ผมมักจะคิดขึ้นมาได้ในระหว่างเวลาที่ขับรถอยู่"

"ทีนี้เนื่องจากผมพกเทปติดกระเป๋าไว้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น มันก็เป็นการง่ายที่ผมจะบันทึกความคิดนั้นๆ ลงไว้ก่อนที่ตัวเองจะลืม เมื่อผมกลับมาที่สำนักงาน ผมก็จะเปิดเทปฟัง แล้วก็เอาแนวความคิดที่ได้มานั้น ใส่ลงในผังที่ทำไว้"

จิตใต้สำนึก สามารถช่วยให้คุณแก้ปัญหาได้อย่างไร


เมื่อคุณเริ่มเขียนปัญหาที่เกิดขึ้นลงในผัง คุณไม่เพียงแต่จะเขียนมันลงในหน้ากระดาษเท่านั้น แต่คุณยังส่งเรื่องราวของปัญหานั้นเข้าไปยังจิตใต้สำนึกได้อีกด้วย เท่ากับคุณสั่งให้มันหาวิธีการแก้ไขให้กับปัญหานั้น แม้ในขณะที่สามัญสำนึกของคุณจะเลยไปทำเรื่องอื่นแล้วก็ตาม

เนื่องจากมันเป็นจิตที่อยู่ใต้สำนึก ดังนั้น เราจึงไม่ใครรู้ว่า มีอะไรที่กำลังเกิดอยู่ภายในส่วนลึกของจิตใจเรา และเราแทบจะไม่เคนตระหนัก ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมัน ในการที่จะช่วยแก้ปัญหาให้กับเราได้ด้วย และที่แน่นอนที่สุด ก็คือ คนส่วนมากไม่รู้วิธีที่จะใช้พลังจากจิตใต้สำนึกของตนให้เป็นประโยชน์

ศาสตราจารย์ทางด้านจิตวิทยา ซึ่งเป็นเพื่อนของผมคนหนึ่ง เปรียบเทียบจิตใจของมนุษย์เรา เป็นเช่น ภูเขาน้ำแข็ง เขากล่าวว่า
"ภูเขาน้ำแข็งนั้น 3 ใน 4 ส่วนของมัน จะจมอยู่ใต้ผิวหน้าของพื้นน้ำ ดังนั้น จะเหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 ที่จะลอยพ้นน้ำขึ้นมาให้เรามองเห็นได้ คุณลองเปรียบเทียบส่วนที่ลอยอยู่เหนือน้ำ กับสามัญสำนึกของคนเรา คือเป็นส่วนที่จะให้เหตุผลกับคุณ และคิดถึงส่วนที่จมอยู่ใต้ผิวน้ำว่า เป็นจิตใต้สำนึก ซึ่งมีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่าตัว และมีความสำคัญมากกว่าสามัญสำนึกถึง 3 เท่าด้วย"

มีคนเป็นจำนวนมาก ที่เคยได้ยินเรื่องราวการทำงานของจิตใต้สำนึก อย่างน่ามหัศจรรย์ใจมาแล้ว แต่น้อยคนนัก ที่จะคุ้นเคยกับบทบาทอันมีศักยภาพของมันในการแก้ปัญหา เขาไม่เคยรู้เลยว่า นั่นคือ อิทธิพลอันมีพลังที่สุดของจิตใจ

บุคคลที่สามารถใช้จิตใต้สำนึกช่วยแก้ปัญหาให้กับเขาได้ ต่างประสพความสำเร็จมาแล้วนับไม่ถ้วน และต่อไปนี้ เป็นบางประการสำคัญ ที่คุณควรจะมีความรู้เกี่ยวกับจิตใต้สำนึก

1.มันตกอยู่ใต้อำนาจของการเสนอแนะ
ซึ่งหมายความว่า มันยอมรับ ในความคิดเกือบจะทุกประการ ที่คุณใส่เข้าไปให้ ซึ่งเรื่องนี้แตกต่างไปกว่าสามัญสำนึก เพราะมันมิได้ถูกควบคุมอยู่ด้วยเหตุผล ดังนั้น มันจึงไม่โต้แย้งกับทุกสิ่งที่คุณบอกมัน ยกตัวอย่าง เช่น ถ้าคุณจะบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า "ผมนี่แหละคือเอกอัครมหาเศรษฐี" จิตใต้สำนึกของคุณก็เชื่อตามนั้น แม้ว่าสามัญสำนึกจะรู้อยู่ว่า มันไม่เป็นความจริง

