ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ถาม : คิดเห็นอย่างไรที่ "ทักษิณ" กล่าวหาให้ร้ายโจมตีประธานองคมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และท่านองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อคืนวันที่ 27 มี.ค. 2552 ?
ตอบ : จะเข้าใจว่า "ทักษิณ" พูดอะไร พูดทำไม
จำเป็นต้องเข้าใจสภาพการณ์ของ "ทักษิณ" เสียก่อน
ไม่เช่นนั้นจะเห็นแต่ใบไม้ ต้นไม้ แต่มองไม่เห็นป่า
ปัจจุบัน "ทักษิณ" คือ ผู้ร้ายหลบหนีอาญาแผ่นดิน หนีคุก
หนีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไม่กล้าที่จะกลับเข้าประเทศไทยในขณะนี้
"ทักษิณ"
ถูกดำเนินคดีร่ำรวยผิดปกติในศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ
เมือง ซึ่งหนักหนาสาหัสสำหรับ "ทักษิณ" เพราะ "ทักษิณ"
มีภาระต้องพิสูจน์ว่าตนเองได้ทรัพย์สินเหล่านั้นมาโดยสุจริตอย่างไร
(ถ้าสุจริตจริง ก็ต้องพิสูจน์ได้) ขณะนี้
ศาลได้กำหนดเวลาการไต่สวนไว้แล้ว
และคงจะสามารถตัดสินคดีได้ประมาณปลายปีนี้ การจะถูกยึดทรัพย์กว่า 76,000
ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน ในยามที่ "ทักษิณ"
ขาดทุนจากการเก็งกำไรในตลาดต่างประเทศหลายแสนล้านบาท
จึงเป็นเรื่องใหญ่ของ "ทักษิณ"
"ทักษิณ" กำลังมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
เข้าสู่ศาลอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น คดีหวยบนดิน กล้ายาง
เอาเงินเอ็กซิมแบงก์ให้พม่ากู้ ทุจริตเครื่องตรวจระเบิดซีทีเอ็กซ์ ฯลฯ
ซึ่งคดีเหล่านี้ ภายในสิ้นปี หรืออย่างช้าปีหน้า ก็คงจะเห็นผลแห่งคดี
นี่คือแผล ชนักติดหลังของ "ทักษิณ" ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของ
"ทักษิณ" เอง
นอกจากนี้ เมื่อประเมินจากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน "ทักษิณ"
อาจจะเห็นว่า นายกฯ อภิสิทธิ์
ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการไปเยือนต่างประเทศ
การเป็นประธานอาเซียน (รวมถึงบทบาทในอาเซียน+3 และอาเซียน+6 )
ตลอดจนการจะไปร่วมประชุม G20 ที่ประเทศอังกฤษ
ร่วมเวทีเดียวกันกับผู้นำของชาติมหาอำนาจของโลก ในช่วงสัปดาห์นี้
ในขณะเดียวกัน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศก็เริ่มจะออกฤทธิ์
เม็ดเงินเริ่มไปถึงมือประชาชน ทำให้ยิ่งนานวัน "อภิสิทธิ์"
ก็ยิ่งแข็งแกร่ง และได้แสดงฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่ง กว่านั้น
เมื่อประเมินการเคลื่อนไหวของเหล่าบริวารระบอบทักษิณของตนเองแล้ว
"ทักษิณ" อาจจะเห็นว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ยิ่งอภิปราย "เพื่อไทย" ยิ่งถูกด่าว่ามีแต่คำหยาบคายต่ำช้า เถื่อนถ่อย
กลบประเด็นสาระที่มีอยู่น้อยนิด
กลายเป็นภาพปรากฏว่าฝ่ายค้านเอาแต่เล่นเกมการเมือง ทั้งๆ ที่
บ้านเมืองอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจ
ผลโพลล์ที่ออกมาก็ยืนยันความรู้สึกของประชาชนว่า
ให้ความนิยมรัฐบาลอภิสิทธิ์มากขึ้น
ตรงกันข้ามกับขุนพลของฝ่ายค้านที่ได้รับความนิยมเสื่อมทรุดต่ำลงไปอีก
แถมดาวรุ่งเกิดใหม่ก็อาจจะดับ
เพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีอาญาฐานดูหมิ่นใส่ร้ายตุลาการศาลรัฐ
ธรรมนูญ
ส่วนการเมืองนอกสภา ขบวนการเสื้อแดงที่อุตส่าห์จัดตั้งจัดหากันมา
ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อครั้งบุกล้อมทำเนียบในเดือน ก.พ. อยู่ได้ 3
วัน ก็ล่าถอยกลับไป กลายเป็นการชุมนุมที่แดงมาประจำเดือน
อยู่เดือนละไม่กี่วัน
และเมื่อฝ่ายกองทัพทำหน้าที่รักษาความมั่นคงปลอดภัยของสถานที่ราชการอย่าง
เต็มที่ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าขบวนการเสื้อแดงจะเดินต่ออย่างไร
ทั้ง หมด เห็นแล้วใช่ไหมว่า ถ้าคุณเป็น "ทักษิณ"
คุณจะตกอยู่ในสภาพการณ์แบบไหน จนตรอกแค่ไหน
และถ้าคุณลองเติมความคิดเห็นแก่ตัวลงไป เติมทิฐิของการไม่ยอมแพ้
ไม่ยอมรับผลแห่งกรรมของตัวเอง เติมกิเลสและความมัวเมาลุ่มหลง
โหยหาเงินทองและอำนาจที่ตนเองเคยมีและเคยตักตวงทะยานไปเกือบจะล้นฟ้า
อย่างนี้ พอจะเข้าใจได้บ้างแล้วใช่ไหมว่า "ทักษิณ" จะทำอะไร?
