++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2552

บันทึก 63 ปีเมืองพัทยาสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อก้องโลก-ย่อยยับลงเพราะฝีมือ “คนหน้าเหลี่ยม”

บันทึก 63 ปีเมืองพัทยาสู่แหล่งท่องเที่ยวชื่อก้องโลก-ย่อยยับลงเพราะฝีมือ “คนหน้าเหลี่ยม”
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

   
โดย ทัพหน้า
      
       บันทึกเมืองพัทยาเมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลกที่ย่อยยับลง เพราะ “นช.ทักษิณ” สั่งสมุนป่วนการประชุมอาเซียนซัมมิต ต้องถือว่าคนทำใจดำอำมหิตเป็นอย่างยิ่ง เพราะกว่าจะบุกเบิกพัทยามาจนโด่งดัง ก็ใช้เวลาย่างเข้า 63 ปีแล้ว
      
       รายงานพิเศษเฉพาะเมืองพัทยาชิ้นนี้ เขียนขึ้นสืบเนื่องมาจากการกระทำของพวกเสื้อแดง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นคนภาคอีสาน จันทบุรี และ อยุธยา ที่เป็นสมุนข้าทาสบริวารคนหน้าเหลี่ยม “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่กำลังหนีโทษจำคุก 2 ปี ได้ร่วมกันทำลายเมืองพัทยา เมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลก ทำรายได้ให้ประเทศไทยปีละหลายหมื่นล้านบาท
      
       อย่างที่คนไทยน้อยคนนักที่จะมีใจอำมหิตกระทำได้อย่างคนๆ นี้..ซึ่งเจตนาทำลายแผ่นดินเกิดชาติเกิดของตัวเองประเทศไทยได้แบบใจดำกว่า อีกา...
      
       อันเมืองพัทยาที่เรียกกันว่า Pattaya City ปัจจุบันนี้นั่นแหละ มีน้อยนักที่จะมีผู้คนรู้ว่าคนที่มาบุกเบิกที่นี่แผ่นดินท่องเที่ยวแห่งนี้ รุ่นแรกๆ มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไร มีที่มาและมีที่ไปประการใดด้วย แต่เพราะผู้เขียนถึงแม้จะผ่านมาเรื่องเหล่านั้นมาเป็นเวลาถึง 30-40 ปีแล้วก็ตาม เรื่องพัทยา หรือเมืองพัทยา หรือหมู่บ้านประมงพัทยาเล็กๆ ย่านพัทยาใต้ คงยังอยู่ในความทรงจำจนวันนี้
      
       ย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2489 นายปริญญา ชวลิตธำรง อดีตรองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอดีตรองปลัดกระทรวงพัฒนาการแห่งชาติ ขณะมีอายุประมาณ 30 ปี ได้มาซื้อที่ดินแปลงแรกประมาณ 500 กว่าไร่ อยู่ย่าน “วงค์อมาตย์” ที่เป็นที่ตั้งของโรงแรมดุสิตรีสอร์ท ในปัจจุบัน แต่เดิมโรงแรมนี้เป็นของ นายธเนส เตลาน ชื่อแกรนด์พาเลซ แต่ที่ดินนั้นก็เช่ามาจาก นายปริญญา ชวลิตธำรง นั่นเอง วันนี้ที่ดินของ นายปริญญา ชวลิตธำรง ไม่มีใครทราบว่ามีเท่าใด แต่มีมากกว่า 2,000 ไร่แน่นอน
      
       นายปริญญา ชวลิตธำรง จึงได้ชื่อว่า Land Lord (เจ้าที่ดิน) เมืองพัทยาอย่างแท้จริง และเป็นคนบุกเบิกมาแต่ พ.ศ.2498 แล้ว บ้านหลังใหญ่ของ นายปริญญา อยู่ย่านวงค์อมาตย์ แต่ที่ดินจากนั้นมาเป็นของเขาและภริยาจนหมดสิ้น ปัจจุบัน นายปริญญา และภริยาที่ชื่อ คุณหญิงบุญสิริ สิ้นชีวิตไปแล้ว
      
       สำหรับเมืองพัทยาเมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลกด้วยแล้ว แต่เดิมนั้นที่ดินแห่งนี้เป็นของข้าราชการที่มารับราชการอยู่ชลบุรีหลายท่าน ด้วยกัน เช่น พระดุลนาฎนัยพิจิตร อดีตเป็นผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นที่ลงเงินลงทุนตัดถนนสายพัทยาบางสาย และตลอดกระทั่ง นายวิจิตร นายสันต์ ศุภหัสรังสี เจ้าของกิจการโรงแรมเล็กกะทัดรัดหลายแห่ง รวมทั้งตระกูล พัฒนสินและเริ่มกิจการและคนอื่นๆที่เป็นคนพัทยาแท้ๆ
      
       ขณะที่พวกเขาเหล่านี้ทำการบุกเบิกพัทยา (ชื่อเดิมนั้นเรียกขานกันว่า พัทธยา) มีนายชั้น สุวรรณทรรภ เป็นนายอำเภอบางละมุง และผู้บุกเบิกรุ่นนี้ลงทุนตัดถนนสายบางละมุง-นาเกลือเดิมไปพัทยาแค่โค้งที่ เป็น ดุสิต รีสอร์ท ทุกวันนี้
      
       นายปริญญา มีพี่ชายอีกคน คือ นายประยูร เป็นอดีตนายอำเภอ ปัจจุบันที่ดินแถบนั้น ก็คือ ย่านโรงแรม อมารี และย่านโรงแรมมารีน่า รีสอร์ท พัทยา เริ่มมีชื่อเสียงในครั้งแรกนั้น มาจากกลุ่มนักหนังสือพิมพ์รุ่นหนังสือพิมพ์เพลินจิต ชุดของ วรรณศิริ คือนายน้อย ชลานุเคราะห์ นี่คือความเป็นมาเมื่อ 53 ปีที่แล้ว
      
       สำหรับผู้บันทึกเรื่องพัทยาเมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลกนี้ เป็นอดีตนักข่าวของหนังสือพิมพ์รายวันย่านสี่พระยา หัวสีบานเย็น..ขณะนั้นที่มี “เรือใบ” นายสนิท เอกชัย เป็นหัวหน้ากองบรรณาธิการ และได้เข้าร่วมกับคนเก่าแก่ของคนบางละมุง (พัทยา-นาเกลือ) ชุมนุมประท้วงต่อสู้กับการไฟฟ้าเอกชนเจ้าของสัมปทาน จนรัฐบาลได้ยึดสัมปทานผู้ขาดจากเอกชนเป็นของราชการอีกครั้งและทำให้พัทยามี ไฟฟ้าใช้แบบไม่ติดๆ ดับๆ เหมือนครั้งที่อยู่กับบริษัทเอกชน
      
       บันทึก เมืองพัทยานี้ เป็นบันทึกที่สะท้อนการต่อสู้ของนักบุกเบิกเมืองพัทยา รุ่นแรกๆ รุ่นแล้วรุ่นเล่า จนเป็นเมืองพัทยามีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกทำรายได้เข้าเมืองพัทยา เป็นหมื่นๆ ล้านบาทต่อปี
      
       แต่ ทว่าวันนี้เมืองพัทยาต้องมาฉิบหายวายป่วงเพราะน้ำมือคนเสื้อแดงที่มาจากภาค อีสาน เมืองจันท์บางส่วน รวมถึงคนอยุธยาและชลบุรีบางคนที่เนรคุณแผ่นดินเกิด ยอมเป็นขี้ข้าทาสรับใช้คนหน้าเหลี่ยมทักษิณ
      
       นอกจาก นายปริญญา ชวลิตธำรง ที่เป็น Land Lord ของเมืองพัทยา อีกคนที่จะต้องบันทึกชื่อไว้ คือ Mr.Alois X.Fassbind ผู้จัดการโรงแรมคนดัง ที่ย้ายตัวเองจากโรงแรมนารายณ์กรุงเทพฯ พร้อมทีมงานออกมาทำงานโรงแรมชื่อพัทยา พาเลซ ชายหาดพัทยา จนได้รับการขนานนามว่าเป็น Mr.Pattaya (มิสเตอร์พัทยา)
      
       ปี 2500 พัทยาเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวต่างประเทศ มีโรงแรมเกิดขึ้น 2 แห่ง คือ นิภาลอดจ์ และโรงแรมควีน ของ นายโกศล ไกรฤกษ์ และต่อมาก็คือ โรงแรมที่ชื่อพัทยาพาเลซเป็นแห่งที่ 3 มี นายธเนส เตลาน กับ ตระกูลเตลาน ที่ลงทุนโดยการเช่าที่ดินของ นายปริญญา ชวลิตธำรง นั่นเอง เพื่อสร้างโรงแรมแห่งนี้ขึ้น จนมีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลก โดย มร.ฟาสบินด์ และทีมงาน
      