บางคนก็เปรียบเทียบมันว่า เป็นเสมือนนักสะกดจิต เมื่อนักสะกดจิตบอกกับใครสักคนหนึ่งว่า ขณะนี้ เขากำลังรู้สึกหนาวเหลือเกิน บุคคลผู้นั้นก็จะสั่นสะท้านขึ้นมาทันที แต่คุณไม่จำเป็นจะต้องเป็นนักสะกดจิตเลย เมื่อต้องการใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึก

2. ในสมองของคุณนั้น มีความสามารถมากพอที่จะเก็บข้อมูลของหนังสือไว้ได้ถึง 90,000,000 เล่ม
ดังนั้น ภายในจุดใดจุดหนึ่งของสมอง มีข้อมูลที่คุณต้องการซุกซ่อนอยู่ และนั่นคือ หนทางในการแก้ปัญหา เกือบจะทุกประการที่คุณต้องเผชิญ ออกจะเป็นที่น่าเสียดายว่า ในสามัญสำนึกของคุณ มีเนื้อที่สำหรับเก็บข้อมูลต่างๆ เพียงน้อยนิด

3. เมื่อใดก็ตาม ที่คุณผจญกับอุปสรรคในการแก้ปัญหา คุณสามารถจะบอกกับจิตใต้สำนึกได้ว่า ณ ที่ใดที่หนึ่ง ลึกลงไปในจิตใจของคุณนั้น มันมีแนวความคิดอันจะนำไปสู่หนทางแก้ปัญหาอยู่
ดังนั้น แม้ว่าคุณจะหันไปทำงานอื่นแล้ว แต่จิตใต้สำนึกก็ยังทำงานให้คุณ ด้วยการค้นหาลงไปในความทรงจำ และเหตุการณ์ที่เข้ากับสภาพของสิ่งแวดล้อมที่กำลังเกิดปัญหาอยู่ และมันจะส่งผ่านข้อมูลขึ้นมายังสามัญสำนึก อย่างที่คุณอาจนึดไม่ถึงมาก่อนเลย

การใช้งานจิตใต้สำนึกในลักษณะนี้ ย่อมคล้ายคลึงกับการที่หลายครั้งหลายหน คุณรู้ว่ามันมีถ้อยคำ หรือชื่อของใครสักคนหนึ่ง ขึ้นมาติดอยู่ตรงริมฝีปาก แต่คุณคิดเท่าไร่ก็คิดไม่ออก หลังจากที่ใช้ความพยายามอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง คุณก็เลิกล้มความตั้งใจ แต่แล้ว เมื่อเวลาผ่านไป อาจจะเป็นชั่วโมงหรือเป็นวัน ในขณะที่คุณมิได้คิดถึงเรื่องนั้นอีกเลย ทั้งถ้อยคำ และชื่อ ก็สว่างวาบขึ้นมา ในดวงความคิด นั่นละ คือการทำงานของจิตใต้สำนึก

คุณรู้อยู่แล้วว่า มันจะต้องมีข้อมูลที่ถูกฝังลึกอยู่ในดวงความคิดของคุณตรงจุดใดจุดหนึ่ง แต่คุณไม่สามารถจะเอามันออกมาใช้ได้ในทันที ดังนั้น จิตใต้สำนึกจึงช่วยควานหาให้คุณ

แต่เมื่อมาถึงจุดนี้ โปรดจำไว้ด้วยว่า ผมมิได้กำลังบอกกับคุณ ถึงวิธีการที่คุณจะใช้จิตใต้สำนึก เป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหาเลย ผมเพียงแต่เล่าถึงเหตุผลที่ว่า ทำไมมันจึงใช้ได้ผล ส่วนวิธีการที่จะแนะนำนั้น ขอให้อดใจรออีกสักนิด

