"เรา เดินทางมาถึงทะเลแล้ว เมื่อได้ดำผุดดำว่ายอยู่ในทะเล
อาตมารู้แล้วว่าสดชื่นเพียงใด
ก่อนหน้านี้เราเอาแต่มองทะเลแล้วรู้สึกเอาเองว่า แหม! ลมทะเลเย็นดีนะ
แต่หลังจากที่ลงไปดำผุดดำว่ายอยู่กับมันมาหลายปี เราก็ได้ตระหนักรู้ว่า
การลงไปว่ายมันมีความสุขมากกว่าไปยืนรับลมอยู่ที่ชายหาดตั้งเยอะ"
ว.วชิรเมธี พระผู้ให้ปัญญาแก่สังคมในมิติที่กว้างไกลและลุ่มลึก
เอ่ยขึ้นมาระหว่างที่ได้สนทนากับท่านเมื่อไม่นานมานี้
ทะเลที่ไหนหรือที่มีเสน่ห์ชวนหลงใหลได้ปานนั้น
"ใน ช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้
อาตมาตอบตัวเองได้แล้วว่าจะเลือกอะไรให้กับชีวิต โดยเฉพาะในช่วงต้นปี
2552 ที่มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมกับท่านติช นัท ฮันห์ ที่ประเทศฝรั่งเศส
ทำให้ได้คำตอบว่าเส้นทางของอาตมาหลังจากนี้ไป
ควรเป็นเส้นทางสายความสงบร่มเย็น ควรเป็นเส้นทางแห่งการเรียนรู้
มากกว่าเส้นทางของพระนักวิชาการ
อาตมาได้คำตอบให้ตัวเองว่า การเป็นผู้ตื่นรู้สำคัญกว่าการเป็นผู้รู้
เพราะการตื่นรู้ทำให้ทำให้เรามีความสุขทุกเวลานาที
แต่ถ้าเราเป็นพระที่มีบุคลิกแบบพระนักวิชาการ มันทำให้เราเต็มไปด้วยปัญหา
เต็มไปด้วยคำถามที่ดังก้องอยู่ในหัว
ต้องแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลาไม่จบไม่สิ้น
ในเวลานี้อาตมาได้คำ ตอบแก่ตัวเองว่า
ทางของการเป็นผู้ตื่นรู้อยู่ในปัจจุบัน
เป็นเส้นทางที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุด
เส้นทางการเป็นพระนักวิชาการควรจะลดความสำคัญลงไป
ต่อไปนี้ฉันจะเดินทางสายใน ไม่เดินทางสายนอกอีกต่อไปแล้ว"
สิ่งที่ค้นพบก็คือว่า
"ก่อน หน้านั้นอาตมานำความรู้เข้ามาสู่ชีวิต
แต่หลังจากผ่านการวิปัสสนากรรมฐานมาตามลำดับ
จึงได้เรียนรู้ว่าการนำธรรมเข้ามาสู่ชีวิตมันต่างกัน
เอาความรู้เข้ามาสู่ชีวิตทำให้ตัวเราพอง ยิ่งกินพื้นที่
แต่ถ้าเอาความตื่นรู้เข้ามามันทำให้ตัวเราเล็กลง
แต่ความสุขกลับขยายใหญ่โตครอบจักรวาล"
ที่สำคัญก็คือ
"วัน หนึ่งเมื่อเราหันมาเจริญสติ กระตุ้นตัวรู้ พัฒนาการตื่นรู้
จึงพบว่าการตื่นรู้นี้มันไม่ได้มาทำลายความรู้ที่เรามีอยู่แล้ว
ตรงกันข้ามมันกลับสามารถขยายศักยภาพความรู้ของเราให้มีความลุ่มลึกมากยิ่ง
ขึ้น"
การตัดสินใจเลือกเดินทางสายในมีความสัมพันธ์กับความเป็นไปของชีวิตที่มีเกียรติยศ