       ต่อมาปี พ.ศ 2510 มีการแข่งขันเรือใบซีเกมส์หรือกีฬาแหลมทองเดิม ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพ ครั้งกระนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเข้าร่วมการแข่งด้วยพร้อมกับทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนฯ พร้อมนักกีฬาแล่นใบจากประเทศต่างๆ ณ สนามการแข่งขันเรือใบ ณ สโมสรเรือใบพัทยา ที่ พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ ได้สร้างไว้ พล.อ.อ.ทวี จุลละทรัพย์ เป็นผู้หนึ่งที่ทำให้พัทยามีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก ร่วมการแข่งขันเรือใบครั้งกระนั้นด้วย
      
       พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลกระหม่อมเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนฯ ชนะการแข่งขันเรือใบประเภท โอเค ทรงได้ครองเหรียญทอง 2 เหรียญทองร่วมกัน ชื่อเสียงของพัทยาโด่งดังไปทั่วโลก ในทันที เป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลกจากการนำเสนอข่าวของผู้สื่อข่าวต่างประเทศและภายใน ประเทศ
      
       บรรยากาศขณะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนฯ ทรงก้าวลงจากเรือใบที่ทรงเข้าร่วมการแข่งขันขณะนั้น ภาพที่ประทับใจที่เกิดขึ้น ก็คือ ประชาชนนับหมื่นคนและ ทูตานุทูตจากต่างประเทศ ต่างพากันยืนออกันแน่นอยู่ริมชายหาดพัทยา ณ สโมสรเรือใบนั้น ต่างพากันปรบมือและส่งเสียงร้องไชโยก้องชายหาดพัทยา ภาพเหล่านั้นยังติดตาตรึงใจ (ผู้เขียน) อย่างมิรู้ลืม
      
       ใน ครั้งกระนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นักข่าวที่มาทำข่าวการแข่งขันเรือใบทุกคนได้เข้าเฝ้าฯและพระราชทาน สัมภาษณ์ถึงการแข่งขันเรือใบ ซึ่งมีทั้งนักข่าวไทยและต่างประเทศรวมกันหลายคนได้เข้าเฝ้าฯและรับพระราชทาน สัมภาษณ์จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเจ้าฟ้าหญิงอุบลรัตนฯ ณ ตำหนักพัทยาใต้
      
       นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองพัทยาที่คนรุ่นหลังจำนวนมากอาจยังไม่รู้จัก
      
       ส่วน มร.อะลอยส์ ฟาสบินด์ ซึ่งเป็นชาวสวิส นั้น บริหารโรงแรมพัทยาพาเลซอยู่นาน จนกระทั่งมีการสร้างโรงแรมแกรนด์พาเลซ เขาจึงย้ายไปเป็นผู้จัดการโรงแรมรอยัลคลิฟบีช รีสอร์ท (ตามนามบัตร์ที่เขาได้ให้ผู้เขียนเรื่องนี้ไว้ 2 ใบด้วยกัน ใบหนึ่งมีลายเซ็น ไปพักได้ ฟรี หากเขาไม่อยู่จะมีคนอื่นบริการให้)
      
       มร.อะลอยส์ เอ็กซ์ ฟาสบินด์ โปรดสังเกตที่นามบัตร เขาจะเขียนข้อความว่า NEAR PATTAYA,THAILAND (โปรดสังเกตข้อความที่นามบัตร) ผู้เขียนจึงถามไปว่า ทำไมเขียนนามบัตรแบบนี้ มร.อะลอยส์ เอ็กซ์ ฟาสบินด์ ตอบคำถามนั้นเพราะว่าขณะนั้น คนไทยชอบใช้คำว่า เนียร์บอร์ดเดอร์ ที่แปลว่า ติดชายแดน หรือใกล้ชายแดน เพราะขณะนั้นมีการสู้รบกันตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา
      
