++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วรรณกรรม แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ วรรณกรรม แสดงบทความทั้งหมด

วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ซั้วงูสิงห์ (กินพิสดาร) snake menu


"ซั้วงูสิงห์" นำมาจากต่วยตูน พ๊อคเก๊ตบุ๊คส์ ฉบับเดือน มีนาคม พ.ศ.2531
ผลงานเขียนของ ชนินทร์ นนทะเสน




.......ถ้ามีผู้ตั้งคำถามว่า คนเรานั้น "กินเพื่ออยู่" หรือ "อยู่เพื่อกิน" ผมเห็นจะเลือกเอาข้อแรกล่ะครับเป็นคำตอบ โดยเฉพาะประชากรในภาคอีสานส่วนใหญ่มีความเป็นอยู่ค่อนข้างจะขัดสน อดมื้อกินมื้อเสียเป็นส่วนมาก โอกาสที่จะเลือกอาหารการกินตามเหลาตามบาร์เหมือนพวก "อยู่เพื่อกิน" นั้นไม่มีใครทำได้ง่ายๆนักหรอก ดังนั้น อาหารที่พวกผู้ดีตีนแดงในเมืองศิวิไลซ์ทั้งหลายขยะแขยง เช่น กิ้งก่า อึ่งอ่าง ตะกวด งู ฯลฯ เหล่านี้คนทางภาคอีสานในชนบทต่างถือเป็นของโปรดปราน ชนิดจะหากินกันได้ง่ายๆ ซะเมื่อไหร่




คำว่า "ซั้ว" เป็นภาษาถิ่นภาคอีสาน พอจะเทียบกับภาษาไทยภาคกลางได้ คือ "ต้มยำ" นั่นเอง ถ้าเป็นผู้ค่อนข้างมีฐานะอันจะกินหน่อย เขาจะปรุงกันในหม้อไฟหรือหม้อไฟฟ้าไปโน่น แต่ในชนบทหรือข้างกระต๊อบนาเขาจะปรุงในหม้อดินเผาราคาถูกๆใบละสามสี่บาท พูดถึงรสชาติก็ไม่ผิดแผกกันเท่าใดนักหรอก แต่การกินอาหารให้อร่อยนั้น บางคนบอกว่ามันอยู่ที่บรรยากาศรอบข้างด้วยเหมือนกัน ก็เห็นจะจริงดังว่าล่ะครับ ข้อนีเผมเองไม่อยากจะเถียงเท่าไรนัก เพราะคำว่า "เหล้าบางๆ นางดีๆ ดนตรีเพราะๆ...." นั้น ถึงจะเป็นคำพูดที่เชยไปหน่อย แต่ก็คงจะใช้ได้อยู่ในบางเวลา มันย่อมแล้วแต่โอกาสและสถานที่ หรือใครว่าไม่จริง!!

อย่าง "ซั้วงูสิงห์" ที่ผมนำมาเสนอในวันนี้ นักเลงกินไม่ว่าระดับคอทองแดงหรือชาวบ้านธรรมดา ถ้าบังเอิญจับงูสิงห์มาได้สักตัว จะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ ต่อให้เอาไก่พันธุ์ตัวโตๆมาขอแลก จ้างก็ไม่มีใครเล่นด้วยหรอก เพราะพูดถึงความเอร็ดอร่อยระหว่างงูสิงห์กับไก่แล้ว รสชาติมันผิดกันลิบลับเลยทีเดียว

งูสิงห์จัดเป็นประเภทงูไม่มีพิษ (กัดคนไม่ตาย) ลักษณะลำตัวใหญ่ โตกว่ากระบอกไฟฉายนิดๆ มีผิวสีทองค่อนข้างเหลือง ลำตัวยาวประมาณวาเศษๆ ส่วนมากที่ชาวบ้านจับได้จะมีน้ำหนักประมาณ 1 กิโลกรัม การจะล่างูสิงห์หรือจับมาซักตัวไม่ใช่สิ่งที่ยากเย็นจนเกินไป หากท่านอาศัยอยู่ในชนบทหรือคุ้นๆกับชาวบ้านที่มีฝีมือทางจับงูสิงห์แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนไปจับให้เหนื่อยยาก กระซิบบอกชาวบ้านหรือพรานป่าให้จับมาขายให้ โดนสนนราคาให้เป็นที่น่าพอใจก็คงจะพอซื้อหากันได้อยู่หรอก ดีกว่าลงทุนลงแรงออกล่าด้วยตนเอง เคราะห์หามยามซวยผ่าไปเจองูจงอางเข้าก็ได้วิ่งกันป่าราบเท่านั้น บางโอกาสผมเห็นชาวบ้านนำงูสิงห์มาขายที่ตลาดก็มีเหมือนกัน แต่ถ้าอยากจะออกไปจับกันจริงๆ ถือเป็นการพักผ่อนวันสุดสัปดาห์ก็ไปอีกเรื่องหนึ่ง และคงจะหาได้ไม่ยาก

