++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

คนรุ่นใหม่ ในวังวนการเมืองเก่า

โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 19 กรกฎาคม 2552 15:45 น.




ผู้เขียนบังเอิญได้อ่านพบบทกลอนของ ว.แหวนลงยา
ที่คงเกิดจากอารมณ์สะเทือนใจของผู้ประพันธ์
จึงขออนุญาตนำมาประกอบบทความนี้ด้วยความสะเทือนใจดุจเดียวกัน

เขาจัดให้ ลงพื้นที่ ขี่รถไถ
จัดคนมา คาดผ้าไหม ผ้าขาวม้า
คือฉากเก่า ที่เคยเห็น อยู่เจนตา
เขาเชื่อว่า เธอจะชิน และชอบมัน
เขากางเต็นท์ ขึงป้ายผ้า มาต้อนรับ
จัดมวลชน มาพร้อมสรรพ อย่างแข็งขัน
ทุกหน่วยงาน ทั้งจังหวัด จัดประชัน
ล้วนภาพสร้าง ทั้งนั้น เพื่อวันนี้
วันที่ รับคำสั่ง ทั้งจังหวัด
มอบหมาย หน้าที่ชัด ทุกพื้นที่
งานใหญ่รับ อัครเสนาบดี
รวมทุกพันธุ์ ผักชี มาโปรยปราย
สิ่งที่เธอ ได้เห็น และได้ฟัง
คือภาพสร้าง ตามคำสั่ง รับมอบหมาย
ปัญหาจริง จึงแอบแฝง ไม่แพร่งพราย
ลงพื้นที่ จึงเปล่าดาย แค่การแสดง
ปัญหาบ้าน ปัญหาเมือง จึงหมักหมม
ทับถม ล่มสลาย ในแปลกแปร่ง
กี่ยุค กี่สมัย ไม่เปลี่ยนแปลง
มีแต่การ เสแสร้ง ไม่จริงใจ
หวังให้เธอ มาทบทวน กระบวนท่า
โดยท่วงที ลีลา คนรุ่นใหม่
หวังจะเห็น การเปลี่ยนผ่าน การเมืองไทย
แต่วันนี้ เหมือนถอดใจ ไม่หวังแล้ว.....
เห็นภาพเธอ เปรมปรีดิ์ ขี่รถไถ
บอกไม่ถูก ว่าทำไม ใจวังเวง....!

ว.แหวนลงยา

ในสภาวการณ์การเมืองไทยยุคปัจจุบันที่คนไทยทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่
เริ่มเอือมระอา เบื่อหน่าย และหมดหวังกับวิถีทางการเมืองน้ำเน่า
และอยากปลดระวางเหล่านักการเมืองประเภท มือถือสาก
ปากคาบคัมภีร์ประชาธิปไตย ที่เลือกใช้เพียงรูปแบบประชาธิปไตยปลอมๆ
ไว้แอบอ้างเพื่อแสวงหาอำนาจทางการเมือง เป็นสมบัติผลัดกันชม
และผลัดกันปู้ยี่ปู้ยำบ้านเมืองมาโดยตลอด
โดยประชาชนคนไทยส่วนหนึ่งเริ่มออกมาเรียกร้อง
และพูดถึงการแสวงหาแนวทางใหม่ๆ
เพื่อสร้างรูปแบบการเมืองแบบใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
โดยประชาชนมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจอธิปไตยทั้งทางตรงและทางอ้อม
และมีสิทธิมีเสียงอย่างแท้จริง

พรรคการเมืองใหม่ที่ก่อตั้งโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
อาจเป็นประกายไฟเล็กๆ
ส่วนหนึ่งที่ก่อเกิดจากแรงกดดันในการต่อสู้ทางการเมืองภาคประชาชน
ที่ขับเคี่ยวกับระบอบการเมืองเก่าอย่างเข้มข้นแต่ก็ยังเป็นเพียงการเริ่มต้น
ที่ต้องใช้ระยะเวลา ซึ่งยังไม่มีใครกำหนด คำนวณได้ว่า
จะยาวนานเพียงใดที่จะบังเกิดระบอบการเมืองใหม่ในประเทศนี้ได้จริงๆ
หรือไม่

ความหวังหนึ่งที่พอจะจับต้องได้สำหรับคนไทย ก็คือ
การได้นายกรัฐมนตรีชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ไฟแรง
ที่เพียบพร้อมด้วย คุณวุฒิ และความสดใสสะอาดทั้งการดำเนินชีวิตส่วนตัว
และการดำเนินกิจกรรมทางการเมือง ที่มีภาพลักษณ์ของคนรุ่นใหม่
ที่เป็นความหวังว่าจะเข้ามาปรับเปลี่ยนกอบกู้
และสร้างวิถีทางการเมืองที่แตกต่างจากบรรดารุ่นพี่ รุ่นพ่อ
หรือรุ่นปู่ทางการเมืองไทย
ที่เหมือนวิญญาณร้ายอัปลักษณ์สิงสู่อยู่ในรัฐสภาไทยมายาวนาน