ถาม : แต่ทำไม "ทักษิณ" ต้องโจมตีองคมนตรี ? โดยเฉพาะประธานองคมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
อดีตนายกรัฐมนตรี?
ตอบ : จะเห็นว่า ทั้งขบวนการเสื้อแดงของทักษิณ
และพลพรรคเสื้อสูทของทักษิณ
เดินเกมโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ทั้งนอกสภาและในสภา
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่มาของรัฐบาลว่ามีผู้ใหญ่หนุนหลังการจัดตั้งรัฐบาล
หรือกล่าวหาว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ทำเศรษฐกิจแย่
บริหารประเทศโดยเด็กสองคนที่ไม่มีความสามารถ (เขาหมายถึงอภิสิทธิ์กับกรณ์
จาติกวนิช) ทำให้คนว่างงาน เอาแต่กู้เงิน ลอกนโยบาย ฯลฯ
แต่การโจมตีเหล่านี้ดูจะไม่ได้ผลดังใจ "ทักษิณ"
เพราะข้อเท็จจริงยืนยันความเชื่อว่า
เศรษฐกิจไทยมีปัญหามาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และยิ่งให้เวลาให้โอกาส
เด็กสองคนก็แสดงให้เห็นว่ามีความรู้ความสามารถในการทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ
ไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีก็โหวตกันในสภา
ลงคะแนนโดย ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนจะมีใครหนุน
มีผู้ใหญ่สนับสนุนหรือเชียร์ ก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อ เป็นเช่นนี้ "ทักษิณ" จึงต้องออกมาเล่นหน้าฉาก
เปิดหน้ากากเล่นผ่านวีดีโอลิงค์ด้วยตนเอง
และเมื่อนายใหญ่เปิดหน้าออกมาเล่นเองทั้งที ก็ต้องทำให้ดูใหญ่กว่า
ดังกว่า จะได้เป็นข่าว จะได้สะท้อนกระทบถึงเป้าที่ตนเองต้องการจริง
ก็ย้ายประเด็นถอยหลังไปอยู่ที่การทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เพราะคิดว่าเป็นจุดอ่อนของฝ่ายต่อต้านทักษิณ
และหวังจะได้ใจนักวิชาการที่ไร้เดียงสาส่วนหนึ่งด้วย
จุดโจมตีจึงหันไปเน้นที่ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" และผู้ที่เป็นนายกฯ
แทน "ทักษิณ"
ถาม : เชื่อไหมว่าพลเอกสุรยุทธ์ อยู่เบื้องหลังการ "ปฏิวัติ" ยึดอำนาจ 19
ก.ย. 2549 ?
ตอบ : ผมเชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์
มีความเป็นห่วงเป็นใยบ้านเมืองในช่วง 2549 จริงๆ เพราะหลังงาน
"เฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ในช่วงเดือน มิ.ย. 2549 ผมได้พบท่านองคมนตรีหลายท่าน
ในงานที่องคมนตรีเลี้ยงขอบคุณเอกอัครราชทูตที่ได้ทำงานรับรองพระราช
อาคันตุกะจากต่างแดนอย่างดี องคมนตรีหลายท่าน รวมทั้งพลเอกสุรยุทธ์
ทุกท่านต่างก็เป็นห่วงบ้านเมืองในขณะนั้น
เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์การเมืองหลายเรื่อง เช่น (1) การเลือกตั้ง 2
เม.ย. 2549 ที่เลวร้าย กกต.หันก้นคนใช้สิทธิออกด้านนอก
ละเมิดสิทธิผู้เลือกตั้ง (2)
พรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยบอยคอตไม่ลงสมัครแข่งขัน
พรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงสมัครตบตา
เพื่อให้ตนเองได้เข้าสู่อำนาจรัฐโดยวิถีทางที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ (3) พันธมิตรชุมนุมกดดันรัฐบาลที่แก้กฎหมาย
ขายสมบัติชาติให้เทมาเส็กโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย (4) "ทักษิณ"
ประกาศยุติการเป็นนายกฯ เว้นวรรคการเมือง แต่กลับคำ กลายเป็นลาพักผ่อนยาว
แล้วตั้งพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ที่ไม่ได้เป็น
ส.ส.ให้เป็นผู้ทำหน้าที่นายกฯ เป็นต้น
เช่น เดียวกัน หากพลเอกสุรยุทธ์
จะได้มีโอกาสพบคุยกับผู้พิพากษาหรือคนอื่น ในช่วงเวลานั้น
ก็คงจะพูดจาในลักษณะที่เป็นห่วงบ้านเมือง
โดยเฉพาะต้องติดตามข่าวที่มีคนพยายามทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็นหน้าที่ขององคมนตรี
แต่จะให้เชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์
กับตุลาการผู้ใหญ่วางแผนทำรัฐประหารอย่างที่ "ทักษิณ" กล่าวหา
ก็ฟังดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่สมเหตุสมผล
เพราะตุลาการผู้ใหญ่จะวางแผนทำรัฐประหารได้อย่างไร
ไม่มีกองกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำไมต้องปรึกษากันตั้งแต่กลางปี 2549
ในขณะที่รัฐประหารเกิดขึ้น 19 ก.ย.2549
ผมกลับคิดว่า คนวางแผนและยึดอำนาจจริง มี 4 คน คือ พลเอกสนธิ
บุญยรัตกลิน พลเอกสะพรั่ง กัลยาณมิตร พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
และพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผู้ กุมกำลังหลักของกองทัพในขณะนั้น เพราะถ้า
4 คนนี้ ไม่เอาด้วย องคมนตรีก็ดี ตุลาการก็ดี หรือพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี
ก็คงทำให้สำเร็จไม่ได้
ถาม : ที่ "ทักษิณ" ทุ่มสุดตัวขนาดนี้ แท้จริงแล้ว ต้องการอะไร ?