ธรรมชาติของงูสิงห์มักอาศัยอยู่สองแห่ง คือ ถ้าเป็นพื้นดินในป่าที่รกชัฏมันไม่ค่อยชอบเท่าใดนัก นอกจากตามโพรงที่มีจอมปลวกละก็ร้อยทั้งร้อย เมื่อเจอรูมันเข้าก็ต้องลงทุนขุดกันจนเหงื่อโชกละครับ นอกจากนี้งูสิงห์ยังชอบอาศัยอยู่ตามข้างลำธารหรือริมลำห้วยที่มีเถาไม้เลื้อยปกคลุม ย่างเข้าฤดูหนาว ตั้งแต่เดือนตุลาคม ถึงเดือนกุมภาพันธ์ บางครั้งมันจะเลื้อยออกมานอนรับแสงแดดยามเช้าอยู่ตามกิ่งไม้ริมลำธาร หลับตาพริ้ม แสงแดดยามเช้าเวลา 9-10 นาฬิกากระทบเกล็ดสีทองส่องประกายแวววาว ขณะนั่งเรือออกทอดแหกับพรรคพวกในวันหยุดผมเคยเจอมามากต่อมาก

เอาเป็นว่า ถ้าเราได้งูสิงห์มาซักตัวแล้วจะทำอะไรกินมันจึงจะอร่อย เนื้องูสิงห์นั้นมีสีสันลักษณะขาวคล้ายเนื้อไก่มากครับ แต่รสชาติมันอร่อยกว่าเท่านั้นเอง ผมจะยกตัวอย่างที่เคยปรุงรับประทานมาให้ฟังสัก 3 ประเภทนะครับ คือ 1. ต้มยำ (ซั้ว) 2.ทอดกระเทียมพริกไทย 3. ผัดพริกใบกระเพรา

ก่อนอื่นเราต้องฆ่างูให้ตายสนิท นำร่างงูไปเผาไฟ อย่าให้ถึงกับไหม้ เอาแค่พอให้เกล็ดงูลอกออกได้ง่าย โดยใช้ช้อนสังกะสีขูดตามลำตัวจนเกล็ดหลุดออกหมด เรียก "ขอดเกล็ด" เสร็จแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดให้หมดจด จึงนำไปชำแหละ

ก่อนชำแหละต้องตัดหัวงูออกก่อน หัวงูนี้อย่าทิ้ง เก็บไว้ดองเหล้าผสมกับดีงู ฑโดยนำไปตากแดดให้แห้งกรอบแล้วดองกับสุราขาว โบราณว่าดื่มวันละจอกสองจอกแก้โรคตาฟางได้ชะงัดนัก จากนั้นให้ใช้มีดปลายแหลมกรีดจากหัวงูไปจนทั้งหาง (กรีดด้านพื้นท้อง) ดึงเอาเครื่องในออกมาทำความสะอาด ค่อยๆดึงเอาดีออก อย่าให้แตก นำไปตากแดดไว้ ส่วนตับ ลำไส้ ฯลฯ เก็บใส่ชามไว้ก่อน นำตัวงูมาตัดเป็นท่อนๆ ยาวประมารท่อนละ 2 นิ้ว


วิธีปรุง
1. ต้มยำหม้อไฟ หรือ "ซั้ว" ก่อนอื่นเอาหม้อตั้งไฟใส่น้ำให้พอดี ใส่เกลือครึ่งช้อนหรือมากกว่านั้นก็ได้ เครื่องปรุงที่ขาดไม่ได้มี ข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด เมื่อน้ำเดือดดีแล้วจึงเอาชิ้นส่วนของงูที่ตัดไว้เป็นท่อนๆ ลงไปต้ม การต้มใช้เวลานานประมาณ 1 ชั่วโมงเนื้องูจึงเปื่อยยุ่ย เนื้อจะร่อนหลุดอกมาจากกระดูก เป็นอันว่าสุกแน่ จึงถ่ายหม้อใส่หม้อไฟ ตอนนี้ต้องเพิ่มเครื่องปรุง มีหอมแดงเผา, พริกสดเผา, ต้นหอมสด , ผักชี ยี่หว่า ใบชะพลู 3-4 ใบ ผักลางแพวหั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ พอผักยุบเติมผงชูรสเล็กน้อย ชิมดูได้รสพอดีก็ยกมาทานได้

2. ทอดกระเทียมพริกไทย เนื้องูที่ตัดเป็นท่อนๆในตอนแรก เอามีดกรีดสันหลังทั้งสองข้างชำแหละเอาแต่เนื้อออกให้ หมด นำมาทอดกระเทียมพริกไทย การทอดต้องทอดให้กรอบจึงจะหมดกลิ่นคาว เมื่อสุกดีแล้วนำมารับประทานเป็นกับแล้มได้

3. ผัดพริกใบกระเพราะ นำพริกขี้หมูมาโขลกปนกระเทียม แล้วนำมาผสมกับเนื้องูซึ่งต้องชำแหละตามข้อ 2 เนื้องูนั้นต้องสับให้ละเอียดก่อน นำเครื่องในที่เก็บไว้ตอนแรก มาหั่นให้ละเอียดและผัดรวมกัน ใช้รสจัดๆหน่อย ก่อนจะยกลงจึงใส่ใบกระเพราเพื่อไม่ให้ใบกระเพราช้ำ กะจนเนื้องูสุกจึงยกลง