การประกาศจุดยืนและแนวนโยบายที่จะยืนข้างความถูกต้อง พร้อมกฎเหล็ก
9 ข้อ ภายใต้สโลแกน ประชาชนต้องมาก่อน เปรียบเหมือนแสงไฟปลายอุโมงค์
ที่สร้างความหวังให้แก่การเมืองไทย
และคนไทยทุกคนที่จะหลุดพ้นจากอุโมงค์ประชาธิปไตยปลอมๆ อันมืดมิดเสียที

แต่จะด้วยเหตุใดไม่ปรากฏ เวลาที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ใช้อำนาจรัฐมากว่า 6 เดือน ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ภาพลักษณ์อันตื่นตาตื่นใจในความสดใหม่เริ่มจะค่อยๆ เลือน และค่อยๆ
เกลื่อนกลืนไปในวังวนการเมืองแบบเก่าๆ
ที่ยังคงใช้วิธีประนีประนอมสานผลประโยชน์ระหว่างพรรคร่วม
โดยทำตรงข้ามกับคำว่าประชาชนต้องมาก่อนในแทบทุกเรื่องไป
คือเป็นการเมืองเก่าที่ยังยึดประโยชน์พรรค มุ่งรักษาอำนาจทางการเมือง
และไม่กล้าจัดการกับสิ่งไม่ถูกต้องของบ้านเมืองอย่างแท้จริง
มิหนำซ้ำยังดูเหมือนจะสยบยอมกับสิ่งที่รู้อยู่ว่าเป็นการแอบแฝงฉ้อฉล
โดยเพียงแค่ใช้ลีลาฟุตเวิร์กเลี่ยงๆ หลบๆ ไปวันๆ

และเมื่อถึงวาระศุภฤกษ์
ที่ต้องลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน
ก็ยิ่งประจักษ์ชัดว่า นายกฯ อภิสิทธิ์
ที่เคยเป็นความหวังของคนไทยผู้รักชาติรักประชาธิปไตย ที่อยากเห็นนายกฯ
หนุ่มคนรุ่นใหม่มาเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง
ได้ถูกดับความฝันและความหวังลงอย่างน่าเสียดาย

นายกฯ อภิสิทธิ์
ยอมให้ใครก็ตามที่ยังยึดถือคัมภีร์การเมืองไทยแบบเก่าๆ
จัดการให้การลงพื้นที่ของนายกรัฐมนตรีที่จังหวัดบุรีรัมย์
ยังคงสภาพการตรวจราชการแบบนักการเมืองน้ำเน่า อย่างสมบูรณ์แบบ

บทกลอน ของ ว.แหวนลงยา ข้างต้นบทความนั้น
เป็นการบรรยายแทนความรู้สึกของคนไทยจำนวนไม่น้อยที่ผิดหวัง
และหมดหวังกับระบอบการเมืองไทย และนักการเมืองไทย

ผู้เขียน ยังอดไม่ได้ที่จะแอบหวังลึกๆ ว่า นายกฯ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งยังมีหนทางอีกยาวไกลบนถนนการเมืองไทย
จะมีเวลาฉุกคิดทบทวนไตร่ตรอง
และสลัดตัวตนให้หลุดพ้นจากวังวนการเมืองเก่าๆ ซึ่งพิสูจน์ชัดแล้วว่า
เป็นอันตรายกัดกร่อนพื้นฐานการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด
แล้วหันมาร่วมมือกับประชาชนคนไทยในการสร้างวิถีทางการเมืองแบบใหม่
ที่จะเป็นระบอบการเมืองที่เอื้อประโยชน์สุขแก่ประชาชนคนไทย
และประเทศชาติสังคมไทยโดยส่วนรวมอย่างแท้จริง

วิทยา วชิระอังกูร


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000081461


อ่านมาหลายๆความคิดเห็นแล้วทำให้เข้าใจได้ว่า .....
เวลานี้คนไทยกำลังแบ่งแยกทางความคิดออกเป็นสองทาง .....