ชื่อเสียงเกี่ยวข้องด้วยอย่างแน่นอน เพราะท่านบอกว่า
"ตัว อาตมาเองก็ไม่ต้องมองหาความสุขจากที่อื่นอีกต่อไป
ไม่ต้องแสวงหาความสุขจากการยอมรับ แต่มีความสุขเพราะว่าอยู่ที่นี่
เดี๋ยวนี้ ในเวลานี้อยู่แล้ว จากนี้ต่อไปคุณจะมองเห็นหรือไม่เห็นฉัน
ฉันก็ไม่สนใจแล้ว
เราควรจะอยู่กับตัวเราให้ได้ โดยที่ไม่ต้องให้ใครมารับรอง
เราสามารถอยู่รอดได้ด้วยตนเอง ในทุกสภาวะแวดล้อม
และเราก็เห็นแล้วว่ามันไม่ได้ทำให้ชีวิตของเราพร่องลงไปหรือพองขึ้นมา
หันมาดูจิตใจของตัวเองก็รู้สึกว่า มันสบายที่สุดเลยนะ
เราจะโล้ ชิงช้าของเกียรติคุณชื่อเสียงก็ได้
หรือจะลงจากชิงช้าแล้วเดินเข้าป่าเข้าดงไปก็ได้
ความสุขในหัวใจของเราไม่ได้ลดลงนะ เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย"
ที่ บอกว่าเดินเข้าป่าเข้าดงนั้น ขอขยายความให้ชัดเจนว่า
ท่านหมายถึงการไปปลีกวิเวกที่อาศรมอิสรชน จ.เชียงราย และล่าสุดคือ
วัดป่าวิมุตตยาลัย จ.ปทุมธานี ที่เพิ่งจะลงหลักปักฐาน
"อาตมามี ความสุขทุกวันและพอใจกับการเป็นพระที่เป็นอยู่มาก
ไม่ต้องมองหาอำนาจ ไม่ต้องมองว่าใครกำลังชื่นชมหรือตำหนิเรา
มีความสุขที่ขึ้นอยู่กับใจเราล้วนๆ เลย
พอมาถึงตรงนี้ได้แล้วรู้สึกคุ้มที่เกิดมา"
หากนับถอยหลังไปในอดีตจะเห็นภาพของความชัดเจนในแนวทางที่หนุนเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้
"อาตมา เป็นนักเรียนสายตรงของหลักสูตรการบริหารจัดการกิเลสมาทั้งชีวิต
คือเรียนปริยัติ แล้วมาปฏิบัติ ได้คลุกคลีกับคำสอนที่เป็นบาลี
ซึ่งเป็นภาษาต้นขั้ว เป็นเหตุให้รู้วิธีขัดเกลากิเลสมาตั้งแต่ต้น
เหมือนกับว่าอาตมาถูกขัดสีฉวีวรรณโดยตะไบที่ชื่อธรรมะ
เป็นเส้นทางสายขัดเกลา อาตมาจึงบอกเสมอว่าอาตมาเป็นชาวสวน
คือเราทำสวนมาโดยตลอด ไม่ใช่ทำตาม
ฉะนั้น อาตมาไม่ค่อยมีปัญหาการทะเลาะเบาะแว้งกับกิเลสเท่าไหร่
เมื่อก่อนมีบ้างบางครั้งที่ต้องคอยประนีประนอมกัน หลังๆ
มานี่ไม่ค่อยประนีประนอมแล้ว แต่จะใช้วิธีผ่าตัดกิเลสเลย"
จะจัดการกิเลสให้อยู่หมัดก็ต้องพูดถึงเรื่องอัตตา
"เรื่อง อัตตา อาตมาคิดว่ามันถูกปะทะมาเรื่อยๆ นะ
เมื่อเรามีความรู้ทางโลก จบปริญญาตรี ปริญญาโท หรือจบเปรียญ 9 ประโยค
เราก็คิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์พันธุ์วิเศษขึ้นมา สปอตไลท์ที่ไหนๆ ก็ส่องมา