รายการนี้จะกินเป็นกับแกล้มหรือรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ อร่อยอย่าบอกใครเชียว

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2550

น้ำใจของคุณสุขพงศ์ ต่อความตั้งใจในการจัดตั้งชมรมคนรักผลงานของอาจารย์วิทยากร เชียงกูล ของคุณนิด


เมื่อคนจุดตะเกียงได้แจ้งที่อยู่ในเวบ blog แด่คุณสุขพงศ์ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลของ อ.วิทยากร ที่
http://onknow.blogspot.com/search/label/witayakorn


คุณสุขพงศ์ได้แวะเข้ามาอ่าน และฝากข้อความไว้ สำหรับการหาแนวร่วมของชมรมนี้
http://www.rsu.ac.th/csi/mr_witayakorn.htm


โดยให้ดูข้อมูลกิจกรรมนักศึกษาที่ อ.วิทยากร ดูแลอยู่

นอกจากการหาสมาชิกชมรมจากคนที่สนใจทั่วไปแล้ว
ในส่วนของคนใกล้ๆตัว คือ นักศึกษา ม.รังสิต ที่เรียนกับ อ.วิทยากรนั้น ก็น่าสนใจเช่นกัน
น่าจะมีคนที่มีความฝัน คล้ายคุณนิดอยู่บ้าง


นอกจากแนวร่วมจาก สมาชิกที่สนใจทั่วไป นักศึกษา ม.รังสิตแล้ว คุณสุขพงศ์ย่อมถือว่า เป็นแนวร่วมที่สำคัญตั้งแต่เริ่มต้นของคุณนิดเลยทีเดียว

คุณนิด มีพี่ชายท่านหนึ่งทำงานที่กองกิจการนักศึกษา มมส. ที่เป็นนักอ่านหนังสือตัวยง และอ่านผลงานเขียนของ อ.วิทยากร มาแล้วหลายเล่ม เธออยากจะลองทาบทามให้มาเป็นแนวร่วมในชมรมนี้ด้วย..


ชาลี แชปปลิน - ยอดดาวตลกแห่งศตวรรษ


ชาลี แชปปลิน - ยอดดาวตลกแห่งศตวรรษ


บรรพต บุศยพรรณ


ชาลี แชปปลิน ได้เขียนอัตชีวประวัติไว้เป็นเล่มหนาถึงกว่า 500 หน้า นักนวนิยายหญิงผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เมื่อได้ยินข่าวว่าเขากำลังเขียนอัตชีวประวัติอยู่ ก็บอกว่าดิฉันหวังว่าคุณคงกล้าพอที่จะเขียนความจริงออกมาให้หมดเปลือก

ชาลีคิดว่า เธอคงจะหมายถึงเรื่องการเมือง แต่อันที่จริงเธอหมายถึงชีวิตกามารมณ์ของเขา ชาลี แชปปลินเชื่อว่า เรื่องกามารมณ์มีส่วนน้อยมาก ที่จะทำให้เข้าใจใครคนใดคนหนึ่ง เขาไม่เชื่อเหมือนอย่างที่พรอยด์ว่า กามารมณ์เป็นส่วนสำคัญที่สุดในชีวิตมนุษย์ ความหิวและความยากจนน่าจะสำคัญต่อจิตใจของคนคนนั้นมากกว่า




ชาลี แชปปลิน เขียนไว้ว่า
" เช่นเดียวกับคนอื่นๆ ชีวิตเซ็กซ์ของฉันมันหมุนเวียนเป็นวงกลม ประเดี๋ยวก็คึกคัก ประเดี๋ยวก็ผิดหวัง แต่ไม่ใช่จะน่าสนใจอะไรมากมาย ทางที่จะนำไปสู่เซ็กซ์ต่างหากที่น่าสนใจยิ่งกว่า"

"เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ตอนกลับจากนิวยอร์ค และมาพักอยู่ที่ลอส แองเจลิสที่โรงแรมอเล็กซานเดรีย ฉันเข้านอนแต่หัวค่ำ เริ่มเปลี่ยนชุดนอน และฮัมเพลงเบาๆ เป็นเพลงที่กำลังฮิตอยู่ในนิวยอร์คตอนนั้น พอหยุดไปเพราะมัวคิดอะไรเพลินอยู่ ก็มีเสียงผู้หญิงในห้องติดๆกันร้องเพลงนั้นต่อ พอเธอหยุดฉันก็ร้องต่อบ้าง เลยสนุกกันใหญ่ ฉันควรจะทำความรู้จักกับเธอดีไหม? แต่มันออกจะเสี่ยงอยู่หน่อย หน้าตาของเธอเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ฉันผิวปากเพลงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ทางโน้นก็ร้องเพลงต่ออีก