ทาง แรกคือการยอมรับวิธีการทางการเมืองแบบเก่า .... คือ
ขอให้เป็นคนไม่คดโกง
ส่วนจะทำอะไรไม่ทำอะไรนั้นว่ากันไปตามสบายฉันไม่เกี่ยว
นอกจากว่าหากมีผลกระทบกับใครคนกลุ่มนั้นๆก็ออกมาโวยวายให้สังคมเห็นใจแล้วก็
มองว่าความเดือดร้อนของกลุ่มตนนั้นเป็นความเดือดร้อนของคนทั้งชาติ
พอได้อะไรไปบ้างพอบันเทาก็เลิกโวยวายไป
ลักษณะสังคมแบบนี้มันเอื้อต่อผู้มีอิทธิพล
ซึ่งเป็นปัจจัยหลักของสังคมทุกวันนี้ ที่ซ้ำร้ายกว่านั้นพอเริ่มชิน
ก็ออกมายอมรับเสียหน้าตาเฉยว่า จะโกงกันบ้างก็ไม่เป็นไร
ขอให้ทำงานให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ แต่เดินไปทางไหนไม่มีใครรู้
ของให้พวกตรูได้ประโยชน์ถือว่าดี

ส่วนแนวความคิดอีกทางหนึ่งนั้น อยากเห็นคนเป็นผู้นำเป็นประเภทใจกล้า
ท้าชน ไม่สนผลประโยชน์ใดๆ เรียกว่าต้องเป็นผู้นำชนิด ปะฉะดะ ไปเลย
ผู้นำไทยหาคนแบบนี้ยากหากไม่ใช่ผู้นำที่มาจากการปฏิวัติ
เพราะประเทศไทยเราเติบโตมาจากระบบเจ้าขุนมูลนายความเคยชินเรื่องเหล่านี้ยัง
ติดตัวติดใจติดความคิดมาจนทุกวันนี้ ดูง่ายๆการเห่อตำแหน่งคุณหญิงคุณนาย
แม้แต่พระก็เห่อสมณศักดิ์ จนผิดวิสัยผู้ทรงศีล
ผู้นำประเภทนี้จึงมักเป็นผู้นำมวลชนนอกระบบการเมืองเก่า

ครับคนไทยอยากให้ประเทศชาติก้าวต่อไปอย่างไร คงต้องตัดสินใจกันเอาเอง
ว่าแต่อย่าตัดสินใจบนเงินที่มีคนมาให้ก็แล้วกัน
ตามสบาย

--
ท่านเจ้าของบทความได้เคยพูดไว้หลายครั้งว่า ท่านเป็นมหามิตร
คือเป็นมิตรที่มีแต่ความรัก และปรารถนาดี ต่อตัวนายกที่ชื่ออภิสิทธิ์
ซึ่งท่านรู้จักเป็นการส่วนตัว และได้สนทนาแลกเปลี่ยนก็หลายหน
และเคยบอกด้วยซ้ำว่าบทความที่เขียนออกมานั้น ก็เพื่อรักษานายกคนนี้เอาไว้
ซึ่ง หลายบทความที่อ่าน สนับสนุนคำพูดท่านน้อยเต็มที ยิ่งกับบทความนี้
หลังอ่านจบไป 5 รอบ สิ่งเดียวที่ชัดเจนในทุกถ้อยคำคือ ความอคติล้วนๆ

ถ้า ท่านเคยเป็นมหามิตร หากมีความจริงอยู่บ้างในคำอ้าง
ความเป็นมิตรนั้นก็คงตายดับไปนานแล้ว
ไม่หลงเหลือแม้แต่ซากให้หันกลับไปทอดตามอง
สิ่งที่เหลือก็คงเพียงลมปากที่พ่นออกมาพร้อมกับคำๆนั้น
โดยหาความจริงใจได้ไม่

แต่ละบทความของท่าน
ไม่มีสิ่งใดที่เหลือให้พอจรรโลงได้เลยในตัวนายกที่ชื่ออภิสิทธิ์
ท่านพยายามอย่างหนักมากจริงๆที่จะนำเสนอภาพในด้านลบ
แม้ภาพนั้นมันไม่ได้ร่วมสมัยเอาซะเลย ท่านก็ยังทำ
แล้วยังกล้าอ้างได้อีกว่าเป็นมหามิตร
น่าสงสารคนที่ได้ท่านเป็นมิ่งมิตรยิ่งนัก เพราะถ้ามิตรของเรา
ทำกับเราสักครึ่งเช่นที่ท่านพยายามทำกับมหามิตรที่ชื่ออภิสิทธิ์
ให้ศัตรูเอามีดมาจ้วงแทงข้างหลังสัก 2-3 แผล
อาจสร้างความเจ็บปวดได้น้อยกว่าก็เป็นได้

ท่านผู้เขียน (ขออนุญาตไม่เรียก อาจารย์ ไม่ใช่ว่าก้าวร้าว
เพียงแต่กังขาในการกระทำของท่านจนไม่อาจยอมรับโดยสนิทใจได้ )
อายุอานามคงไม่น้อย ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็คงหลายทศวรรต
ผ่านเหตุการณ์ทั้งร้าย และดีในบ้านเมืองมาก็คงไม่น้อย
ทั้งหลายทั้งปวงน่าจะทำให้ท่านรู้ซึ้งถึงสถานการณ์บ้านในเมืองในยามนี้
และรู้ซึ้งมากขึ้นกับทุกก้าวย่างของมหามิตรของท่านที่ชื่ออภิสิทธิ์