ตอบ : ก็อย่างที่วิเคราะห์ไปแล้ว นี่คือช่วงเวลาสุดท้าย
หรือโอกาสสุดท้ายของ "ทักษิณ"
ถ้าช้าไปกว่านี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
ได้รับความเชื่อถือ คะแนนนิยมดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งต่างประเทศและภายในประเทศ
ยิ่งหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลก็ยิ่งจะได้ใจประชาชน
เป็นโอกาสให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ส่วน "เพื่อไทย"
ยิ่งเนิ่นช้าไปยิ่งกัดกินตัวเอง ขาดหัว ส.ส.ก็ไม่ได้เรื่อง ถึงเวลานั้น
ปล่อยไปคงแพ้เลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน "ทักษิณ" เอง
ก็มีสภาพเป็นนักโทษหลบหนี ซึ่งจริงๆ ต้องเข้าคุก ส่วนคดีอื่นๆ
โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ก็กำลังเข้าสู่ศาลยุติธรรม
เมื่อ จวนตัวอย่างนี้ "ทักษิณ" จึงสร้างเรื่องทำลายองคมนตรี 2
คนที่สำคัญ แล้วขอต่อรองนิรโทษกรรมให้ตนเองพ้นผิด
ให้พรรคพวกลิ่วล้อพ้นมลทิน ให้ได้ทรัพย์สมบัติกว่า 76,000
ล้านบาทกลับคืนมาเป็นของตัวเอง
เพื่อให้ลืมเรื่องที่ตนเองเคยทำผิดและเคยถูกกล่าวหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น
การครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ ครอบงำองค์กรอิสระ ครอบงำข้าราชการตำรวจ
และหาผลประโยชน์เอื้อพวกพ้องเครือญาติ และจะได้กลับมาฟื้นฟู "ไทยรักไทย"
โดยผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองให้นิรโทษกรรมจาก 19 ก.ย. 2549 ล่วงหน้าไปถึง 5
พ.ค. 2552
"ทักษิณ" จึงขอต่อรองให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภาโดยเร็ว
ให้กลับไปเลือกตั้งใหม่ เหมือนกลับไปต่อการเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549
ลบประวัติศาสตร์ทิ้งไป 3 ปี (จาก 2 เม.ย.2549-เม.ย. 2552) "ทักษิณ"
ฝันอยากได้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เปิดช่องให้ระบอบทักษิณแทรกแซงวุฒิสภา
คุมสภาผู้แทนราษฎร แทรกแซงองค์กรอิสระ ทำหมันระบบตรวจสอบ
เพื่อจะได้กลับมาสถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สยายปีกคุมทั่วฟ้าแผ่นดินไทย
แต่ แต่คุณคิดว่า "ทักษิณ" ไม่รู้ตัวหรอกหรือ ว่าขณะนี้
ตัวเขาเป็นนักโทษชายผู้หนีคดี
ขบวนการเสื้อสูทในสภาและเสื้อแดงนอกสภาที่คอยเป็นมือเป็นเท้าก็กำลังตกต่ำ
ไร้ประสิทธิผล ในขณะที่กลุ่มคนที่ "ทักษิณ"
มองว่าเป็นศัตรูทางการเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ประธานองคมนตรี
องคมนตรี ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กองทัพ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ล้วนแต่มีทุนทางสังคม มีอุดมการณ์ทำงานเพื่อสังคมส่วนรวม
มีความน่าเชื่อถือ มากกว่าเสื้อแดงและเพื่อไทยของทักษิณ
ข้อต่อรองที่ "ทักษิณ" ตั้งขึ้นมาเอง พูดจาเอาเอง
จึงน่าจะรู้ตัวเองดีว่า ไม่สำเร็จง่ายๆ แน่นอน
ถาม : ถ้ารู้อยู่แล้วว่า เรียกร้องเพื่อตัวเองอย่างนี้
ไม่มีใครเอาด้วยแน่ๆ แล้วเขาทำไปทำไม ?