"ฮา! ฮา! สนุกจังแฮะ! " ชาลีหัวเราะ
เสียงจากห้องติดกันดังออกมาว่า " คุณว่าอะไรนะ?"ฆ
เขากระซิบตอบไปทางรูกุญแจว่า "คุณคงจะมาจากนิวยอร์คสินะ"
"ว่าอะไรนะ... ไม่ได้ยิน" เธอว่า
"งั้นก็เปิดประตูซิ" เขาตอบ
"ฉันจะเปิดนิดๆ คุณอย่าเข้ามานะ"
"ผมให้สัญญา ไม่เข้าไปหรอก"


เธอแง้มประตูประมาณ 4 นิ้ว ก็พอจะเห็นว่าผู้หญิงผมสีบลอนด์กำลังมองชาลีอยู่ สำหรับเครื่องแต่งตัวของเธอนั้นมองดูเห็นไม่ชัด แต่รู้สึกว่าจะเป็นชุดนอนผ้าไหม


"อย่าเข้ามานะ... ฉันทุบเอาจริงๆด้วย!" เธอขู่ เผยให้เห็นฟันขาวอันสวยงามมีเสน่ห์


"สวัสดีครับ" เขากระซิบทักทายและแนะนำตัวเอง แต่เธอรู้อยู่แล้วว่าเขาเป็นใคร และรู้ด้วยว่าเขาอยู่ห้องถัดไปจากห้องของเธอ


ต่อมาในคืนนั้น เธอบอกเขาว่า ไม่ว่ากรณีใดๆทั้งสิ้น ห้ามไม่ให้เขาทักทายเธอในที่สาธารณะ หรือแม้แต่ก้มศรีษะให้ หรือพยักหน้าถ้าบังเอิญเดินสวนกันที่ห้องโถงหน้าโรงแรม


ก็เป็นอันว่า เขาได้รู้จักเธอเพียงเท่านั้นเอง


ภาพยนตร์เรื่องแรกของชาลี แชปปลิน คือ "ชีวิตของหมา" เนื้อเรื่องเป็นแบบประชดประชัน โดยเปรียบเทียบกันระหว่างชีวิตของหมากับชีวิตของคนจรจัด

หลังจากนั้นก้ได้สร้างภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง เขาเคยกล่าวว่า "ผมไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือหรอก เพื่อที่จะรู้ว่าแกนกลางของชีวิตก็คือความขัดแย้งและความเจ็บปวด"


ครั้นแล้วสงครามโลกครั้งแรกก็ระเบิดขึ้น ผู้คนทั่วไปเชื่อกันว่าคงจะไม่ยืดเยื้อเกินไปกว่า 4 เดือน เพราะการสงครามตามยุทธวิธีสมัยใหม่ คงจะทำให้ล้มตายกันมาก จนคนอยากจะให้มันยุติเสียในเร็ววัน


แต่ผิดถนัด การสู้รบและล้มตายได้ดำเนินไปอย่างทารุณ โหดเหี้ยม เป็นเวลานานถึง 4 ปี


หนังสือพิมพ์บางฉบับได้ตำหนิชาลี แชปปลิน ที่ไม่ได้ออกรบในสงคราม แต่ก็มีหนังสือพิมพ์หลายฉบับแก้แทนให้ว่าการแสดงตลกของเขาจำเป็นและมีประโยชน์ยิ่งกว่าการออกไปเป็นทหาร


อยู่มาไม่นาน สงครามก็ยุติลง หนังสือพิมพ์พาดหัวว่า "พระเจ้าไกเซอร์หนีไปฮอลแลนด์แล้ว!" และอีกฉบับหนึ่งลงพิมพ์ด้วยตัวหนังสือตัวโตเต็มหน้าแรกว่า "เซ็นต์สัญญาสงบศึกกันแล้ว!"


ผู้คนต่างดีอกดีใจ โผเข้ากอดจูบกันด้วยความชื่นมื่น..สันติภาพอันหอมหวานได้มาถึงแล้ว นี่คือความสุขอย่างไม่ต้องสงสัย... จะได้เลิกรบ และลงมือทำมาหากินกันเสียที


ที่มา : จาก ต่วย'ตูน ปักษ์แรก ฉบับเดือนธันวาคม 2540






Technorati :