แต่ท่านกลับบอกว่า "ไม่รู้เหตุผลกลใด "
จึงทำให้เกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นในรัฐบาลนายกอภิสิทธิ์

ถ้า ที่ท่านบอกกล่าวออกมาจากใจจริง ท่านก็ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก
ที่ประสบการณ์ร้อนหนาวไม่ได้มอบคุณประโยชน์อันใดให้แก่ท่านเลย
หากทว่าท่านบอกกล่าวแก่ศิษย์ บรรดาแฟนๆ
และสังคมเช่นนี้เพียงเพื่อหวังผลด้านลบที่เกิดแก่มหามิตรของท่าน
ท่านผู้เขียน ท่านยิ่งน่าผิดหวังยิ่งกว่าสำหรับสังคมที่กำลังแหงนคอตั้งบ่ารอคอยความหวัง
ด้วยใจที่สับสน ซึ่งคนส่วนใหญ่พร้อมที่จะถูกชักจูง
ถูกชี้นำด้วยความไร้เดียงสา หลงคิดว่า
เมื่อสิ่งใดก็ตามที่ส่งตรงมาจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีต้นทุนทางด้านการศึกษา
สูงลิบ ย่อมจะทรงคุณอนันต์ มีค่ามหันต์ ทั้งๆที่แท้ที่จริง
มันอาจเคลือบด้วยยาพิษอานุภาพการทำลายล้างรุนแรงยิ่งกว่าปรมณูชนิดใดที่มี
อยู่ในโลกด้วยซ้ำ เพราะมันพุ่งเข้าทำลายศรัทธา
ความเชื่อมั่นอันมีค่าสูงสุดในตัวคนๆหนึ่งโดยตรง

คนเราถ้าสิ้นศรัทธา ในกันซะแล้ว ไม่ตายก็เหมือนตาย จริงมั้ยท่านผู้เขียน
ไหนๆก็ไหนๆ ท่านอย่าได้หลบอยู่หลังคำว่า "มหามิตร " อีกต่อไปเลย
ทำให้ผู้อ่านที่ขาดวิจารณญาณ พร้อมจะถูกชักจูงสับสนเปล่าๆ
เผยตัวตนออกมาเลยดีกว่าว่า ท่านพยายามเขย่าศรัทธาในตัวนายก
และแอบทั้งผลักทั้งดัน กมม อย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
ถึงท่านจะเขียนถึงพรรคนี้แบบเฉียดไปเฉียดมา ไม่กล้าใส่เต็มๆ
แต่วิธีการมันเผยตัวท่านแล้ว

สุดท้ายขอฝากไว้สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของ ผู้เขียนท่านนี้
หรือใครก็ตามที่ทำเป็นรับไม่ได้ที่เห็นนายกจำใจต้องร่วมมือกับเนวิน
ขอย้ำนะว่า จำใจ ช่วยตั้งสติตัวเองให้มั่น แล้วมองไปรอบๆตัวของตัวเองว่า
วันๆหนึ่งคุณต้องสัมผัสถูกแต่คนดีเลิศประเสริฐศรีเท่านั้นจริงๆหรือ
ไม่มีสักวันละหลายๆครั้งเลยใช่มั้ยที่คุณจำใจต้องยิ้มแย้มกับคนชั่ว
และบางคราบบางคราว
แม้แต่ตัวคุณเองก็จำใจต้องยอมถึงขนาดให้ถูกมองว่าชั่วซะเอง
เพื่ออะไรบางอย่างที่คิดซ้ายคิดขวา คิดหน้าคิดหลังดีแล้ว
ว่านี่แหละหนทางดีที่สุดสำหรับอะไรต่อมิอะไรอีกมากมายหลายอย่าง
ถ้าหยุดคิดดีแล้ว และได้คำตอบว่าคุณช่างแสนจะดีเลิศล้ำ
บริสุทธิ์ดุจน้ำค้างกลางหาวล่ะก็ เชิญด่าว่านายก
และเจ้าของความเห็นนี้ได้ตามสบาย ใส่กันให้เต็มที่
แต่ถ้าคุณไม่สามารถอยู่อย่างสะอาดสะอ้านได้ปานนั้น
ก็ยอมรับความจริงซะบ้าง อย่ามาทำปากว่าตาขยิบ
แล้วฉวยโอกาสเข่นฆ่าศรัทธาคนอื่นอย่างเห็นแก่ตัว
และเอาแต่ใจอย่างน่ารังเกียจเช่นนี้จะดีกว่า
แจ๋ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น