แล้วมีบางวันที่ไฟนั้นไม่ส่องมาทางเรา อัตตามันก็ถูกสั่นสะเทือน
เขย่าหลายครั้งเข้ามันก็เกิดผลกระทบ
เมื่อเรามาเจอวิปัสสนากรรมฐาน ก็ตอบตัวเองได้ว่าไม่เห็นจะต้องทุกข์ เลย
เพราะว่าอัตตามันเป็นแค่ภาพมายา มันไม่มีมาตั้งแต่ต้น
แต่เราไปคิดว่ามันมี ถ้ารู้ทันว่ามันไม่มีตั้งแต่ต้น มันก็ไม่มี
ใครจะเขย่าอะไรก็ไม่ได้ เพราะตัวตนมันไม่มี หลังๆ
มานี้ไม่ค่อยเดือดร้อนกับอะไรเลยนะ เรื่องคนชมคนด่าอาตมาให้ราคาเท่ากัน
ไม่เคยถือเอามาเป็นนิยายอะไรในชีวิต เพราะถือว่าชีวิตตัวเองนั้นไม่ยาว
ทำในสิ่งที่ตัวเองพิจารณาแล้วว่าดีที่สุด แล้วทำไป
อย่าไปให้ราคาเขาสูงนัก"
ลองให้ท่านช่วยนับขั้นบันไดที่นำไปสู่การลดอัตตาให้ฟัง ได้ความว่า
"วิธี การตั้งรับอาตมาฝึกมาเรื่อยๆ อย่าไปถอย อย่าไปกลัวโลกธรรม
เราอยู่ในโลกอย่าหลบลี้หนีหน้าโลกธรรม เพียงแต่ตั้งรับมันให้ดี
เราก็จะได้ประโยชน์จากสิ่งเหล่านี้ในเชิงบวกทั้งหมดทั้งสิ้น
อาตมา เดินจงกรมทุกคืนมา 12 ปี
การฝึกเจริญสติถ้าฝึกไปเป็นปกติมันก็กลายเป็นชีวิตประจำวัน
จนมาถึงวันหนึ่งที่สามารถจัดการบริหารกับอารมณ์ที่เคยทำให้ขุ่นมัวได้ในทุก
รูปแบบ วันนั้นจะรู้เองว่าคุณพัฒนาแล้ว"
"วิธีลดอัตตาแรกเริ่มเลย อาตมาใช้วิธีเปลี่ยนฐานคิด
สมมุติว่าวันนี้เราถูกชมมากเลย แต่วันถัดมาเราถูกด่า
ถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้นะ ทั้งคำชมคำด่าจะยังตามเล่นงานเราอยู่
ฉะนั้น ถ้าการที่ตัวเราไม่ถอดถอนตัวเองออกมาจากการหมกมุ่นในความคิด
เท่ากับว่าเราไปต่อชะตาให้คำชมคำด่า
ทีนี้พอเราย้ายจิตมาอยู่กับตัว เรา เช่น หันมาเจริญสติ หันมาเดินจงกรม
ความที่จิตของเรามันทำงานทีละขณะ
พอเปลี่ยนอารมณ์ให้มันเท่านั้นมันก็ลืมแล้ว นี่เป็นวิธีย้ายอัตตาของอาตมา
มันง่ายมาก ถ้าถามว่าทำไมมันหายก็เพราะว่าจิตมันย้ายมาอยู่ที่เท้า"
บนเส้นทางสายนี้มีความสุขรอให้เก็บเกี่ยวมากมาย เปรียบเสมือนนาฏกรรมอันงดงาม
"จุด เปลี่ยนของชีวิต
คือเวลาที่เราดำเนินชีวิตไปเราจะค้นพบจุดเปลี่ยนของชีวิตมาโดยลำดับ
จุดเปลี่ยนหรือประสบการณ์ดีๆ ทุกครั้งที่มันเกิดขึ้นและทำให้เราเติบโต
อาตมาถือว่าเป็นนาฏกรรม คือเป็นการร่ายรำอันงดงามของชีวิต
มันทำให้ชีวิตของเราถูกขัดเกลามากขึ้น
พูดง่ายๆ ว่า ปรากฏการณ์ บุคคล เหตุการณ์ สถานที่
ที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เราเจริญเติบโตงอกงามในด้านในนั่นคือนาฏกรรม"