ประหยัดเวลาในการใช้ความพากเพียร


วอลเตอร์ เอ็ม. ผู้จัดการฝ่ายผลิต ของบริษัทอุตสาหกรรมอิเล็คโทรนิคส์ใช้จิตใต้สำนึกเป็นเครื่องมือในการทำงาน เขากล่าวว่า "เมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้นในงานของผม มันก็จะมีความผิดพลาดที่เชื่อมโยงกันไปหมด และใหญ่โตเกินกว่าความคาดหมายทีเดียว คุณจะเห็นว่า ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเรานั้น ต้องประกอบด้วยอุปกรณ์ชิ้นเล็กชิ้นน้อย ที่เราสั่งซื้อมาจากบริษัทอื่นๆ ซึ่งถ้าอุปกรณ์ชิ้นใดชิ้นหนึ่ง เดินทางมาถึงเราไม่ทันเวลา ตามที่ได้กำหนดไว้ การผลิตทั้งหมดจะต้องยุติลงโดยสิ้นเชิง"

"เพราะฉะนั้น มันเป็นหน้าที่ของผม ที่จะต้องทำให้งานดำเนินไปได้ด้วยดี และคุณก็คงจะมองเห็นภาพว่า ผมจะต้องพบกับอะไรบ้าง เมื่อมีอุปกรณ์บางชิ้นขาดหายไป ผมจะต้องหามันมาให้ได้จากที่ใดที่หนึ่ง ขณะเดียวกัน ลูกค้าของเราก็ตั้งความหวังไว้ว่า เราจะต้องส่งของให้เขาทันเวลา ตามที่ได้ทำสัญญากันไว้"

"ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับการเล่นจิ๊กซอว์ (ตัวต่อ) นั่นเอง คือคุณจะต้องเอาชิ้นส่วนต่างๆ มาบรรจุลงให้ลงตัว เพื่อให้งานของบริษัทดำเนินไปได้ ทำให้ลูกค้าพอใจ และการผลิตดำเนินไปได้คล่องตัว โดยไม่มีอะไรติดขัด ในบางครั้ง มันก็จำเป็นจะต้องใช้ความพากเพียรอย่างเหลือเกิน ที่จะให้งานของเราลงตัว และออกมาเป็นผลอันน่าพอใจ"

"และตรงจุดนี้เองที่ผมจะเรียกพลังจากจิตใต้สำนึกออกมาใช้"
"ผมรู้ดีว่า ลึกลงไปในดวงความคิดนั้น มันมีองค์ประกอบ ที่พร้อมจะให้เรานำออกมาใช้ในทุกยามที่ต้องการ ดังนั้น สิ่งที่ผมมักจะทำอยู่เสมอ ก็คือ ปล่อยให้จิตใต้สำนึกเป็นผู้ให้คำตอบนั้นแก่ผม ถ้าปัญหาที่เกิดขึ้น เป็นเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อน และไม่อาจแก้ไขได้ในทันที ผมจะพักมันไว้ก่อน เพราะรู้อยู่ว่า มันจะต้องมีวิธีแก้ได้แน่ และวิธีแก้ไขจะต้องเกิดขึ้นในความคิดของผมเอง"

photo "จากนั้น ผมจะทำจิตใจให้สบาย แล้วก็หยิบงานอื่นมาทำต่อไป ซึ่งไม่นานนัก โดยปรกติแล้ว มักจะเป็นภายในวันเดียวกันนั้นเอง หรืออย่างมากก็ภายใน 24 ชั่วโมง วิธีการแก้ปัญหาต่างๆ ก็จะปรากฏขึ้นในสมอง และมันมักจะเกิดขึ้น ในขณะที่ผมแทบไม่ได้นึกถึงมันเลย "

"ขณะที่วิธีการแก้ปัญหาเกิดขึ้นนั้น ผมก็จะจดมันลงไว้ หรือไม่ก็บันทึกลงไว้ในเทป หลังจากนั้น เมื่อมีโอกาส ผมก็จะเอาผังปัญหาออกมากาง และเริ่มมองดูว่า วิธีการแก้ปัญหาใดที่จะนำมาใช้ได้บ้าง และจะแก้ตรงจุดใด และผมก็สามารถแก้ไขปัญหานั้นๆ ให้ผ่านพ้นไปได้"

