++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

การเมืองป่วน สังคมป่วย

โดย ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน 11 พฤศจิกายน 2552 15:09 น.
สังคมมนุษย์ที่มีระเบียบการเมือง มีการปกครองบริหาร
ประชาชนยอมรับในความชอบธรรมของระบบ ของผู้นำ และของกลไกต่างๆ
สังคมนั้นก็จะอยู่ได้โดยสงบ
ปรากฏการณ์ที่ผิดแผกก็จะมีการจัดการภายใต้กระบวนศาลยุติธรรม
หรือในกรณีที่มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยก็จะมีการยุบสภา
เปลี่ยนผู้เข้าสู่ตำแหน่งอำนาจ ฯลฯ
แต่เมื่อใดก็ตามที่ระบบดังกล่าวไม่สามารถจะทำงานต่อไปได้จนไม่มีทิศทาง
อำนาจรัฐถูกใช้อย่างผิดๆ ประชาชนกระด้างกระเดื่อง
มีการกวาดล้างกันเองในระหว่างผู้นำ สังคมนั้นคือสังคมที่ การเมืองป่วน
หรือที่นายกรัฐมนตรี โจว เอินไหล เคยใช้คำว่า "ล่วน"
ซึ่งเป็นการกล่าวถึงสังคมจีนในยุคที่ยังไม่มีความสงบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายใต้ประธาน เหมา เจ๋อตุง

ส่วนกรณีสังคมนั้น ถ้าคนในสังคมเกิดมีลักษณะขาดสติ
ความคิดไม่อยู่กับร่องกับรอย มีอาการปัญญาวิปริต
โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำทางการเมืองที่มีความคิดผิดแผกไปจากทำนองคลองธรรม
ขณะเดียวกันสังคมทั้งสังคมอาจถูกจูงเข้าป่าเข้ารกด้วยการบ้าคลั่งอุดมการณ์
มีการกระทำที่ผิดธรรมเนียมประเพณีจนก่อให้เกิดความวุ่นวายไปทั่ว
ไม่สามารถใช้เหตุใช้ผลในการเจรจา ใช้อารมณ์เป็นหลัก
ฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามถูกมองเป็นศัตรู เมื่อนั้นคือสภาพของ สังคมป่วย

ตัวอย่างของการเมืองป่วนและสังคมป่วยในประวัติศาสตร์มนุษยชาตินั้นมีอยู่มากมาย
แต่จะขอยกมาเป็นตัวอย่างเพียง 3 ประเทศ

ตัวอย่างที่หนึ่ง เยอรมนีภายใต้อดอลฟ์ ฮิตเลอร์
เป็นตัวอย่างของการเมืองป่วนและสังคมป่วย
ฮิตเลอร์เข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง
แต่ได้ใช้อำนาจนอกระบบข่มขู่สมาชิกสภาและกระทำการแก้กฎหมาย
ยกเลิกส่วนที่เกี่ยวกับสิทธิเสรีภาพ มีการทำลายล้างศัตรูทางการเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกของพรรคคอมมิวนิสต์
และเมื่อได้อำนาจสูงสุดก็ทำการกวาดล้างชาวยิว มีการปลุกระดมมวลชน
เปลี่ยนระบบการปกครองให้เป็นเผด็จการแบบนาซี
โดยยกย่องตัวบุคคลที่เป็นผู้นำเรียกว่า พูเรอร์
เกิดความปั่นป่วนทั่วไปโดยมีหน่วยงานพิเศษคือเกสตาโปทำการกวาดล้างศัตรูทาง
การเมือง ระบบการเมืองปั่นป่วนจนหาขอบเขตไม่ได้
และไม่มีใครมีความมั่นใจต่ออนาคต
ในส่วนของสังคมนั้น คนเยอรมันยุคนั้นถูกครอบด้วยอุดมการณ์นาซี
และการบูชาผู้นำในลักษณะบุคลาธิษฐาน มองเห็นชาวยิวเป็นศัตรู
ประชาชนจำนวนไม่น้อยสนับสนุนให้มีการกวาดล้างคอมมิวนิสต์ชาวยิวและชาวยิปซี
ถูกจูงเหมือนกับฝูงแกะโดยไม่มีความเป็นตัวของตัวเอง
ต่างคนต่างไม่กล้าที่จะแสดงการต่อต้านหรือไม่เห็นด้วย
ลักษณะของอาการเช่นนี้เป็นอาการของคนที่ถูกจูงให้คลั่งอุดมการณ์
จึงเป็นลักษณะของสังคมป่วยทั้งสังคม

