++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2557

...เมื่อความรักก่อเกิดไปตามระยะทาง .... ฮอร์โมนก็เปลี่ยนไป..

?#?ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่น่าทึ่ง?......เมื่อความรักก่อเกิดไปตามระยะทาง .... ฮอร์โมนก็เปลี่ยนไป....ก่อเกิดอารมณ์ รัก เศร้า เหงา หึงหวง เขินอาย...
1 ช่วงหลง
ปฐมบทแห่งรักที่ถูกขับเคลื่อนโดยฮอร์โมนเพศ คือเอสโตรเจนและเทสโทสเตอโรน โดยทั่วไปมนุษย์ทั้งเพศหญิงและเพศชายล้วนมีฮอร์โมนทั้ง 2 ชนิดนี้อยู่ในร่างกาย ตามธรรมชาติ ผู้หญิงจะมีปริมาณอีสโตรเจนมากกว่าเทสโทสเตอโรน ส่วนผู้ชายจะมีปริมาณเทสโทสเตอโรนมากกว่าเอสโตรเจน เมื่อผู้หญิงได้รับความรัก ความเอาใจใส่จากผู้ชายที่เธอถูกใจ ปริมาณเอสโตรเจนในร่างกายของผู้หญิงจะค่อย ๆ ลดระดับลง เหลือเพียงเทสโทสเตอโรน ส่วนผู้ชายที่มีความสุขกับคนที่เขารัก ปริมาณเทสโทสเตอโรนจะค่อย ๆ ลดลงจนเหลือแต่เอสโตรเจน และปริมาณฮอร์โมนที่ไม่สัมพันธ์กันนี้เอง ที่ทำให้เกิดความรักขั้นแรกที่เรียกว่า "ความหลง" ความรักระดับนี้ทำให้รู้สึกใจเต้นตึกตัก มือไม้สั่น เขินอายเมื่อเจอคนรัก
2 ช่วงตกหลุมรัก
ช่วงนี้จะกินเวลาประมาณ 2-3 เดือน บางคนอาจสั้นเพียงไม่วันหรืออาจนานกว่านั้น เป็นช่วงที่ทำให้ชีวิตเราผิดเพี้ยนไป ไม่รับรู้ ไม่สนใจสิ่งรอบกาย ไม่กิน ไม่นอน เอาแต่นั่งฝันเพ้อ ละเมอถึงคนรัก ตดก็ว่าหอม ทำอะไรก็น่ารักไปหมด อาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ถูกควบคุมโดยกลุ่มสารสื่อประสาทที่เรียกว่า โมโนอะมิเนส (Monoamines) ซึ่งประกอบด้วย ฮอร์โมน 3 ตัวคือ
ฮอร์โมนโดพามีน (Dopamine) เป็นสารเคมีที่ช่วยให้สมองตื่นตัว เช่นเดียวกับนิโคตีนและโคเคอีน
ฮอร์โมนนอร์เอพิเนฟรีน (Norepinephrine) หรือรู้จักกันในนามของ อะดรีนาลิน (Adrenalin) ที่เป็นตัวการทำให้เราเหงื่อแตก และหัวใจเต้นรัว ยามตื่นเต้น มีความสุข ซาบซ่าน
ฮอร์โมนเซโรโทนิน (Serotonin) หนึ่งในสารสำคัญที่ทำให้เราเกิดอาการ…ซึม..เศร้า..เหงา..เพราะรัก
3 ช่วงผูกพัน
หลังช่วงตกหลุมรัก โดยส่วนใหญ่คนที่ชินกับฮอร์โมนในช่วงนั้น จะโบกมือลากันไป เพราะเข้าใจผิดว่า คนๆนี้ไม่ใช่ เนื่องจากไม่ตื่นเต้นจิ๊ดจ๊าดซาบซ่าน เหมือนช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา อะไรๆก็เริ่มปรากฏความจริง ไอ้ที่ว่าตดก็หอมก็เริ่มไม่จริง ไม่อยากคุยโทรศัพท์ไม่หลับไม่นอนยันสว่างแล้ว แต่ถ้าไม่เลิกกันไป ก็จะเข้าสู่ช่วงแห่งความผูกพัน สมองในตอนนี้จะว่าด้วยการตกลงปลงใจที่จะใช้ชีวิตคู่และสร้างครอบครัว ช่วงนี้จะเกิดฮอร์โมนสองตัวสำคัญคือ
- ออกซีโทซิน (Oxytocin) จากต่อมไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่ง ช่วยกระตุ้นให้เกิดการขับน้ำนม และเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่าง มารดาและ ทารก โดยมีการพบว่า ออกซีโทซินจะถูกขับออกมา เมื่อชายหญิงมีความสัมพันธ์ทางเพศที่ลึกซึ้ง ทฤษฏีบอกไว้ว่า ยิ่งชายหญิงมีความสัมพันธ์กัน ลึกซึ้งแค่ไหน ความผูกพันก็มีมากขึ้นเท่านั้น ฮอร์โมนตัวนี้ทำให้สัตว์เพศแม่พยายามเลี้ยงดูลูกของตนและสร้างความผูกพันระหว่างคู่รักในความอาทร ห่วงหากัน
- ฮอร์โมน วาโซเพรสซิน (Vasopressin) ปกติมีหน้าที่รักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย และจะถูกขับออกมาเมื่อร่างกายขาดน้ำ ความตึงเครียดสูง ความดันเลือดสูง หรือเมื่อคู่รักมีความสัมพันธ์ทางเพศ แต่มฮอร์โมนนี้มีหน้าที่อีกอย่างคือ สร้างความยึดมั่นในคู่รักของตน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่ง พยายามทำการศึกษาฮอร์โมนวาโซเพรสซิน ในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่จับคู่อยู่กินกันแบบผัวเดียวเมียเดียวตลอดชีวิต (Monogamous) สัตว์บางชนิดในกลุ่มนี้จะตรอมใจตายตามคู่ของมันไปหากมันต้องเป็นหม้าย โดยไม่คิดจะมีใหม่ นักวิทยาศาสตร์ใช้หนูชนิดหนึ่ง ในทุ่งหญ้าแพรรี ในการทดลอง หนูชนิดนี้เป็น 1 ในกลุ่มสัตว์ Monogamous การทดลองทำโดยการให้ยาที่ลดปฏิกริยาของฮอร์โมนวาโซเพรสซินในหนูตัวผู้ ผลปรากฏว่า หนูตัวผู้ตัวนั้นเริ่มมีอาการเย็นชา ห่างเหินคู่รัก และไม่แสดงอาการหึงหวงเมื่อมีหนูหนุ่มตัวอื่นๆ เข้ามาใกล้คู่รักของตน จึงเป็นข้อสรุปได้ในเบิ้องต้นถึงหน้าที่ของฮอร์โมนวาโซเพรสซินที่มีในมนุษย์ด้วย
อ่านเพิ่ม http://www.novabizz.com/NovaAce/Physical/Science-of-Love.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น