ความสามารถในการแก้ปัญหา ด้วยการมองให้เห็นภาพ


เมื่อคุณมองเห็นวิธีการแก้ปัญหา นั่นหมายความว่า คุณกระทำตามสามัญสำนึก แต่แนวความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นกับคุณนั้น ส่วนใหญ่แล้ว เกิดขึ้นจากระดับของจิตใต้สำนึกทั้งสิ้น สูตรในการแก้ปัญหา ด้วยการมองให้เห็นภาพ ซึ่งจะได้เสนอไว้ในที่นี้ มิใช่จะได้ผลเสมอไป เพราะในบางครั้ง มันก็อาจจะไม่ก่อให้เกิดผลอะไรขึ้นมา แต่มันเป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะนำมาใช้ และเป็นการใช้เวลาที่น้อยมาก ซึ่งมีค่าควรแก่การทดลอง

สิ่งที่คุณจะต้องปฏิบัติก็มีดังต่อไปนี้
  • จงหามุมสงบ ที่จะไม่มีผู้ใดเข้าไปรบกวนคุณได้
  • จงใช้ความคิด เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดของปัญหา ที่คุณกำลังเผชิญอยู่ แล้วคุณจะยังไม่รู้ว่าจะหาทางแก้ไขมันได้อย่างไร แต่คุณก็รู้ถึงผลลัพธ์ที่คุณต้องการ จงมองให้เห็นภาพนี้ในจิตใจ ให้กระจ่างชัดที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้
  • จงย้อนหลังไปทีละขั้นตอน ประการแรก คุณมองเห็นภาพของผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นแล้ว ต่อไปจงมองให้เห็นภาพว่า มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้าที่ปัญหาจะได้รับการแก้ไข อะไรคือขั้นตอนสุดท้าย ที่จะนำวิธีการแก้ปัญหามาให้ และ และอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น... และก่อนหน้านั้น?
ขอให้คุณใช้ความคิดย้อนหลังในลักษณะนี้ไปเรื่อยๆ มองให้เห็นภาพแต่ละขั้นตอน ในขณะที่ยังมองไม่เห็นทางแก้ไขปัญหา และในเวลาไม่นาน คุณก็จะมองเห็นภาพวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดได้

เหตุผลที่ว่า ทำไมการมองให้เห็นภาพดังกล่าวนี้ จึงมักนำมาใช้ในการแก้ปัญหาอย่างได้ผล นั่นก็คือ ในขณะนั้น จิตใต้สำนึกของคุณ ถูกบังคับให้ทำงานในทันที โดยปรกติแล้ว จิตใต้สำนึกของคนเราจะใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ในการถ่ายทอดข้อมูลที่คุณต้องการออกมาให้

และ ด้วยเหตุผลนี้เอง เมื่อคุณต้องการความช่วยเหลือจากมัน คุณจึงจำเป็นจะต้องสร้างความปลอดโปร่งแจ่มใสให้เกิดขึ้น และหันไปหางานอื่นเสีย รอเวลาที่แนวความคิดอันถูกต้องจะปรากฏขึ้น การที่คุณพยายามมองย้อนหลังไปให้เห็นภาพในลักษณะนี้ เป็นการบังคับให้สมองสร้างจินตนาการขึ้น และจินตนาการนั้น ก็มีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดอยู่กับจิตใต้สำนึก

บ่อยครั้งที่เราได้พบว่า ในการที่เราใช้ความคิดย้อนหลังนั้น จิตใต้สำนึกจะเสนอข้อมูลออกมาเพื่อให้เราสามารถมองย้อนหลังไปได้เรื่อยๆ และไม่นาน เราก็จะสามารถหาทางแก้ปัญหานั้นได้ โดยปรกติแล้ว ในการแก้ปัญหาด้วยวิธีการสร้างภาพย้อนหลังนี้ มักจะใช้เวลาไม่เกิน 5 นาที ซึ่งถ้าคุณหาหนทางแก้ปัญหาด้วยวิธีปรกติธรรมดาแล้ว จะใช้เวลาเพียงเท่านี้ไม่ได้เลย ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า เทคนิคในการมองให้เห็นภาพย้อนหลังนั้น เป็นการรวบรวมพลังของจิตใต้สำนึกทั้งมวล รวมทั้งสามัญสำนึกออกมา และใช้ให้เป็นประโยชน์