นาฏกรรมที่ก่อให้เกิดความสุขนี้เรียงรายกันเข้ามาในชีวิตไม่ขาดสาย
"ครั้ง หนึ่งอาตมาไปงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ
มีญาติโยมมารอขอลายเซ็นอาตมายาวไปจนถึงประตูทางเข้า
แต่พอกลับไปบ้านที่เชียงราย เดินเข้าบ้านเงียบมาก ที่บ้านมีหมาหลายตัว
แต่ไม่มีตัวไหนส่งเสียงหรือแสดงท่าทางว่าเห็นอาตมาเลย
ทำให้แวบ ขึ้นมาว่า นี่แหละความไร้สาระของชื่อเสียง
เราเพิ่งมาจากการห้อมล้อมของหมู่คน แต่หมาที่บ้านไม่เหลียวแลเลย
อาตมาเติบโตขึ้นในวันนั้น รู้สึกเลยว่าหมาพวกนี้มีบุญคุณ
นี่คือนาฏกรรมในชีวิต อัตตามันละลายไปในวันนั้น ความเข้มข้นมันลดต่ำลงไป
พออัตตาถูกกระทบมันโพละเลย"
"หรือคืนหนึ่งเดินลงจากกุฏิไปเหยียบหาง แมวที่นอนอยู่
มันร้องขึ้นมาเสียงดัง รู้สึกจี๊ดเลย คือความโกรธมันแล่นขึ้นมาทั้งเนื้อ
ทั้งตัว แต่พอสักพักคิดขึ้นได้ว่า กุฏิไม่ใช่ของเรา
ทั้งเราทั้งแมวต่างเป็นผู้อาศัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ตอนนั้นนึกอยากจะขอบคุณแมวเลย นี่เป็นอีกหนึ่งนาฏกรรม
อีกครั้งหนึ่ง ก่อนเดินทางไปประเทศภูฏาน มีคนกล่าวโจมตี
อาตมาก็คิดว่าไม่เห็นเป็นไรเลย สบายๆ พอเดินทางไปถึงที่นั่น
นอนคืนนั้นฝันว่า ลุกขึ้นมาแถลงข่าวอัดผู้ให้สัมภาษณ์ว่าเราคนนั้น
ตื่นขึ้นมารู้สึก เลยว่า อัตตาเราทั้งนั้น
และรู้เลยว่ายังปฏิบัติได้ไม่ดีพอ คิดว่าตัวเองไม่โกรธ
และจิตทำงานไปตามปกติ แต่ในภวังคจิต อัตตากำลังลุกขึ้นมาประกาศศักดา
ซึ่งแสดงว่าเรายังไปไม่ถึงไหนเลย"
การพลิกมุมได้คือเป้าหมายที่ท้าทาย
"ทุก ประสบการณ์เราใช้ไปในการมองด้านในได้
ทุกครั้งที่เกิดการปะทะกันระหว่างธรรมะกับกิเลส
มันจะแตกตัวเป็นการเรียนรู้ใหม่ เป็นปัญญา แล้วเราจะรู้เองว่า
เราเติบโตหรือไม่เติบโตจากการปะทะของกิเลสแต่ละครั้ง
จะรู้ว่ารุดหน้าหรือถอยหลัง แล้วเราจะมีทักษะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อาตมา มองอุปสรรคพวกนี้อย่างมีความหวัง
เรื่องพวกนี้ทำให้เราหันมามองตัวเอง
รู้สึกขอบคุณทุกครั้งที่มีเรื่องมาทำให้ตื่นจากความโลภ ความโกรธ ความหลง
เหมือนเข็มที่มาทิ่มให้เกิดสติ"
บนเส้นทางสายในนี้ ท่านขอชี้ป้ายให้สังเกตกันว่า
"การ เจริญสติที่แท้จริงคือ=A
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น