วิธีการชาร์จมือถือที่ถูกต้อง
แบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท็บเลทในปัจจุบัน มีข้อแนะนำการชาร์จมือถือจากผู้เชียวชาญในต่างประเทศ ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการชาร์จไป และโทรไป เพราะแบตเตอรี่ต้องทำงานมากกว่าปกติถึง 40 เท่าในขณะชาร์จ เมื่อเทียบกับตอนไม่ได้ชาร์จ เนื่องจากขณะใช้มือถือหรือแท็บแล็ตพกพานั้น ใช้แรงดันไฟเพียง 5 และ 10 โวลย์ตามลำดับ แต่เมื่อเสียบสายชาร์จแล้ว หม้อแปลงเล็กในตัวชาร์จ จะรับแรงดันไฟถึง 220 โวลย์จากเต้าเสียบ เพื่อแปลงลงเหลือ 5 โวลย์ให้กับมือถือ ทำให้อุณภูมิขณะชาร์จสูงกว่าเดิม ในระดับ 40-50 องศา และเมื่อใช้มือถือโทรศัพย์ จะเพิ่มการใช้ไฟและความร้อนให้กับมือถือโดยอัตโนมัติ หากแบตใกล้จะหมดอายุหรือเสื่อมสภาพ จะทำให้ทนต่อแรงดันไฟและความร้อนไม่ได้เหมือนเดิม ก่อให้เกิดการระเบิดตามเป็นที่เป็นข่าว
2. ควรใช้ปลั๊กสามตาแบบสายยาวต่อเป็นเต้าเสียบให้มือถือ จะมีความปลอดภัยสูงกว่าการเสียบมือถือเข้าเต้าเสียบโดยตรง เพราะเต้าเสียบหลายตาแบบสายยาว จะมีฟิวส์และตัวตัดไฟป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร หรือการใช้ไฟมากกว่าปกติอยู่แล้ว
3.ไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% เพราะจะทำให้แบตเสื่อมเร็ว จากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ ระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70% จะดีที่สุด แต่การใช้ชาร์จจริงที่ระดับ 35-60% ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้
4.ไม่ควรชาร์จไฟในขณะที่แบตหมดเกลี้ยง ในระดับเปิดเครื่องเปิดไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาด เพราะทำให้แบตพังไวมาก เนื่องจากแบตจะต้องรับภาระการการเรียกคืนประจุหรือรอบการชาร์จ มากกว่าการชาร์จขณะแบ็ตยังไม่หมด ซึ่งนอกจากจะใช้ไฟชาร์จมากกว่าเดิมถึง3เท่า ยังทำให้แบตร้อนกว่าเดิมถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับการชาร์จในตอนที่แบตไม่หมด
5.ไม่ต้องกังวลว่าการชาร์จมือถือทิ้งไว้ ในขณะที่แบตเต็ม จะมีปัญหากับแบตหรือไม่ เพราะมือถือและแท็บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟ เมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100%
6. หลีกเลี่ยงการทำมือถือตกพื้น เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสียหาย อาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท็บเลทมีปัญหาได้
7. เวลาชาร์จควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือ-แท๊บเลทอีกที เพื่อป้องกันไฟกระชาก
8. สังเกตุเครื่องหมายรับรองคุณภาพ CE บนแบตแท้ว่ามีหรือไม่ ซึ่ง CE หมายถึง Conformite European เป็นเครื่องหมายที่แสดงการรับรองจากผู้ผลิตว่าสินค้านั้น มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของสหภาพยุโรป การมีเครื่องหมาย CE กำกับบนสินค้าจะทำให้สินค้านั้นสามารถวางจำหน่าย และสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีในเขตเศรษฐกิจยุโรป
แบตเตอรี่ชนิด Li-ion และ Li-Polymer เป็นแบตที่ใช้กันอยู่ในมือถือและแท็บเลทในปัจจุบัน มีข้อแนะนำการชาร์จมือถือจากผู้เชียวชาญในต่างประเทศ ดังนี้
1. หลีกเลี่ยงการชาร์จไป และโทรไป เพราะแบตเตอรี่ต้องทำงานมากกว่าปกติถึง 40 เท่าในขณะชาร์จ เมื่อเทียบกับตอนไม่ได้ชาร์จ เนื่องจากขณะใช้มือถือหรือแท็บแล็ตพกพานั้น ใช้แรงดันไฟเพียง 5 และ 10 โวลย์ตามลำดับ แต่เมื่อเสียบสายชาร์จแล้ว หม้อแปลงเล็กในตัวชาร์จ จะรับแรงดันไฟถึง 220 โวลย์จากเต้าเสียบ เพื่อแปลงลงเหลือ 5 โวลย์ให้กับมือถือ ทำให้อุณภูมิขณะชาร์จสูงกว่าเดิม ในระดับ 40-50 องศา และเมื่อใช้มือถือโทรศัพย์ จะเพิ่มการใช้ไฟและความร้อนให้กับมือถือโดยอัตโนมัติ หากแบตใกล้จะหมดอายุหรือเสื่อมสภาพ จะทำให้ทนต่อแรงดันไฟและความร้อนไม่ได้เหมือนเดิม ก่อให้เกิดการระเบิดตามเป็นที่เป็นข่าว
2. ควรใช้ปลั๊กสามตาแบบสายยาวต่อเป็นเต้าเสียบให้มือถือ จะมีความปลอดภัยสูงกว่าการเสียบมือถือเข้าเต้าเสียบโดยตรง เพราะเต้าเสียบหลายตาแบบสายยาว จะมีฟิวส์และตัวตัดไฟป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร หรือการใช้ไฟมากกว่าปกติอยู่แล้ว
3.ไม่ควรชาร์จในขณะที่แบตต่ำกว่า 30% เพราะจะทำให้แบตเสื่อมเร็ว จากผลการทดสอบจากต่างประเทศได้ระบุว่า หากชาร์จแบตเตอรี่ที่ระดับ ระดับแบตเตอรี่อยู่ที่ 65-70% จะดีที่สุด แต่การใช้ชาร์จจริงที่ระดับ 35-60% ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอรับได้
4.ไม่ควรชาร์จไฟในขณะที่แบตหมดเกลี้ยง ในระดับเปิดเครื่องเปิดไม่ติด (แบตเหลือ 0%) โดยเด็ดขาด เพราะทำให้แบตพังไวมาก เนื่องจากแบตจะต้องรับภาระการการเรียกคืนประจุหรือรอบการชาร์จ มากกว่าการชาร์จขณะแบ็ตยังไม่หมด ซึ่งนอกจากจะใช้ไฟชาร์จมากกว่าเดิมถึง3เท่า ยังทำให้แบตร้อนกว่าเดิมถึง 2 เท่า เมื่อเทียบกับการชาร์จในตอนที่แบตไม่หมด
5.ไม่ต้องกังวลว่าการชาร์จมือถือทิ้งไว้ ในขณะที่แบตเต็ม จะมีปัญหากับแบตหรือไม่ เพราะมือถือและแท็บเลทในปัจจุบันนั้น มีระบบตัดไฟ เมื่อชาร์จแบตจนเต็ม 100%
6. หลีกเลี่ยงการทำมือถือตกพื้น เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสียหาย อาจจะทำให้สารเคมีในแบตรั่วไหล หรือขั้วแบตอาจจะหลุดออกมาก็เป็นได้ ซึ่งจะส่งผลให้จ่ายไฟไม่นิ่ง และการใช้งานกับตัวเครื่องมือถือหรือแท็บเลทมีปัญหาได้
7. เวลาชาร์จควรเสียบที่ชาร์จกับปลั๊กไฟก่อน แล้วค่อยเอาหัวชาร์จมาเสียบกับมือถือ-แท๊บเลทอีกที เพื่อป้องกันไฟกระชาก
8. สังเกตุเครื่องหมายรับรองคุณภาพ CE บนแบตแท้ว่ามีหรือไม่ ซึ่ง CE หมายถึง Conformite European เป็นเครื่องหมายที่แสดงการรับรองจากผู้ผลิตว่าสินค้านั้น มีคุณสมบัติตามข้อกำหนดด้านสุขภาพ ความปลอดภัย ตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องของสหภาพยุโรป การมีเครื่องหมาย CE กำกับบนสินค้าจะทำให้สินค้านั้นสามารถวางจำหน่าย และสามารถเคลื่อนย้ายได้อย่างเสรีในเขตเศรษฐกิจยุโรป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น