วิธีทำให้ปัญหายากยิ่งง่ายขึ้น


บุคคลที่เป็นตัวอย่างของการทำปัญหายากยิ่ง ให้เป็นเรื่องง่ายนั้น เห็นจะได้แก่ บาร์รี่ อาร์ เหนือสิ่งอื่นใด ก็คือ เขาได้ทำอะไรบางอย่างที่คนส่วนมาก ไม่เคยคิดฝันถึงว่า จะทำเลยด้วยซ้ำ นั่นก็คือ เขาคิดตั้งธนาคารขึ้นมาจากเศษเงิน

บาร์รี่ มองเห็นความจำเป็นในการที่จะต้องมีการตั้งธนาคารขึ้น ในชุมชนที่เขาอยู่อาศัยที่ขยายตัวขึ้นทุกวัน ประสบการณ์ทางด้านการธนาคาร ก็คือ เขาเคยเป็นพนักงานรับจ่ายเงินของธนาคารอยู่ ชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น ก็ถูกย้ายไปประจำอยู่ที่ฝ่ายสินเชื่อ

เขายอมรับว่า แนวความคิดในการตั้งธนาคารนี้ เกิดขึ้นกับเขาอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเขาได้อ่านบทความในนิตยสาร ที่แนะนำเกี่ยวกับสูตรในการสร้างผังเกี่ยวกับปัญหา ซึ่งคุณเองก็ได้เรียนรู้ในโอกาสต่อไป
ปัญหาของบาร์รี่ เกี่ยวกับการตั้งธนาคารนั้น อยู่ตรงที่ว่า มัน เป็นงานที่เขาไม่เคยทำมาก่อนเลย และยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่มองเห็นว่า เขามิใช่บุคคลที่มีคุณสมบัติพอที่จะทำได้ เห็นได้ชัดว่า มันเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งคนส่วนมากไม่เคยคิดที่จะเผชิญ แต่บาร์รี่ก็ทำได้ ด้วยการย่อยงานจากชิ้นใหญ่ลงเป็นชิ้นเล็กๆ และสามารถจะทำได้

เขาใช้วิธีเขียนวิธีการแต่ละขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับการตั้งธนาคารลงไว้ และรู้ได้ในทันทีว่า งานชิ้นเล็กๆ นั้น เป็นงานที่สามารถทำได้โดยง่าย เมื่อค่อยๆทำไปทีละขั้นตอน สิ่งแรกที่บาร์รี่ทำก็คือ เขียนปัญหาของเขาลง

การเขียนปัญหาของตนเองลงไว้นั้น เป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันจะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า ปัญหาที่ตนเองประสบอยู่คืออะไร และมันทำให้คุณเดินไปตามเส้นทางในการที่จะแก้ปัญหาอันเป็นอุปสรรคที่กีดขวาง เส้นทางนั้นไว้

คุณจะได้เห็นว่า ปัญหาของบาร์รี่นั้น มิใช่เรื่องของการคิด "ตั้งธนาคาร" ขึ้นเท่านั้น แต่มันยังเป็นปัญหาทางด้านความรู้ การสนับสนุนจากบุคคลในชุมชน และจำนวนเงินที่จะนำมาลงทุนตามต้องการ เมื่อเขารู้ปัญหาแล้ว บาร์รี่จึงเขียนขั้นตอนที่จะต้องทำ 4 ประการแรกขึ้น คือ
  1. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับกฏหมายของรัฐและหนทางในการปฏิบัติ เพื่อการจัดตั้งธนาคารขึ้น หาความรู้จากหนังสือในห้องสมุด และเข้ารับการอบรมด้านการธนาคาร จากมหาวิทยาลัยในชุมชนแห่งนั้น
  2. ทำทะเบียนรายชื่อนักธุรกิจในเมืองที่อยู่อาศัย จากนั้นก็เสนอแนวความคิดต่อพวกเขา ในการจัดตั้งธนาคารทีละคน เพื่อหาความรู้ว่า จะมีผู้ใดให้ความสนใจที่จะร่วมลงทุนในการนี้บ้าง
  3. ทำสัญญาอย่างแน่นหนา และรับการร่วมลงทุนจากบุคคลที่มีความสนใจ
  4. ใช้งบประมาณจ่ากเงินลงทุน จ้างทนายความเพื่อให้การแนะแนวทางในการจัดตั้งบริษัทธนาคารขึ้น
แน่นอน ที่มันยังมีขั้นตอนอีกมาก ที่เกี่ยวกับการจัดตั้งธนาคารดังกล่าว แต่คุณก็สามารถจะมองเห็นได้จากขั้นตอน 4 ประการแรกนี้ว่า เป้าหมายอันสูงส่งของบาร์รี่ ได้กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมาในทันที ทั้งนี้ เพราะเขาพยายามแก้ปัญหาไปทีละขั้นตอน

