จาก หนึ่งสมอง สองมือ
รวมบทสนทนา "ชีวิตธุรกิจ" พ.ศ. 2530
โดย ประสาร มฤคพิทักษ์
ไม่นานมานี้ ผมได้รับเชิญไปพูดในการสัมมนานายตรวจศุลกากร
ผู้ซึ่งมีหน้าที่ในการตรวจค้นสิ่งของผิดกฏหมายและตรวจภาษีอากรเมื่อมีผู้โดยสารนำของเข้าประเทศ
ก็ได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า
ผู้ที่นำของเข้าประเทศที่จะต้องเสียภาษีตามกฏหมายนั้น
มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่หาวิธีไม่ต้องเสียภาษี เช่น ซื้อน้ำหอมเข้า 10
ขวด พอถูกเก็บก็บอกว่าเอามาแจก ไม่ได้เอามาขาย ทั้งๆที่การเก็บภาษีนั้น
ไม่ได้เกี่ยวกับของนั้นจะเอามาแจกหรือเอามาขาย
เมื่อมันเป็นของฟุ่มเฟือยก็ต้องเก็บ
บางคนก็แสดงตัวว่าเป็นคนสำคัญ
หรือบ้างก็เรียกหาคนรู้จักเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตนไม่ต้องเสียภาษี
หลายคนมีความรู้สึกว่า การเสียภาษีคือการเสียศักดิ์ศรี
การเสียภาษีคือการเสียหน้า ฉะนั้น การเอาของเข้าดอนเมือง
ถ้าใครแตะต้องไม่ได้ ถึงจะเป็นคนแน่จริง
นี่คือจิตสำนึกในการเอาเปรียบสังคม
เป็นความคิดในการเสพอภิสิทธิ์และก็ยังถือดีว่านั่นเป็นความถูกต้อง
เป็นความภาคภูมิใจของตนเองที่สามารถไม่ต้องเสียภาษีได้
มีอดีตรัฐมนตรีคนหนึ่ง สมัยยังดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีได้ขับรถผิดกฏจราจร
เมื่อตำรวจเรียกหยุดถามหาใบขับขี่ ตำรวจเห็นชื่อก็รู้ว่ารัฐมนตรี
ก็รีบแสดงความเคารพด้วยท่าทีหวาดๆ แล้วเชิญให้รัฐมนตรีขับรถจากไปได้
รัฐมนตรีท่านนั้นบอกว่า "ไม่ได้หรอก ผมทำผิดกฏหมาย ผมควรได้รับการลงโทษ
เขียนใบสั่งให้ผมเถอะ ผมจะได้ไม่ทำผิดอีกในวันหลัง"
นี่คือจิตสำนึกที่แตกต่างกันระหว่างคนไม่ยอมเสียภาษีทั้งๆที่มีกำลังจะเสียได้กับคนที่ยอมรับกฏจราจร
จิตสำนึกแบบรัฐมนตรี เป็นจิตสำนึกที่หาได้ยากนะครับ
แต่ก็เป็นจิตสำนึกที่เป็นที่ปรารถนาอย่างยิ่งของสังคม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น