ตอบ : ก็เพราะถ้าข้อเรียกร้องไม่ได้ผล
ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรง เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
คุณก็รู้ว่า เมื่อเกิดเหตุอย่าง 14 ต.ค. 2516 หรือพฤษภา 2535
สถาบันระดับสูงก็ต้องเข้าแก้ไขปัญหา แล้วเขาก็จะอ้างว่า เห็นไหม...
คุณก็รู้ว่า เมื่อเกิดเหตุอย่าง 6 ต.ค. 2519
แล้วก็เป็นเงื่อนไขให้มีคนทำรัฐประหาร ไม่พวกเขาก็พวกใคร
ซึ่งกองทัพในขณะนี้ก็แตกแยกเป็นสองฝ่าย...
คนบางคน เขายึดถือคติว่า "ถ้าเราจะเสียหายย่อยยับ
ก็ให้บ้านเมืองมันเสียหายย่อยยับไปด้วย" มันคงจะมีบางคนที่คิดอย่างนี้
ถาม : เราควรจะเชื่อคำพูดของใคร ? ฟังดูแล้ว ใครน่าเชื่อถือกว่าใคร ?
ตอบ : ต้องพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
(1) คนพูด คนกล่าวหา มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่พูดอย่างไร
มีอคติ เพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเอา หรือไม่
(2) คนพูด ชอบพูดโกหก กลับกลอกไปมาตามกาลเวลาและสถานการณ์หรือไม่
รักษาคำพูดที่เคยพูดไว้หรือไม่ เช่น ผมหยุดเล่นการเมืองแล้ว... ฯลฯ
(3) คนพูด มีประวัติดี ไม่โกง ไม่เอาเปรียบคนอื่น
ไม่เอาเปรียบสังคม หรือไม่ ? เห็นแก่ตัวมากหรือเปล่า?
(4) คนพูด เคารพกฎหมาย ทำตามกฎหมาย กติกาสังคม
หรือชอบหลบเลี่ยงกฎหมาย อ้างบกพร่องโดยสุจริต
หรือแก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองขายหุ้นได้ผลประโยชน์สูงสุด
แก้กติกาส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง
(5) คนพูด เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ คือ พร้อมรับผิดและรับชอบ
หรืออยู่ระหว่างหลบหนีความรับผิดในคดีของตนอยู่เมืองนอก
สุดท้าย ผมอยากจะบอกความในใจว่า ในอดีต
ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องความมั่นคงของประเทศมากนัก
และไม่เคยเป็นห่วงความมั่นคงของสังคมไทยมาก่อน แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่า
หน่วยงานความมั่นคงของไทย ไม่ว่าจะเป็น กองทัพ ตำรวจ
สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือหน่วยงานอื่นๆ เช่น อัยการ
กระทรวงการต่างประเทศ กำลังทำงานกันอยู่บ้างหรือไม่
เรา กำลังปล่อยให้ "ทักษิณ" ทำตัวเหมือน "บิน ลาเดน" หลบซ่อน
ล่องลอยอยู่ไหนไม่รู้ และที่เลวร้ายกว่าคือ
โจมตีแผ่นดินเกิดที่มีบุญคุณกับตัวเอง
ทำร้ายประเทศชาติที่ตนเองหากินจนร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มองแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว อยากแต่จะเอาเงิน-เอาอำนาจของตัวเอง
น่าประหลาดใจ ที่นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน
ยังมีเสรีภาพในการพูดผ่านวิดีโอลิงค์
น่าแปลกใจ ที่นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน ยังมีเสรีภาพในการเดินทาง
น่าเศร้าใจ ที่นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน
ยังมีเสรีภาพในการใช้ประเทศอื่นโจมตีประเทศไทย
หากรัฐไทยปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ก็น่ากลัวว่า
รัฐไทยจะกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว (failed state) อย่างที่เขาต้องการ
อย่าปล่อยให้ประเทศไทยถูกทำลายอีกต่อไป ด้วยฝีมือของพวก "อัตตาธิปไตย"
ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็น "สังคมธรรมาธิปไตย" ได้แล้วครับ !
ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
ศาสตราภิชาน มหาวิทยาลัยรังสิต
ถาม : คิดเห็นอย่างไรที่ "ทักษิณ" กล่าวหาให้ร้ายโจมตีประธานองคมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และท่านองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
อดีตนายกรัฐมนตรี เมื่อคืนวันที่ 27 มี.ค. 2552 ?