วันอังคารที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2550

การกลับมาอีกครั้งของ ช่อกระเกด


การประกาศปิดตัวของ "ช่อการะเกด" เมื่อช่วงต้นปี 2542 ไม่เพียงส่งผลให้นักเขียนเรื่องสั้นของไทยต้องสูญเสียเวทีแสดงอ อก ที่ได้รับความสนใจ "สูงสุด" แห่งหนึ่งลงเท่านั้น...
หากยังอาจกล่าวได้ว่าแทบไม่มี "นักเขียนรุ่นใหม่" ที่มุ่งผลิตงานเชิงสร้างสรรค์ "เกิด" ขึ้นอีกเลย!!!
เ มื่อสมทบเข้ากับ "ความตกต่ำ" อย่างทั่วด้านของหนังสือวรรณกรรม ซึ่งสะท้อนผ่านยอดจำหน่ายที่ "ลดลง" อย่างฮวบฮาบในช่วงหลายปีหลัง...แม้ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าประสบ ภาวะวิกฤติไปเสียทั้งหมด แต่ในอนาคตข้างหน้าไม่ไกล ก็ใช่ว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น...
ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ชวนชี้ให้เกิดคำถามว่า "จะปล่อยให้เป็นไป" หรือ "จะช่วยกันเยียวยา"???
สภาพการณ์ดังกล่าวน่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นได้ หาก "ช่อการะเกด" ภายใต้การนำของ "สุชาติ สวัสดิ์ศรี" จะหวนกลับมาเปิดเวที "เรื่องสั้น" และ "ปลุกเร้า" บรรยากาศวงวรรณกรรมไทยอีกครั้ง...
บัดนี้ "สุชาติ สวัสดิ์ศรี" ได้กลับมารับบทบรรณาธิการนิตยสาร "ช่อการะเกด" อีกครั้งแล้ว!!!




30 ปี ช่อการะเกด "ผมกลับมาแล้วครับ"
หลังจาก "เว้นวรรค" ไป 9 ปี บัดนี้ นิตยสาร "ช่อการะเกด" กลับมาแล้วครับ!!!
เป็นนิตยสาร "ช่อการะเกด" ฉบับ "กลับมาใหม่" ในยุค "นาโน"
กลับมาพร้อมทีมงานผู้ก่อตั้งชุดเดิม คือ "สำนักช่างวรรณกรรม" ของ "บรรณาธิการเครางาม" สุชาติ สวัสดิ์ศรี
และทีมงานใหม่คือสำนักพิมพ์บูรพา-สามัญชน ภายใต้การนำของ "สองศิษย์เก่าช่อฯ"
เช็ค-สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ+เวียง-วชิระ บัวสนธ์
ในการนี้ นิตยสาร "ช่อการะเกด" ยุค "นาโน" จักได้จัดงานแถลงข่าว
เพื่อประกาศ "เปิดรับต้นฉบับ" ในวันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม 2550 ณ สถาบันปรีดี พนมยงค์ (ซอยทองหล่อ หรือสุขุมวิท 55)
ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป
จึงใคร่ขอเรียนเชิญเพื่อนพ้องน้องพี่สื่อมวลชน มาร่วมพบปะกับ "ช่อการะเกด" ยุค "นาโน"
และขอแจ้งข่าวดีไปยังมิตรน้ำหมึกทุกท่าน ว่าหากท่านมีต้นฉบับ "เรื่องสั้นที่ดีที่สุด"
บัดนี้ สามารถส่งมาพิจารณาเพื่อตีพิมพ์ในนิตยสาร "ช่อการะเกด" ฉบับ 42 ได้แล้วตั้งแต่บัดนี้...
ส่งต้นฉบับ "เรื่องสั้นที่ดีที่สุด" มายัง ตู้ ปณ.1143 ปท.ดอนเมือง กรุงเทพฯ 10211 เพื่อพิจารณานำลงตีพิมพ์ใน "ช่อการะเกด 42"


----งานแถลงข่าวการกลับมาของ "ช่อการะเกด"---------- โพสต์โดย : mataree
2007-05-24 13:43:13

ห ายไปนานกว่า 9 ปี หลังจากช่อการะเกด เล่มที่ 41 ต้องล้มพับไปเพราะพิษต้มยำกุ้ง วงการวรรณกรรมเงียบเหงา ปล่อยให้สำนักพิมพ์เรื่องวัยรุ่น หวานแหวว ครองตลาดแต่เพียงผู้เดียว ทั้งบางรายยังประกาศตนว่าเป็น "วรรณกรรม""ของคนรุ่นใหม่ กะเขาด้วย

ใ นที่สุด สุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็แพ้ต่อลูกตื้อ ยาวนานกว่า 3 ปี ของ "ดอนเวียง" วชิระ บัวสนธ์ กับ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ฅนค้นฅน ปลุกช่อการะเกดยุคที่สาม ออกสู้วงการวรรณกรรม โดยมียอดการันตีแก่ผู้อ่าน ว่า ช่อการะเกดยุคสาม จะออกรายสามเดือนอย่างสม่ำเสมอ ระยะเวลาต่อเนื่อง 3 ปี เป็นอย่างต่ำ ว้าววว...

