คุณมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตบ้างหรือเปล่า?
คนเรามักจะเอาคำตอบจากใครต่อใครมาตั้งแต่ยังเล็ก
ว่ากันว่าช่วงแรกเกิดถ้าไม่เป็นเด็กช่างถาม
ก็ยากที่จะอยากรู้อยากเห็น
และเมื่อไม่อยากรู้อยากเห็น
โตขึ้นก็ใช้ชีวิตในโลกแบบยินยอม
ชีวิตบังคับให้หาข้าวกินเองก็หาข้าวกินเอง
ชีวิตบังคับให้เรียนหนังสือก็เรียนหนังสือ
ชีวิตบังคับให้ทำงานก็ทำงาน
ชีวิตบังคับให้หาคู่ครองก็หาคู่ครอง
ชีวิตบังคับให้แก่ก็ยอมแก่
ชีวิตบังคับให้ตายก็ยอมตาย
ไม่มีการอิดเอื้อนสักแอะ
โจทย์ข้อเดียวคือทำอย่างไร
จึงจะผ่านข้อบังคับของชีวิตแต่ละข้อไปได้เท่านั้น
ถ้าจะมีคำถามเกี่ยวกับชีวิตอยู่บ้าง
แต่ละคนมักมีคำถามในเชิงไม่เข้าใจ
ว่าทำไมตัวเองต้องมาเป็นอย่างนี้
คนจนจะถามว่าทำไมตัวเองไม่รวยแบบเสี่ย
คนโง่จะถามว่าทำไมตัวเองไม่ฉลาดแบบคนอื่น
คนขี้เหร่จะถามว่าทำไมตัวเองไม่สวยไม่หล่อแบบดารา
คนโชคร้ายบ่อยจะถามว่าทำไมตัวเองไม่โชคดีแบบบางคน
ส่วนคนที่รวย ฉลาด สวยหล่อ และโชคดีเป็นประจำนั้น
คำถามเกี่ยวกับชีวิตมักออกแนวทำไมฉันไม่เจอคู่เหมาะๆซะที
สรุปว่าคำถามเกี่ยวกับชีวิตของแต่ละคน
มักเกิดจากการถูกชีวิตบังคับให้คิดถึงสิ่งที่ตัวเองยังไม่มี
ไม่ใช่เกิดจากการฉลาดตั้งคำถามให้เข้าใจชีวิต
และเมื่อไม่เข้าใจชีวิต
ชีวิตจึงปรากฏเป็นกรงขังที่น่าอยู่ น่าหวงแหน และน่าเอาใหม่
ผู้ใหญ่มักเห็นความสงสัยบางข้อของเด็กๆเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ
ไร้สาระ ไร้ความน่าใส่ใจ ไร้ประโยชน์ที่จะตอบ
ทั้งที่จริงถ้าเด็กถามอะไรอย่างนั้นได้
ก็ถือเป็นโอกาสทองของชีวิตเขาทีเดียวถ้ามีคำตอบให้
คำถามนั้นคือ เขาเกิดมาทำไม?
เด็กจะต้องมีบุญเก่ามาดีมากทีเดียว
ถ้าได้พ่อแม่ที่มีความรู้ในพุทธศาสนาพอจะช่วยตั้งคำถามให้ใหม่ว่า
"ลูกไม่ได้เกิดมาทำไม แต่ทำไมลูกถึงเกิดมาต่างหาก"
จากนั้นก็ขึ้นอยู่กับว่าพ่อแม่จะมีศรัทธาและความเข้าใจ
ในเรื่องของกรรมวิบากอันจัดสรรให้มาเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
ตลอดจนเรื่องของหนทางอันควรใช้ชีวิต
ไปสู่ความเป็นบรมสุขอันเป็นที่สุดได้อย่างไร
คำตอบของคุณที่มีให้กับลูก
ถือเป็นเครื่องชี้ว่าลูกหอบบุญเก่ามาขนาดไหน
และคุณทำบุญใหม่กับอีกชีวิตหนึ่งได้ปานใด
แต่หากคุณเห็นเป็นคำถามเหลวไหลและไม่ให้ลูกถามอีก
เขาก็จะเป็นเหมือนเด็กส่วนใหญ่ในโลก
ที่โตขึ้นด้วยการใช้ชีวิตอย่างเหลวไหล
หรือไม่ก็เหลวแหลกไปเลย
เหมือนอย่างที่เรากำลังเห็นประจักษ์กันทุกวันนี้แหละ!
ดังตฤณ
มีนาคม ๕๔
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น