ตอบ : จะเข้าใจว่า "ทักษิณ" พูดอะไร พูดทำไม
จำเป็นต้องเข้าใจสภาพการณ์ของ "ทักษิณ" เสียก่อน
ไม่เช่นนั้นจะเห็นแต่ใบไม้ ต้นไม้ แต่มองไม่เห็นป่า
ปัจจุบัน "ทักษิณ" คือ ผู้ร้ายหลบหนีอาญาแผ่นดิน หนีคุก
หนีคำพิพากษาของศาลฎีกาฯ ไม่กล้าที่จะกลับเข้าประเทศไทยในขณะนี้
"ทักษิณ"
ถูกดำเนินคดีร่ำรวยผิดปกติในศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการ
เมือง ซึ่งหนักหนาสาหัสสำหรับ "ทักษิณ" เพราะ "ทักษิณ"
มีภาระต้องพิสูจน์ว่าตนเองได้ทรัพย์สินเหล่านั้นมาโดยสุจริตอย่างไร
(ถ้าสุจริตจริง ก็ต้องพิสูจน์ได้) ขณะนี้
ศาลได้กำหนดเวลาการไต่สวนไว้แล้ว
และคงจะสามารถตัดสินคดีได้ประมาณปลายปีนี้ การจะถูกยึดทรัพย์กว่า 76,000
ล้านบาทตกเป็นของแผ่นดิน ในยามที่ "ทักษิณ"
ขาดทุนจากการเก็งกำไรในตลาดต่างประเทศหลายแสนล้านบาท
จึงเป็นเรื่องใหญ่ของ "ทักษิณ"
"ทักษิณ" กำลังมีคดีทุจริตประพฤติมิชอบ
เข้าสู่ศาลอีกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น คดีหวยบนดิน กล้ายาง
เอาเงินเอ็กซิมแบงก์ให้พม่ากู้ ทุจริตเครื่องตรวจระเบิดซีทีเอ็กซ์ ฯลฯ
ซึ่งคดีเหล่านี้ ภายในสิ้นปี หรืออย่างช้าปีหน้า ก็คงจะเห็นผลแห่งคดี
นี่คือแผล ชนักติดหลังของ "ทักษิณ" ซึ่งเป็นผลมาจากการกระทำของ
"ทักษิณ" เอง
นอกจากนี้ เมื่อประเมินจากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบัน "ทักษิณ"
อาจจะเห็นว่า นายกฯ อภิสิทธิ์
ได้รับการยอมรับจากต่างประเทศสูงขึ้นเรื่อยๆ จากการไปเยือนต่างประเทศ
การเป็นประธานอาเซียน (รวมถึงบทบาทในอาเซียน+3 และอาเซียน+6 )
ตลอดจนการจะไปร่วมประชุม G20 ที่ประเทศอังกฤษ
ร่วมเวทีเดียวกันกับผู้นำของชาติมหาอำนาจของโลก ในช่วงสัปดาห์นี้
ในขณะเดียวกัน นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศก็เริ่มจะออกฤทธิ์
เม็ดเงินเริ่มไปถึงมือประชาชน ทำให้ยิ่งนานวัน "อภิสิทธิ์"
ก็ยิ่งแข็งแกร่ง และได้แสดงฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่ง กว่านั้น
เมื่อประเมินการเคลื่อนไหวของเหล่าบริวารระบอบทักษิณของตนเองแล้ว
"ทักษิณ" อาจจะเห็นว่า การอภิปรายไม่ไว้วางใจในสภาล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า
ยิ่งอภิปราย "เพื่อไทย" ยิ่งถูกด่าว่ามีแต่คำหยาบคายต่ำช้า เถื่อนถ่อย
กลบประเด็นสาระที่มีอยู่น้อยนิด
กลายเป็นภาพปรากฏว่าฝ่ายค้านเอาแต่เล่นเกมการเมือง ทั้งๆ ที่
บ้านเมืองอยู่ในวิกฤติเศรษฐกิจ
ผลโพลล์ที่ออกมาก็ยืนยันความรู้สึกของประชาชนว่า
ให้ความนิยมรัฐบาลอภิสิทธิ์มากขึ้น
ตรงกันข้ามกับขุนพลของฝ่ายค้านที่ได้รับความนิยมเสื่อมทรุดต่ำลงไปอีก
แถมดาวรุ่งเกิดใหม่ก็อาจจะดับ
เพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญแจ้งความดำเนินคดีอาญาฐานดูหมิ่นใส่ร้ายตุลาการศาลรัฐ
ธรรมนูญ
ส่วนการเมืองนอกสภา ขบวนการเสื้อแดงที่อุตส่าห์จัดตั้งจัดหากันมา
ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อครั้งบุกล้อมทำเนียบในเดือน ก.พ. อยู่ได้ 3
วัน ก็ล่าถอยกลับไป กลายเป็นการชุมนุมที่แดงมาประจำเดือน
อยู่เดือนละไม่กี่วัน
และเมื่อฝ่ายกองทัพทำหน้าที่รักษาความมั่นคงปลอดภัยของสถานที่ราชการอย่าง
เต็มที่ ก็ยิ่งไม่รู้ว่าขบวนการเสื้อแดงจะเดินต่ออย่างไร
ทั้ง หมด เห็นแล้วใช่ไหมว่า ถ้าคุณเป็น "ทักษิณ"
คุณจะตกอยู่ในสภาพการณ์แบบไหน จนตรอกแค่ไหน
และถ้าคุณลองเติมความคิดเห็นแก่ตัวลงไป เติมทิฐิของการไม่ยอมแพ้
ไม่ยอมรับผลแห่งกรรมของตัวเอง เติมกิเลสและความมัวเมาลุ่มหลง
โหยหาเงินทองและอำนาจที่ตนเองเคยมีและเคยตักตวงทะยานไปเกือบจะล้นฟ้า
อย่างนี้ พอจะเข้าใจได้บ้างแล้วใช่ไหมว่า "ทักษิณ" จะทำอะไร?
ถาม : แต่ทำไม "ทักษิณ" ต้องโจมตีองคมนตรี ? โดยเฉพาะประธานองคมนตรี
พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ และองคมนตรี พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์
อดีตนายกรัฐมนตรี?