แม้จะเคยประกาศวางมือทางวรรณกรรมไปด้วยอา การคล้ายๆ ถอดใจ ปน ประชดประชันวงการวรรณกรรม สุดท้าย สุชาติ สวัสดิ์ศรี ก็ต้องกลับมาทำนิตยสารสารช่อการะเกด โดยออกตัวถึงเรื่องราวในอดีตว่า
"ผมมาตรงนี้ก็เหมือนกับการที่ผมพูดในสิ่งที่ไม่เชื่อ เทศนาในสิ่งที่ตนไม่เชื่อ"

แ ต่ด้วยเหตุผลที่ไตร่ตรองอยู่นานสามปี ทั้งเชื่อมั่นใน อุดมการณ์บนเส้นทางวรรณกรรมของดอนเวียง และเชื่อมั่นใน ความมั่นคงทางธุรกิจ ของ เสี่ยเชค ช่อการะเกดจึงนับเป็นความร่วมมือ จาก 3 ฝ่าย พันธมิตร คือ สำนักช่างวรรณกรรม ผู้เป็นเจ้าของ เป็นผู้จัดทำ สำนักพิมพ์สามัญชน ผู้รับผิดชอบเรื่องการผลิต และพิมพ์บูรพา ผู้จัดการเรื่องธุรกิจ

สุชาติ กล่าวว่า
"ผมไม่ค่อยเต็มใจที่จะกลั บมาเท่าไหร่ เพราะผมเป็นห่วงสองคนนี้ (ดอนเวียง และ เสี่ยเช็ค) เพราะคนทำหนังสือวรรณกรรมบ้านเราอยู่ลำบาก นอกเสียจากว่าเป็นความผูกพันอะไรบางอย่าง รักที่จะทำตรงนี้"

ย้อนกลั บไปช่อการะเกดยุคแรก นับเป็นการกำเนิดขึ้น หลัง 6 ตุลาคม 2519 โดยมีแรงสนับสนุน จากคุณสุข สู.สว่าง เจ้าของ ดวงกมล ออกมาเพียง 4 เล่ม จากนั้นก็เข้าสู่ยุคที่สอง สมัยของ เรืองเดช จันทรคีรี ผู้ต้องต่อสู้ทุกวิถีทาง เพื่อปลุกปั้นช่อการะเกด ทว่า ก็ต้องพักไป หลังจากออกเล่มสุดท้าย เล่มที่ 41

เวลาผ่านไป 9 ปี หลังจากเลิกทำช่อการะเกดเล่มที่ 41 สุชาติ สวัสดิ์ศรี ยังคงทำงานในวงการวรรณกรรม ทั้งการบรรณาธิการหนังสือ ทำงานศิลปะ ทำหนังทดลอง (ที่กำลังสนุก) ในระยะเวลาดังกล่าว ทั้งวชิระ บัวสนธ์ และ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ ก็ติดตามเป็นกำลังใจให้เสมอ รวมทั้งช่วยเหลือกิจกรรมต่างๆ เช่น ช่วยพิมพ์การ์ด และโปสเตอร์โฆษณางานแสดงศิลปะให้

แต่มิใช่ว่า แค่การตามให้กำลังใจต่อเนื่องจะทำให้บรรณาธิการอย่างคุณสุชาติใจอ่อน ทว่า พื้นหลังของทั้ง วิชระ บัวสนธ์ และ สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ เคยเป็น "แฟน" ช่อการะเกดอย่างเหนียวแน่น อีกทั้งมีผลงานลงในช่อการะเกดด้วย วชิระ บัวสนธ์ เป็นชื่อที่คุณสุชาติ รู้จักตั้งแต่สมัยเขายังเรียนชั้นมัธยม 5 ที่พิษณุโลก และมีวิถีการเติบโตในวงการหนังสือ ก็มาจากการทำงานวรรณกรรมล้วนๆ ปรากฏผลงานต่อเนื่องน่าเชื่อถือ ในนามสำนักพิมพ์สามัญชน คุณสุชาติบอกว่า "พิสูจน์หัวใจให้ผมเห็นว่า เป็นคนเชื่อมั่นในอำนาจวรรณกรรมคนหนึ่ง" ส่วนสุทธิพงษ์ นั้น คุณสุชาติเห็นมาตั้งแต่สมัยเป็นผู้ช่วยผู้กำกับในทีมงานของคณะละครสองแปด รวมทั้งเป็นนักแสดงละครเวทีด้วย และเคยมีเรื่องสั้นลงในช่อการะเกด ได้รับการ "ประดับช่อ" มาแล้ว ก่อนจะก้าวเข้ามาในพรมแดนของสื่อ ที่เติบโตมาจากการผสมผสานระหว่างคนละคร กับคนวรรณกรรม

หลังจาก "ดูใจ" กันมานาน คุณสุชาติก็ยื่นเงื่อนไขว่า หากจะทำก็ต้องออกต่อเนื่องรายสามเดือน สามปี ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ทุกคนตกลง

สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ เล่าถึงแนวคิดที่มาของการทำช่อการะเกดอีกครั้ง
" ผมกับเวียง ทำนิตยสาร ฅ ฅน ในนั้นมีส่วนเรื่องสั้น ซึ่งปรากฏว่า มีเรื่องส้นส่งเข้ามาเยอะมาก เวียงเขาเป็นคนอ่าน และเขาก็บอกว่าดี แต่ว่า มันลงได้แค่เดือนละ 1 เรื่องเท่านั้น แต่ก่อนหน้านั้น ผมก็เคยไปคุยๆ กับคุณสุชาติมาแล้ว พอมีความคิดเรื่องการทำหนังสือเรื่องสั้น ผมก็เห็นด้วย แต่คนทำต้องเป็นเวียง และในความมีสถานะมีคุณค่าของเรื่องสั้น ผมคิดถึงความรู้สึกของตัวเองในฐานะคนที่เขียนหนังสือ พอเราได้ผ่านเกิด ได้ประดับช่อ มันมีความหมายกับผมมาก เป็นประตูบานหนึ่ง เป็นแสงไฟ ที่ทำให้ผมพบความรักของตัวเอง มีความเชื่อมั่นอะไรบางอย่าง "