ถ้าคุณจะไม่ได้ความรู้อะไรเลยจากการอ่านบทความชิ้นนี้ นอกเสียจากเป็นบทความที่คุณมองเห็นว่า ควรจะอ่านแล้ว คุณก็ยังได้รับประโยชน์ประการหนึ่ง คือ " ไม่มีสิ่งใดที่ยุ่งยากซับซ้อน จนเกินกว่าที่จะทำให้มันเป็นเรื่องง่าย พอที่จะทำความเข้าใจ และง่ายต่อการที่จะทำให้ประสพความสำเร็จตามขั้นตอนได้" ดังนั้น คนส่วนมากจึงได้ตระหนักว่า ถ้าปัญหาใหญ่ๆ ได้ถูกย่อยส่วนลงเป็นปัญหาเล็กๆแล้ว ย่อมเป็นการง่ายในการที่จะคิดแก้

การที่คุณประสพความสำเร็จในการแก้ไขขั้นตอนที่ 1 ย่อมนำไปสู่ความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาในขั้นตอนที่ 2 โดยอัตโนมัติ และก่อนที่คุณจะทันรู้ตัว คุณก็สามารถจะแก้ไขปัญหาอันยากยิ่งได้โดยตลอดแล้ว

การสร้างผังของปัญหาช่วยคุณได้อย่างไร?


photo คุณอาจจะรู้สึกแปลกใจ ที่ตลอดเวลาซึ่งผมพูดถึงกระบวนการในการแก้ปัญหาทีละขั้นตอนนั้น ผมมิได้เรียกมันว่า หัวข้อ เลย แต่เรียกมันว่า ผังปัญหา แทน ซึ่งผมมีเหตุผลประการสำคัญอยู่ในการนี้
การเขียนหัวข้อนั้น หมายถึงจะต้องเริ่มต้นตั้งแต่เรื่องแรกลงมาจนถึงเรื่องสุดท้าย ซึ่งจะไม่มีการแบ่งเป็นขั้นตอนไว้ แต่สำหรับการทำผังขึ้นนั้น คุณสามารถจะใส่ข้อมูลเข้าไปได้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

ผู้ตั้งโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ มีสิ่งหนึ่งที่เขาเรียกว่า FLOW - CHART ถ้าผู้ตั้งโปรแกรมรู้ล่วงหน้าว่า ทุกสิ่งทุกอย่างให้ผลออกมาอย่างไร เขาก็เพียงตั้งเป็นหัวข้อขึ้น และตั้งโปรแกรมไปทีละขั้นตอน และมันก็จะได้คำตอบออกมาเป็นหัวข้อแทนที่จะเป็นผัง แต่บ่อยครั้ง ในการตั้งโปรแกรมให้กับคอมพิวเตอร์นั้น ผลลัพธ์ของขั้นตอนหนึ่ง จะหมายถึงว่า ผลลัพธ์ในขั้นตอนต่อไป จะปรากฏออกมาอย่างไร

นักคอมพิวเตอร์ อาจจะใส่โปรแกรมเข้าไปเพื่อถามข้อมูลว่า จอหน์ สมิท ได้ต่อสภาพการเป็นสมาชิกขององค์กรหนึ่งหรือยัง จากนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า ข้อมูลจะออกมาอย่างไร ซึ่งจะได้ดำเนินการตามขั้นตอนที่ 2 ซึ่งมีทางเลือกอยู่ 2 ประการ

ขั้นตอนที่ 1 ข้อมูล...จอห์น สมิท ได้ต่อสภาพการเป็นสมาชิกแล้วหรือยัง
ถ้าคำตอบออกมาว่า "ต่อแล้ว"
จะต้องทำตามขั้นตอน 2 A
ถ้าคำตอบออกมาว่า"ยัง"
จะต้องทำตามขั้นตอน 2 B