ตอบ : จะเห็นว่า ทั้งขบวนการเสื้อแดงของทักษิณ
และพลพรรคเสื้อสูทของทักษิณ
เดินเกมโจมตีรัฐบาลอภิสิทธิ์ทั้งนอกสภาและในสภา
ไม่ว่าจะเป็นประเด็นที่มาของรัฐบาลว่ามีผู้ใหญ่หนุนหลังการจัดตั้งรัฐบาล
หรือกล่าวหาว่ารัฐบาลอภิสิทธิ์ทำเศรษฐกิจแย่
บริหารประเทศโดยเด็กสองคนที่ไม่มีความสามารถ (เขาหมายถึงอภิสิทธิ์กับกรณ์
จาติกวนิช) ทำให้คนว่างงาน เอาแต่กู้เงิน ลอกนโยบาย ฯลฯ
แต่การโจมตีเหล่านี้ดูจะไม่ได้ผลดังใจ "ทักษิณ"
เพราะข้อเท็จจริงยืนยันความเชื่อว่า
เศรษฐกิจไทยมีปัญหามาจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก และยิ่งให้เวลาให้โอกาส
เด็กสองคนก็แสดงให้เห็นว่ามีความรู้ความสามารถในการทำงานเพื่อส่วนรวมจริงๆ
ไม่ได้มีผลประโยชน์ส่วนตัวแอบแฝง การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีก็โหวตกันในสภา
ลงคะแนนโดย ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง ส่วนจะมีใครหนุน
มีผู้ใหญ่สนับสนุนหรือเชียร์ ก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อ เป็นเช่นนี้ "ทักษิณ" จึงต้องออกมาเล่นหน้าฉาก
เปิดหน้ากากเล่นผ่านวีดีโอลิงค์ด้วยตนเอง
และเมื่อนายใหญ่เปิดหน้าออกมาเล่นเองทั้งที ก็ต้องทำให้ดูใหญ่กว่า
ดังกว่า จะได้เป็นข่าว จะได้สะท้อนกระทบถึงเป้าที่ตนเองต้องการจริง
ก็ย้ายประเด็นถอยหลังไปอยู่ที่การทำรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549
เพราะคิดว่าเป็นจุดอ่อนของฝ่ายต่อต้านทักษิณ
และหวังจะได้ใจนักวิชาการที่ไร้เดียงสาส่วนหนึ่งด้วย
จุดโจมตีจึงหันไปเน้นที่ "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" และผู้ที่เป็นนายกฯ
แทน "ทักษิณ"
ถาม : เชื่อไหมว่าพลเอกสุรยุทธ์ อยู่เบื้องหลังการ "ปฏิวัติ" ยึดอำนาจ 19
ก.ย. 2549 ?
ตอบ : ผมเชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์
มีความเป็นห่วงเป็นใยบ้านเมืองในช่วง 2549 จริงๆ เพราะหลังงาน
"เฉลิมฉลองการครองราชย์ 60 ปี" ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ในช่วงเดือน มิ.ย. 2549 ผมได้พบท่านองคมนตรีหลายท่าน
ในงานที่องคมนตรีเลี้ยงขอบคุณเอกอัครราชทูตที่ได้ทำงานรับรองพระราช
อาคันตุกะจากต่างแดนอย่างดี องคมนตรีหลายท่าน รวมทั้งพลเอกสุรยุทธ์
ทุกท่านต่างก็เป็นห่วงบ้านเมืองในขณะนั้น
เพราะเพิ่งผ่านเหตุการณ์การเมืองหลายเรื่อง เช่น (1) การเลือกตั้ง 2
เม.ย. 2549 ที่เลวร้าย กกต.หันก้นคนใช้สิทธิออกด้านนอก
ละเมิดสิทธิผู้เลือกตั้ง (2)
พรรคประชาธิปัตย์และพรรคชาติไทยบอยคอตไม่ลงสมัครแข่งขัน
พรรคไทยรักไทยจ้างพรรคเล็กลงสมัครตบตา
เพื่อให้ตนเองได้เข้าสู่อำนาจรัฐโดยวิถีทางที่ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ไม่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ (3) พันธมิตรชุมนุมกดดันรัฐบาลที่แก้กฎหมาย
ขายสมบัติชาติให้เทมาเส็กโดยไม่เสียภาษีอีกด้วย (4) "ทักษิณ"
ประกาศยุติการเป็นนายกฯ เว้นวรรคการเมือง แต่กลับคำ กลายเป็นลาพักผ่อนยาว
แล้วตั้งพล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ ที่ไม่ได้เป็น
ส.ส.ให้เป็นผู้ทำหน้าที่นายกฯ เป็นต้น
เช่น เดียวกัน หากพลเอกสุรยุทธ์
จะได้มีโอกาสพบคุยกับผู้พิพากษาหรือคนอื่น ในช่วงเวลานั้น
ก็คงจะพูดจาในลักษณะที่เป็นห่วงบ้านเมือง
โดยเฉพาะต้องติดตามข่าวที่มีคนพยายามทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์
ซึ่งเป็นหน้าที่ขององคมนตรี
แต่จะให้เชื่อว่า พลเอกสุรยุทธ์
กับตุลาการผู้ใหญ่วางแผนทำรัฐประหารอย่างที่ "ทักษิณ" กล่าวหา
ก็ฟังดูไม่น่าเชื่อถือ ไม่สมเหตุสมผล
เพราะตุลาการผู้ใหญ่จะวางแผนทำรัฐประหารได้อย่างไร
ไม่มีกองกำลังอยู่ใต้บังคับบัญชา และทำไมต้องปรึกษากันตั้งแต่กลางปี 2549
ในขณะที่รัฐประหารเกิดขึ้น 19 ก.ย.2549
ผมกลับคิดว่า คนวางแผนและยึดอำนาจจริง มี 4 คน คือ พลเอกสนธิ
บุญยรัตกลิน พลเอกสะพรั่ง กัลยาณมิตร พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา
และพลอากาศเอกชลิต พุกผาสุข ผู้ กุมกำลังหลักของกองทัพในขณะนั้น เพราะถ้า
4 คนนี้ ไม่เอาด้วย องคมนตรีก็ดี ตุลาการก็ดี หรือพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี
ก็คงทำให้สำเร็จไม่ได้
ถาม : ที่ "ทักษิณ" ทุ่มสุดตัวขนาดนี้ แท้จริงแล้ว ต้องการอะไร ?