ส่วนพี ่เวียง บอกว่า เขาไม่ได้คิดอะไรซับซ้อน กระทั่งว่า ไม่ได้คิดว่า จะขายใคร จะทำอย่างไร แต่เขามองว่า "ผมคิดว่า การมีช่อการะเกด มันสะท้อนให้เห็นว่า ประเทศนี้ ท่ามกลางอะไรที่มันอย่างนี้ ก็ยังมีดี ยังมีนิตยสารเรื่องสั้นชื่อ ช่อการะเกด การมีอยู่หรือไม่มีอยู่ของช่อการะเกด การมีอยู่มันต้องดีกว่า"

นิตยส าร ช่อการะเกด เล่มที่ 42 จะออกในเดือนกันยายน โดยเนื้อหาจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเรื่องสั้น 12-15 เรื่อง อีกส่วน 20 เปอร์เซ็นต์ จะเป็นเนื้อหาช่อการะเกดฉบับโลกหนังสือ ข่าวคราววรรณกรรมระดับนานาชาติ ความเคลื่อนไหว บทความวรรณกรรมลักษณะที่ลงลึก บทความวิจารณ์

ช่อกา ระเกด เปิดรับต้นฉบับเรื่องสั้นตั้งแต่วันนี้ จนถึงวันที่ 15 สิงหาคม 2550 ส่งเรื่องสั้นของคุณไปที่ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ตู้ ปณ.1143 ดอนเมือง กรุงเทพฯ 10211 (ส่งทางไปรษณีย์เท่านั้น โดย พิมพ์เป็นต้นฉบับแล้ว หากสามารถทำได้ก็ให้แนบไฟล์งานมาด้วย เพื่อความสะดวก )
หวังว่าคนได้รับการต้อนรับจากนักอ่าน
ตอนนี้ก็มีเวทีเรื่องสั้น ทั้งราหูอมจันทร์ และช่อการะเกด แล้วนะคะ


ที่มา:
http://www.thaiwriternetwork.com/twncolumnread.php?id=168


วันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2550

คลิปวิดีโอการพบกับนักเขียนในดวงใจ "วิทยากร เชียงกูล" ฝันที่เป็นจริงของแฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์


สำหรับนักอ่านที่ติดตามผลงานเขียนของนักเขียนในดวงใจอย่างต่อเนื่อง มาเป็นเวลากว่า 10 ปี ย่อมถือว่า ไม่ธรรมดาเลย ยิ่งเป็นผลงานของนักคิดนักเขียนอย่าง "วิทยากร เชียงกูล" ผู้ที่เขียนผลงานในแนวทางที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ยิ่งถือว่าไม่ธรรมดา






ผลงานเขียนของวิทยากร เชียงกูลนั้น มีกลุ่มผู้อ่านที่ติดตามอย่างเหนียวแน่นอยู่ส่วนหนึ่ง รวมทั้งแฟนพันธุ์แท้คนนี้ จากบุรีรัมย์ด้วย



เมื่อ 27 พ.ค.2550 คุณนิด แฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ได้เดินทางมาพบกับวิทยากร เชียงกูล ตัวจริง เสียงจริงที่ โฮมโปร ปากเกร็ด กับการที่ได้พบนักเขียนในดวงใจที่ถือว่า เหมือนฝันที่เป็นจริง นี่คือ คลิปวิดีโอในการพบปะกันครั้งนี้ครับ











ลองคลิกฟังเสียงดูนะครับ เสียงอาจจะเบาไปบ้าง..


ต้องถือว่า เป็นความตั้งใจอย่างแรงกล้า สำหรับสาวน้อยคนนี้ที่เดินทางจากบุรีรัมย์ เพื่อมาพบกับ อาจารย์วิทยากร เชียงกูล สุดยอดนักเขียนในดวงใจของเธอ และเธอยิ่งปลื้มใจอย่างมาก เมื่อ อ.วิทยากร เชียงกูล ยินดีให้เธอพบ ซึ่งก่อนที่เธอจะได้พบนั้น เธอตื่นเต้นยินดีอย่างมาก


จะมีสักกี่คนที่ติดตามผลงานของสุดยอดนักเขียนในดวงใจมากว่า 10 ปี แล้วมีโอกาสได้มาพูดคุยกับตัวจริง มีโอกาสที่จะบอกว่า เธอชอบวิทยากร เชียงกูลตรงไหน ได้มองหน้า แววตา พูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด ประสบการณ์ มุมมอง ได้พูดคุยในแบบคนที่รักการอ่านหนังสือให้นักเขียนได้รับฟัง