ขั้นตอน 2 A ขั้นตอน 2 B
ส่งบัตรสมาชิกไปให้จอห์น สมิท เพื่อใช้ได้ตลอดปีนั้น และตรวจสอบให้เขามีรายชื่ออยู่ในรายการผู้ชำระเงินค่าสมาชิกแล้ว ส่งจดหมายเตือนไปยังจอห์น สมิทว่า ขณะนี้สภาพความเป็นสมาชิกของเขาหมดอายุลงแล้ว และเชิญชวนให้เขาต่อสภาพการเป็นสมาชิกให้ทันที

ในขณะที่ขั้นตอนต่างๆ ได้ถูกเขียนขึ้นนั้น นักคอมพิวเตอร์มิได้รู้ผลลัพธ์ของขั้นตอนที่ 1 ว่า จะเป็นอย่างไร และรวมทั้งทางเลือกที่มีอยู่ในขั้นตอนที่ 2 ด้วย ซึ่ง ก็เช่นเดียวกัน เมื่อคุณเริ่มลงมือเขียนวิธีการแก้ปัญหาเกิดขึ้นนั้น คุณอาจจะไม่รู้ได้ในทันทีว่า ผลลัพธ์ที่จะออกมาในแต่ละขั้นตอนเป็นเช่นไร คุณก็จำเป็นจะต้องเขียนทางเลือกไว้

เคียท ที มหาเศรษฐี จากการสร้างตนเอง กล่าวว่า "ผมได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล ในการวางผังในการแก้ปัญหาขึ้นไว้ เพราะทำให้ผมสามารถมองเห็นทางออกมากมาย ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับผม" เคียท เป็นเศรษฐีที่ดิน ซึ่งโครงการของเขาเกี่ยวข้องอยู่กับการตั้งศูนย์การค้าคอนโดมิเนียม และสถานพักตากอากาศต่างๆ ซึ่งเพียงเท่านี้ คุณก็คงจะพอมองเห็นภาพแล้วว่า การวางแผนตามโครงการ และการทำให้มันประสพความสำเร็จนั้น เป็นสิ่งที่จะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย แต่เคียท ก็สามารถจัดการกับปัญหาเหล่านั้น ได้ด้วยการเขียนลงในผังดังกล่าว

"ในตอนแรก ผมจะเขียนลงเพียงแค่ 1-2 ประโยค โดยเขียนเฉพาะแต่ตัวปัญหาว่า เป็นอย่างไร ซึ่งผมมองปัญหาในลักษณะนี้ ผมก็เริ่มมองเห็นวิธีการที่จะจัดการกับมัน ผมจะเขียนวิธีการแก้ปัญหาทีละขั้นตอนลงไป เมื่อผมจะต้องพบกับผลที่เกิดตามมาโดยมิได้คาดหมาย ผมก็จะเขียนถึงทางออกขึ้นไว้ และผมก็ได้พบว่า หลังจากที่ผมได้ลงมือเขียนถึงปัญหาลงไว้แล้ว แนวความคิดในการแก้ไข ก็จะเริ่มหลั่งไหลเข้าสู่สมอง" เคียทอธิบาย "ผมจะเขียนแนวความคิดที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับปัญหานั้นๆ เท่าที่คิดออกลง แม้ว่าในบางประการจะดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยก็ตาม แต่แล้ว เมื่อผมหยิบมันขึ้นมาทบทวนอีกครั้ง เอาความคิดต่างๆที่ปรากฏอยู่ มาประสมประสานกันเข้า ผมก็จะได้คำตอบในการแก้ปัญหาอย่างน่าพอใจ"

วิธีวางผังง่ายๆ - จากปัญหาถึงวิธีแก้ไข


ต่อไปนี้เป็นบันได 5 ขั้น ของวิธีการวางผังซึ่งจะช่วยแนะแนวให้แก่คุณ นับตั้งแต่ตัวปัญหาไปจนถึงวิธีการแก้ไข