ตอบ : ก็อย่างที่วิเคราะห์ไปแล้ว นี่คือช่วงเวลาสุดท้าย
หรือโอกาสสุดท้ายของ "ทักษิณ"
ถ้าช้าไปกว่านี้ รัฐบาลอภิสิทธิ์ก็จะยิ่งแข็งแกร่ง
ได้รับความเชื่อถือ คะแนนนิยมดีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งต่างประเทศและภายในประเทศ
ยิ่งหากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจได้ผลก็ยิ่งจะได้ใจประชาชน
เป็นโอกาสให้รัฐบาลอภิสิทธิ์ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ส่วน "เพื่อไทย"
ยิ่งเนิ่นช้าไปยิ่งกัดกินตัวเอง ขาดหัว ส.ส.ก็ไม่ได้เรื่อง ถึงเวลานั้น
ปล่อยไปคงแพ้เลือกตั้ง ในขณะเดียวกัน "ทักษิณ" เอง
ก็มีสภาพเป็นนักโทษหลบหนี ซึ่งจริงๆ ต้องเข้าคุก ส่วนคดีอื่นๆ
โดยเฉพาะคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ก็กำลังเข้าสู่ศาลยุติธรรม
เมื่อ จวนตัวอย่างนี้ "ทักษิณ" จึงสร้างเรื่องทำลายองคมนตรี 2
คนที่สำคัญ แล้วขอต่อรองนิรโทษกรรมให้ตนเองพ้นผิด
ให้พรรคพวกลิ่วล้อพ้นมลทิน ให้ได้ทรัพย์สมบัติกว่า 76,000
ล้านบาทกลับคืนมาเป็นของตัวเอง
เพื่อให้ลืมเรื่องที่ตนเองเคยทำผิดและเคยถูกกล่าวหามากมาย ไม่ว่าจะเป็น
การครอบงำฝ่ายนิติบัญญัติ ครอบงำองค์กรอิสระ ครอบงำข้าราชการตำรวจ
และหาผลประโยชน์เอื้อพวกพ้องเครือญาติ และจะได้กลับมาฟื้นฟู "ไทยรักไทย"
โดยผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองให้นิรโทษกรรมจาก 19 ก.ย. 2549 ล่วงหน้าไปถึง 5
พ.ค. 2552
"ทักษิณ" จึงขอต่อรองให้นายกฯ อภิสิทธิ์ยุบสภาโดยเร็ว
ให้กลับไปเลือกตั้งใหม่ เหมือนกลับไปต่อการเลือกตั้ง 2 เม.ย.2549
ลบประวัติศาสตร์ทิ้งไป 3 ปี (จาก 2 เม.ย.2549-เม.ย. 2552) "ทักษิณ"
ฝันอยากได้รัฐธรรมนูญ 2540 ที่เปิดช่องให้ระบอบทักษิณแทรกแซงวุฒิสภา
คุมสภาผู้แทนราษฎร แทรกแซงองค์กรอิสระ ทำหมันระบบตรวจสอบ
เพื่อจะได้กลับมาสถาปนาอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สยายปีกคุมทั่วฟ้าแผ่นดินไทย
แต่ แต่คุณคิดว่า "ทักษิณ" ไม่รู้ตัวหรอกหรือ ว่าขณะนี้
ตัวเขาเป็นนักโทษชายผู้หนีคดี
ขบวนการเสื้อสูทในสภาและเสื้อแดงนอกสภาที่คอยเป็นมือเป็นเท้าก็กำลังตกต่ำ
ไร้ประสิทธิผล ในขณะที่กลุ่มคนที่ "ทักษิณ"
มองว่าเป็นศัตรูทางการเมืองของตนเอง ไม่ว่าจะเป็น ประธานองคมนตรี
องคมนตรี ศาลยุติธรรม ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กองทัพ
รัฐบาลอภิสิทธิ์ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
ล้วนแต่มีทุนทางสังคม มีอุดมการณ์ทำงานเพื่อสังคมส่วนรวม
มีความน่าเชื่อถือ มากกว่าเสื้อแดงและเพื่อไทยของทักษิณ
ข้อต่อรองที่ "ทักษิณ" ตั้งขึ้นมาเอง พูดจาเอาเอง
จึงน่าจะรู้ตัวเองดีว่า ไม่สำเร็จง่ายๆ แน่นอน
ถาม : ถ้ารู้อยู่แล้วว่า เรียกร้องเพื่อตัวเองอย่างนี้
ไม่มีใครเอาด้วยแน่ๆ แล้วเขาทำไปทำไม ?