       ชะรอยว่า มร.ฟาสบินด์ จะรู้ล่วงหน้าว่า อีกไม่นานนักพัทยาจะมีเรื่องสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้น น้ำทะเลหน้าอ่าววงเดือนจะเน่าเสีย จึงตัดสินใจขึ้นไปบนเขาพระตำหนักและบริหารโรงแรมรอยัลคลิฟ ตั้งแต่นั้นมา และใช้คำว่า เนียร์พัทยา ในนามบัตร์ของแก คนที่รู้เรื่องของ มร.ฟาสบินด์ ดี มีอีกไม่กี่คนที่ยังมีชีวิตอยู่ คือ นายก้อง เดชา นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ และ เป็นหัวหน้ารักษาความปลอดภัยโรงแรม อีกคนคือ นายอนุศักดิ์ รอดบุญมี อดีตนายกเมืองพัทยา และอีกคนคือผู้บันทึกเรื่องนี้
      
       ปัจจุบันนี้คนพัทยาไม่ใช่คนพัทยาแล้ว เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ.2530 เป็นต้นมา นานถึง 22 ปีนี้ การลงทุนในเมืองท่องเที่ยวชื่อก้องโลกแห่งนี้ เปลี่ยนไปเพราะมีคนจากทุกจังหวัดมาตกคลั่กกันอยู่ที่นี่ที่พัทยา เป็นคนมาจากภาคอีสาน เหนือ ใต้ ตะวันออกและตะวันตก มารับผิดชอบชะตากรรมของเมืองพัทยาร่วมกัน
      
       ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเมืองพัทยาเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ดี เพราะตระกูลเก่าแก่คนพื้นที่และคนรุ่นบุกเบิกต่างก็จะพากันจากโลกนี้ไปเพราะ อายุขัยเข้าวัย 70 ปีกันแล้ว
      
       สำหรับคนรุ่นใหม่พากันเข้ามาบริหารเมืองพัทยา แต่ก็รู้เรื่องเมืองพัทยารู้ที่มาแบบงูๆ ปลาๆ ถ้าถามว่า ลายนิ้วมนุษย์อวกาศอเมริกันชุดที่เดินทางไปกับยานอะพอลโล ประทับลายนิ้วมือ ลายนิ้วเท้าเอาไว้ที่ใหนในแผ่นดินพัทยา คนพัทยาทุกวันนี้ต่างตอบกันไม่ได้
      
       ยิ่งถ้าถามว่าตำหนักพัทยาของในหลวงอยู่ตรงไหน ยิ่งตอบกันไม่ได้ไปใหญ่
      
       พัทยา ทุกวันนี้ ย่อยยับลง เพราะการโฟนอินและบางถ้อยคำบางประโยคของนายหน้าเหลี่ยมทักษิณ สร้างความฉิบหายวายวอดให้กับเศรษฐกิจเมืองท่องเที่ยวลงแล้วอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะจากถ้อยคำประโยคหนึ่งที่ว่า “มาประท้วงแล้ว ต้องมีอะไรติดมือติดไม้กลับมา..”
      
       นี่ เอง หลังจากชุมนุมใหญ่หน้าบ้าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ที่สี่เสาเทเวศร์แล้วไม่ได้ผล คนเสื้อแดงจึงบุกโรงแรมรอยัลคลิฟ จนที่ประชุมอาเซียนซัมมิต+3 อาเซียน+6 ต้องเลิกการประชุม ซึ่งทำให้คนไทยทุกคนต้องขายหน้า และสูญเสียโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะได้จากการประชุมครั้งนี้อย่างมหาศาล
      
       คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าเขาสร้างเมืองพัทยากันมาจนมีชื่อเสียงโด่งดังก้อง โลกอย่างยาวนานใช้เวลากว่า 50-60 ปี ต่างต้องมาฉิบหายวายป่วง เพราะคนหน้าเหลี่ยมที่ชื่อทักษิณคนนี้คนเดียว
      
       แรงบันดาลใจให้เขียนเรื่องนี้ ก็เพราะข่าวของ ASTVผู้จัดการ ที่เสนอข่าวว่าพนักงานโรงแรมร้องไห้ เนื่องจากโรงแรมแห่งนี้ (รอยัลคลิฟบีช) สร้างสมชื่อเสียงมาอย่างยาวนาน แม้จะประสบภาวะวิกฤตอย่างไรโรงแรมแห่งนี้ก็ไม่เคยปลดพนักงานเลย คราวนี้พนักงานจะต้องเผชิญกับอนาคต เพราะพวกเสื้อแดงสถุนได้กระทำการผลาญเมืองพัทยาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะชื่อเสียงของโรงแรมรอยัลคลิฟ เสียหายไปทางลบเรียบร้อยแล้ว
      