  1. จงอธิบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ด้วยการเขียนลงไว้ 1-2 ประโยค
  2. แสดงถึงความต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนที่สุดเท่าที่จะทำได้
  3. เขียนหนทางในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในความคิดทุกประการของคุณลงไว้ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
  4. ศึกษาหนทางที่เป็นไปได้ตามที่คุณได้เขียนลงไว้ และทดลองนำไปใช้ดูก่อน โดยการเขียนลงไปในกระดาษ โดยเริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกไปจนถึงบทสรุป คือ เมื่อแก้ปัญหาได้แล้ว ขณะเดียวกันก็เขียนแต่ละขั้นตอนที่จะต้องทำไปตามกระบวนการนั้นลงไว้ด้วย เมื่อถึงขั้นตอนอันจะก่อให้เกิดผลอันมิได้คาดหมาย ให้คุณเขียนทางออกไว้ ในลักษณะเดียวกันกับตัวอย่างผังคอมพิวเตอร์ที่ได้แสดงไว้
  5. ถ้าขั้นตอนแรก จากตัวปัญหาไปจนถึงวิธีการแก้ไขไม่เป็นที่พอใจ คุณก็ทดลองใช้วิธีการอื่นตามที่ได้เขียนลงไว้ต่อไป
แม้มันจะมิใช่สิ่งมหัศจรรย์ สำหรับการที่คุณจะเขียนปัญหา และหนทางในการแก้ไขปัญหานั้นๆ ลงบนหน้ากระดาษ แต่ผลที่ปรากฏตามมา เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างยิ่ง คุณจะได้พบว่า เมื่อคุณได้ทดลองทำอย่างจริงจังแล้ว สติปัญญาของคุณจะเฉียบแหลม เกิดความคิดใหม่ๆขึ้นมา และหนทางในการแก้ปัญหาก็จะชัดเจนขึ้น ทั้งที่คุณอาจจะมองไม่เห็นมาก่อน

และคุณยังจะได้ค้นพบวิธีแก้ปัญหาในหนทางที่เป็นไปได้อีกด้วย และต่อไปนี้ คือ ข้อเสนอแนะเล็กๆน้อยๆ อันจะเป็นประโยชน์แก่คุณ

  • ผู้จัดการบริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่งกล่าวว่า "ผมปล่อยให้ปัญหาทิ้งค้างไว้ก่อน โดยหันไปทำงานอื่นแทน และแล้วเมื่อผมกลับมาอ่านผังนั้นอีกครั้ง ผมก็สามารถมองเห็นภาพและวิธีการแก้ปัญหาที่ชัดเจนขึ้น"
  • นายหน้าค้าหุ้นในนิวยอร์ค ใช้เวลาในยามว่าง คิดแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเขา ชั่วโมงที่เหมาะสมที่สุด คือ ในระหว่างการเดินทางบนรถไฟในตอนเช้าและเย็น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น เขาจะจดบันทึกลงไว้ในสมุดพก และเมื่อขึ้นนั่งบนรถไฟ เขาก็จะอ่านและใช้ความคิดในการแก้ปัญหานั้นทันที
  • ผู้จัดการฝ่ายขายในเมืองมินเนโปลิส กล่าวว่า การเขียนปัญหาของตัวเองลงเป็นสิ่งที่ช่วยเธอได้อย่างมาก "มันทำให้เกิดแนวความคิดติดต่อกันไปเรื่อยๆ และก่อนหน้าที่ฉันจะทันรู้ตัว ฉันก็มองเห็นหนทางมากมาย ที่จะนำมาพิจารณา เพื่อใช้ในการแก้ปัญหา"
  • สมาชิกสภาฯ แห่งแคลิฟอร์เนีย คนหนึ่งกล่าวว่า "ในบางครั้ง ผมก็เคยคิดว่า มันออกจะเป็นการกระทำที่เบาปัญญาอยู่ ในการที่ผมจะต้องเขียนปัญหา ซึ่งผมคุ้นชินกับมันดีอยู่แล้วลงไป รวมทั้งความต้องการในผลลัพธ์ด้วย แต่แล้ว ผมก็บังคับตัวเอง ให้มุ่งมั่นอยู่กับแนวความคิดใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมา และผมรู้สึกแปลกใจที่มองเห็นหนทางแก้ปัญหาได้โดยง่าย"
เมื่อคุณนำเอาความรู้ในการวางผังปัญหา มาประสมประสานกับอาวุธในการแก้ปัญหาอื่นๆ ดังที่ได้เขียนไว้ในตอนต้นของเอกสารนี้แล้ว ก็เท่ากับคุณได้เตรียมพร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างไม่เคยทำมา ก่อน และคุณจะสามารถสู้กับปัญหาได้ทุกรูปแบบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น