ตอบ : ก็เพราะถ้าข้อเรียกร้องไม่ได้ผล
ก็อาจเป็นเหตุให้เกิดความรุนแรง เกิดสงครามกลางเมืองขึ้น
คุณก็รู้ว่า เมื่อเกิดเหตุอย่าง 14 ต.ค. 2516 หรือพฤษภา 2535
สถาบันระดับสูงก็ต้องเข้าแก้ไขปัญหา แล้วเขาก็จะอ้างว่า เห็นไหม...
คุณก็รู้ว่า เมื่อเกิดเหตุอย่าง 6 ต.ค. 2519
แล้วก็เป็นเงื่อนไขให้มีคนทำรัฐประหาร ไม่พวกเขาก็พวกใคร
ซึ่งกองทัพในขณะนี้ก็แตกแยกเป็นสองฝ่าย...
คนบางคน เขายึดถือคติว่า "ถ้าเราจะเสียหายย่อยยับ
ก็ให้บ้านเมืองมันเสียหายย่อยยับไปด้วย" มันคงจะมีบางคนที่คิดอย่างนี้
ถาม : เราควรจะเชื่อคำพูดของใคร ? ฟังดูแล้ว ใครน่าเชื่อถือกว่าใคร ?
ตอบ : ต้องพิจารณาปัจจัยดังต่อไปนี้
(1) คนพูด คนกล่าวหา มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องที่พูดอย่างไร
มีอคติ เพราะอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเอา หรือไม่
(2) คนพูด ชอบพูดโกหก กลับกลอกไปมาตามกาลเวลาและสถานการณ์หรือไม่
รักษาคำพูดที่เคยพูดไว้หรือไม่ เช่น ผมหยุดเล่นการเมืองแล้ว... ฯลฯ
(3) คนพูด มีประวัติดี ไม่โกง ไม่เอาเปรียบคนอื่น
ไม่เอาเปรียบสังคม หรือไม่ ? เห็นแก่ตัวมากหรือเปล่า?
(4) คนพูด เคารพกฎหมาย ทำตามกฎหมาย กติกาสังคม
หรือชอบหลบเลี่ยงกฎหมาย อ้างบกพร่องโดยสุจริต
หรือแก้กฎหมายเพื่อให้ตัวเองขายหุ้นได้ผลประโยชน์สูงสุด
แก้กติกาส่วนรวมเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของตนเอง
(5) คนพูด เป็นคนที่มีความรับผิดชอบ คือ พร้อมรับผิดและรับชอบ
หรืออยู่ระหว่างหลบหนีความรับผิดในคดีของตนอยู่เมืองนอก
สุดท้าย ผมอยากจะบอกความในใจว่า ในอดีต
ผมไม่เคยใส่ใจเรื่องความมั่นคงของประเทศมากนัก
และไม่เคยเป็นห่วงความมั่นคงของสังคมไทยมาก่อน แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกว่า
หน่วยงานความมั่นคงของไทย ไม่ว่าจะเป็น กองทัพ ตำรวจ
สภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือหน่วยงานอื่นๆ เช่น อัยการ
กระทรวงการต่างประเทศ กำลังทำงานกันอยู่บ้างหรือไม่
เรา กำลังปล่อยให้ "ทักษิณ" ทำตัวเหมือน "บิน ลาเดน" หลบซ่อน
ล่องลอยอยู่ไหนไม่รู้ และที่เลวร้ายกว่าคือ
โจมตีแผ่นดินเกิดที่มีบุญคุณกับตัวเอง
ทำร้ายประเทศชาติที่ตนเองหากินจนร่ำรวยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
มองแต่ผลประโยชน์ส่วนตัว อยากแต่จะเอาเงิน-เอาอำนาจของตัวเอง
น่าประหลาดใจ ที่นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน
ยังมีเสรีภาพในการพูดผ่านวิดีโอลิงค์
น่าแปลกใจ ที่นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน ยังมีเสรีภาพในการเดินทาง
น่าเศร้าใจ ที่นักโทษผู้หลบหนีคดีอาญาแผ่นดิน
ยังมีเสรีภาพในการใช้ประเทศอื่นโจมตีประเทศไทย
หากรัฐไทยปล่อยให้เป็นอย่างนี้ ก็น่ากลัวว่า
รัฐไทยจะกลายเป็นรัฐที่ล้มเหลว (failed state) อย่างที่เขาต้องการ
อย่าปล่อยให้ประเทศไทยถูกทำลายอีกต่อไป ด้วยฝีมือของพวก "อัตตาธิปไตย"
ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็น "สังคมธรรมาธิปไตย" ได้แล้วครับ !
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9520000036652
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น