ผลสุดท้ายก็สนับสนุนด้วยความจำใจหรือด้วยความเชื่อก็ตามให้ผู้นำก่อให้เกิด
สงครามโลกครั้งที่สอง จนนำไปสู่การเสียชีวิตและเลือดเนื้ออย่างมหาศาล
โดยเฉพาะชาวยิวถูกสังหารหมู่ 6 ล้าน และชาวยิปซีอีกจำนวนมาก
ขณะเดียวกันประเทศในยุโรปที่ถูกรุกรานโดยเยอรมันก็ถูกเข่นฆ่าบีฑากรรมอย่าง
ไร้มนุษยธรรม ผลสุดท้ายความป่วนของการเมืองและความป่วยของสังคมก็นำเยอรมนีไปสู่ความพินาศ
ด้วยการพ่ายแพ้สงคราม

ตัวอย่างที่สอง รัสเซียหลังการปฏิวัติบอลเชวิค
ฝ่ายบอลเชวิคซึ่งทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มระบบกษัตริย์ของจักรพรรดิซาร์
ส นิโคลัส ได้ทำการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยการสร้างระเบียบการเมืองขึ้นใหม่
ผืนนาต่างๆ เปลี่ยนให้เป็นนารวม ทรัพย์สินส่วนตัวถูกยึดเป็นของรัฐ
และมีคำสั่งให้สังหารเชื้อพระวงศ์ราชตระกูลโรมานอฟ
อีกทั้งยังมีการสังหารเกษตรกรชาวนาที่เรียกว่าพวกกูลัคเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นก็สถาปนาระบบการเมืองแบบสังคมนิยมขึ้นมาโดยเป็นระบบเผด็จการเบ็ด
เสร็จ ใช้อำนาจปกครองอย่างเด็ดขาด ประชาชนตกอยู่ในความหวาดกลัว

แต่ขณะเดียวกันในหมู่ผู้นำหลังจากการถึงแก่อสัญกรรมของเลนินก็มีการต่อสู้
แย่งอำนาจ เมื่อสตาลินเข้าสู่ความเป็นผู้นำก็กำจัดศัตรูฝ่ายตรงกันข้ามที่เคยร่วมงาน
กันมาเป็นจำนวนมาก
แม้ทรอสตกี้ซึ่งมีความเห็นขัดแย้งได้หนีภัยการเมืองไปที่เม็กซิโกก็ยังถูก
ตามฆ่าด้วยการใช้คีมหนีบน้ำแข็งหนีบที่คอจนถึงแก่ชีวิต
ความปั่นป่วนของสังคมสหภาพโซเวียตในสมัยนั้นเกิดขึ้นไปทั่ว
ถึงแม้คนจะมีความหวังว่าจะมีระบบสังคมนิยมซึ่งจะนำมาซึ่งความเจริญ
และเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้แรงงานและชาวนาก็ตาม
แต่การกวาดล้างได้สร้างความสะพรึงกลัวขึ้นทั่วทั้งแผ่นดิน

นอกจากนั้นยังมีการขยายอำนาจของสหภาพโซเวียตไปสู่ประเทศต่างๆ
ในยุโรปตะวันออก และเมื่อมีการต่อต้านเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1956
ในฮังการีก็ใช้กำลังปราบปราม ต่อมาในปลายทศวรรษของ ค.ศ.1960
ก็มีเหตุการณ์ทำนองเดียวกันที่เชโกสโลวาเกีย
โดยสรุปสภาพการเมืองของสหภาพโซเวียตอยู่ในลักษณะปั่นป่วน
มีการกวาดล้างช่วงชิงอำนาจอย่างเป็นนิจ

ในส่วนของสังคมนั้น คนรัสเซียอยู่ในสภาพของคนที่คลั่งอุดมการณ์
มีความเชื่ออย่างไม่ลืมหูลืมตาว่า
ลัทธิสังคมนิยมจะมีชัยเหนือทุนนิยมและเสรีประชาธิปไตย
งานเขียนที่มีการเสนอในการประชุมระหว่างประเทศจะอ้างเพียงคาร์ล มาร์กซ์
และเลนิน หรือสตาลิน เท่านั้น
ในทางสังคมศาสตร์ถือได้ว่าเป็นการปิดหูปิดตาโดยเอาลัทธิการเมืองกลายเป็น
ลัทธิคำสอนทางศาสนา

หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นศาสนาการเมืองไปโดยปริยาย
ในสภาพสังคมอย่างนั้นการพัฒนาอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนย่อมเกิดขึ้นได้ยาก
ผลสุดท้ายระบบสังคมนิยมในสหภาพโซเวียตก็ถึงแก่กาลอวสาน
ยุโรปตะวันออกประกาศตัวเป็นอิสระ
จักรวรรดิสังคมนิยมรัสเซียแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ

ตัวอย่างที่สาม
ประเทศจีนในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมซึ่งเริ่มตั้งแต่กลาง ค.ศ. 1960
ซึ่งดำเนินไปถึง 10 ปี สะท้อนถึงลักษณะ การเมืองป่วน ที่เรียกว่า "ล่วน"
และ สังคมป่วย ในยุคนั้นมีการกวาดล้างผู้นำทางการเมืองที่มีความคิดคนละแนวทางจากกลุ่มของ
เหมา เจ๋อตุง และแก๊งทั้งสี่
บุคคลที่มีความคิดในนโยบายเศรษฐกิจที่แตกต่างไปจากลัทธิคอมมิวนิสต์แบบเข้ม
ข้นจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ปฏิบัติตามลัทธิแก้
หรือเป็นผู้เดินตามแนวระบบทุนนิยม
เมื่อการต่อสู้แย่งอำนาจไม่สามารถทำได้ในพรรคคอมมิวนิสต์และในกลไกของรัฐ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในที่ประชุมใหญ่ของสมัชชาประชาชน
กลุ่มอำนาจเหมา เจ๋อตุง และแก๊งทั้งสี่
รวมทั้งลูกน้องที่ให้การสนับสนุนก็ใช้วิธีการนอกกลไกระบบการเมืองปลุกระดม
พวกเรดการ์ดหรือยามแดง ซึ่งเป็นเยาวชนรุ่นอายุไม่ถึง 20 ปี
ลุกขึ้นมาเดินขบวนเป็นล้านคนที่จัตุรัสเทียนอันเหมิน
รวมทั้งการจัดตั้งไปทั่วแผ่นดินจีน
ทำการกวาดล้างผู้นำทางการเมืองที่เคยร่วมปลดแอกประเทศมาด้วยกัน เช่น
นายพลเผิง เต๋อหวาย นายหลิว เส้าฉี ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์ประธานเหมา เจ๋อตุง
ในกรณีที่ทำผิดพลาดในนโยบายก้าวกระโดด

จากนั้นใน ค.ศ. 1976 วันที่ 7 เมษายน ก็มีการปลดเติ้ง เสี่ยวผิง
ออกจากตำแหน่งทุกตำแหน่ง ยกเว้นการเป็นสมาชิกพรรค
ระบบการปกครองบริหารของจีนหยุดนิ่งสนิท มหาวิทยาลัยปิดการเรียนการสอน
อาจารย์ถูกส่งไปใช้แรงงานในชนบท การก่อสร้างหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง
เกิดความปั่นป่วนไปทั่วทั้งแผ่นดิน มีการทำลายสถานศาสนา ทำลายโบราณวัตถุ

และผลสุดท้ายก็จำเป็นต้องใช้กองทหารเข้าสกัดเหล่ายามแดงหรือเรดการ์ดไม่ให้
ก่อความวุ่นวายเจนเลยเถิด และมีการสั่งให้ยามแดงออกไปใช้แรงงานในชนบท
ความปั่นป่วนของระบบการเมืองในสมัยนั้นคือสภาพของอนาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด
ผู้นำทางการเมืองที่ต่อสู้ปลดแอกประเทศมาด้วยกันถูกรังแกโดยคนรุ่นลูกหลาน
แต่ทั้งหมดนี้มาจากความขัดแย้งทางการเมืองของผู้นำระดับสูง
และการช่วงชิงอำนาจทางการเมืองเนื่องจากอยู่ฝ่ายตรงกันข้าม

ในส่วนของสังคมนั้น
สังคมจีนยุคนั้นเต็มไปด้วยความบ้าคลั่งทางลัทธิและการบูชาประธาน เหมา
เจ๋อตุง เป็นลักษณะของบุคลาธิษฐานที่สูงสุด
ความคิดของคนทั่วไปถูกจูงให้ผิดประเพณี
การกตัญญูรู้คุณและเคารพบิดามารดาถูกโจมตี ลูกๆ
พากันวิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่ของตน มีการพูดจาจาบจ้วงผู้นำระดับสูง
ตรรกผิดเพี้ยน เช่น เมื่อขับรถเจอไฟแดงถือว่า "ไป"
เพราะแดงเป็นสีของความรุ่งเรืองของคอมมิวนิสต์

แม้กระทั่งในการผ่าตัดตาก็ยังบ้าคลั่งขออ่านหนังสือเล่มแดงของเหมา
เจ๋อตุง โดยไม่ใช้ยาชาเพื่อจะทำให้ฮึกเหิมและไม่เจ็บปวด
ผลสุดท้ายก็ไม่สำเร็จ ความผิดเพี้ยนของสังคมจีนนั้นเป็นสังคมที่ป่วย
คลั่งอุดมการณ์อย่างไม่ลืมหูลืมตา เกิดปัญญาวิปริต และตรรกที่ผิดเพี้ยน
จนเกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
และทุกวันนี้ยังเป็นบาดแผลสำคัญที่คนจีนทั่วไปไม่อยากจะกล่าวถึง

การ เมืองป่วน และสังคมป่วย
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์มนุษยชาติหลายครั้ง
ที่ยกมาเป็นเพียง 3 ตัวอย่าง ประเด็นก็คือ
การศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องเรียนรู้บทเรียน
ส่วนใครจะเรียนรู้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสติปัญญาของแต่ละคน
และของแต่ละชาติ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น