       คนเมืองพัทยา ที่มาลงทุนกันในเรื่องการท่องเที่ยววันนี้ ไม่ว่าจะเป็นคนมาจากภาคใดของประเทศไทย ต้องรับผิดชอบร่วมกันและต้องอย่าให้มีการกระทำแบบนี้เกิดขึ้นอีก ต้องชัดเจนในอนาคตของเมืองพัทยา อย่าให้พวกเสื้อแดงมาทำลายทำร้ายสถานที่ท่องเที่ยว ที่สร้างรายได้เข้าประเทศนับหมื่นล้านบาทต่อปีซึ่งเป็นที่ทำมาหากินของพวก ท่าน
      
       อีก ประการหนึ่งใคร่ร้องขอพวกเสื้อแดงพัทยา ไม่ว่าท่านจะมาจากที่ไหนขณะนี้ท่านทำมาหากินอยู่ที่เมืองพัทยา ถอดเสื้อแดงทั้งกายและใจเสียแต่วันนี้ เพราะเมืองพัทยาจะอยู่ในของคนพัทยาทุกคน
      
       แต่ ถ้าไม่รวมใจกัน พัทยาก็มีแต่จะต้องตกต่ำลงไปเรื่อยๆ โทษใครไม่ได้เพราะท่านอยู่ในกระบวนเสื้อแดงหรือไม่ต้องตอบคำถามของตัวเอง ด้วย แต่ถ้าไม่ใช่ต้องลุกขึ้นมาต่อต้านคนหน้าเหลี่ยมทักษิณซึ่งทำร้ายแผ่นดินโดย ทันที

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000042870

    ผมเป็นเสื้อเหลืองที่อยู่ท่ามกลางคนเสื้อแดงที่ชลบุรี วันประชุมที่พัทยา หลังจากที่เสื้อแดงกำลังจะกลับ ได้โทรเข้ามือถือของคนที่ออฟฟิศเดียวกับผมคนนึง หลังจากวางสาย คนรับสายเธอก็หน้าตาร่าเริงบอกพวกผมว่าเราชนะแล้ว เพื่อนเธอจากเชียงใหม่ที่มาบุกพัทยาโทรมาบอก และได้ขอให้เธอตรวจสอบหาคนเสื้อแดงที่บาดเจ็บอยู่ในโรงพยาบาลให้ที นายใหญ่จากเมืองนอกสั่งมา ถ้ามีคนเจ็บจะได้ทำเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ย้ำว่าให้หาให้ได้ ผมไม่ช่วยอ้างว่าเพราะไม่คุ้นกับพัทยา ให้เธอจัดการหาเอง ผมจะทำธุระ

วัน เดียวกันมีคนรู้จักกันโทรศัพท์มา บอกว่าเพิ่งกลับมาชลบุรี ผมเย้าเล่นถามว่าไปพัทยากับเสื้อแดงมาหรือไง เขาบอกว่าก็เสื้อแดงพูดความจริง หรือคุณว่าไม่จริง ผมตัดบทบอกว่าพอดีมีธุระ

ตก กลางคืน เครียด เพราะวันนั้นประกาศพระราชกำหนดที่พัทยาและชลบุรี เราก็ไม่รู้ใครแดงใครเหลือง วันนั้นเริ่มหยุดช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อนๆ สีเหลืองที่รู้จักก็ลาไปเที่ยวกันหมดแล้ว เหลือเฝ้าออฟฟิศแค่สองคนผมกับเธอคนนั้น ไม่อยากคุยกับหล่อน จึงโทรไปคุยกับเพื่อนสนิทที่ลำปาง เล่าให้ฟังว่าตอนนี้เครียดจัง เครียดเพราะวันนี้มีอริสมันต์มาทุบโรงแรมอยู่ใกล้ๆ เพื่อนตอบกลับมาอย่างดีใจว่า เหรอ ไปประท้วงกับเขาด้วยเหรอ เท่จังเลย

เฮ้อ... ทำไมเสื้อแดงมันเยอะอย่างนี้
อ.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น