ฝ่าย อ.วิทยากร เชียงกูล กล่าวว่า ที่มาพบกับแฟนพันธุ์แท้คนนี้ เพราะต้องการเปิดมุมมอง ขยายฐานความรู้ ความคิดเห็นใหม่ๆ พร้อมกับมอบหนังสือที่เป็นผลงานเขียนของท่านพร้อมลายเซ็นต์ให้ 2 เล่มกับมือ ให้แฟนพันธุ์แท้ได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดกว่า 90 นาที เต็มอิ่ม ซึ่งเธอมัวแต่ตื่นเต้นที่ได้พบกับสุดยอดนักเขียนในดวงใจ เลยยังคุยได้ไม่เต็มที่ ในสิ่งที่อยากจะคุยด้วย ซึ่งโอกาสต่อไปที่จะได้พบกับ อ.วิทยากร เชียงกูล เธอจะพูดคุย แลกเปลี่ยนทัศนะอย่างเต็มอิ่ม

นอกจากนั้น ยังได้ตามรอยของวิทยากร เชียงกูล ไปเยือนสวนประวัติศาสตร์ที่ ม.ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์อีกด้วย












ซึ่งการที่คุณนิด แฟนพันธุ์แท้ที่เดินทางมาจากบุรีรัมย์ ได้มีโอกาสได้พบกับสุดยอดนักเขียนในดวงใจในครั้งนี้ เนื่องจากการติดต่อประสานงานของ คุณสุขพงศ์ คหวงศ์อนันตจากสำนักพิมพ์วิญญูชนในการติดต่อทั้งทางอีเมล์ และโทรศัพท์ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ดังที่ได้บันทึกเรื่องราวไว้ดังนี้


+เมื่อถึงเวลาที่แฟนพันธุ์แท้วิทยากร เชียงกูล จะได้พบนักเขียนในดวงใจ (10 พ.ค.2550)
+การติดตามถามไถ่ ส่งข่าวสารของคนทำหนังสือให้ อ.วิทยากร เชียงกูล ต่อแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์ (20 เม.ย.2550)
+เมื่อแฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ ไปพบวิทยากร เชียงกูรไม่ได้ในเดือน เม.ย.2550 นี้(18 เม.ย.2550)
+.น้ำใจของการช่วยเหลือของคนขายหนังสือ หัวใจของการแบ่งปัน เชื่อมโยงความฝันที่เป็นจริงของแฟนพันธุ์แท้กับนักเขียนในดวงใจ (9 เม.ย.2550)
+
ฝันที่เป็นจริงของแฟนพันธุ์แท้ของวิทยากร เชียงกูล (9 เม.ย.2550)


+เมื่อแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์อยากเจอวิทยากร เชียงกูล จริงๆ (8 เม.ย.2550) +


+ตามรอยวิทยากร เชียงกูล กับแฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ : มหัศจรรย์ของโอกาสและกาลเวลา(5 เม.ย.2550)


+ + นั่นคือ น้ำใจไมตรีที่ได้รับอย่างเกินความคาดหมายจากคุณสุขพงศ์ ซึ่งคุณนิด อยากที่จะมีโอกาสได้พบกับคุณสุขพงศ์สักครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน....

ในราวๆเดือน กรกฏาคม 2550 นี้ คุณนิดอาจจะเข้าไปทำภาระกิจใน กทม.อีกครั้ง และถ้าเป็นไปได้ อยากที่จะหาโอกาสพบกับคุณสุขพงศ์ และ อ.วิทยากร อีกครั้งหนึ่ง สำหรับแฟนพันธ์แท้ที่ติดตามและชื่นชอบผลงานของวิทยากร เชียงกูล สามารถที่จะติดต่อพูดคุย แลกเปลี่ยนทัศนะ กับคุณนิด สำหรับท่านที่รักและชื่นชอบในผลงานของวิทยากร เชียงกูล ได้ตลอดเวลาครับที่ อีเมลติดต่อ

หรือถ้าเป็นคนคอเดียวกัน เป็นแฟนพันธุ์แท้เหมือนกันกับคุณนิด ก็ไปพบปะพูดคุยกับนักเขียนในดวงใจด้วยกันเลย..


คงไม่บ่อยครั้งนักนะครับ ที่จะมีภาพถ่าย และคลิปวิดีโอบันทึกเหตุการณ์ได้พบกับนักเขียนในดวงใจ ในแบบนี้ครับ







ทุกนาทีที่ผ่านไป หนูนิดนั่งคุยกับนักเขียนในดวงใจ "วิทยากร เชียงกุล" อย่างเต็มที่ซึ่ง อ.วิทยากร ได้สนทนาแลกเปลี่ยนกับหนูนิด อย่างออกรสชาติและเป็น กันเอง



รอยยิ้มและอิริยาบทที่ดูสบายๆเช่นนี้ของ อ.วิทยากร เชียงกูล หาชมได้ยากนะครับเพราะมักจะเห็นภาพของ อ.วิทยากร ในอิริยาบทที่เคร่งขรึม ซึ่งภาพนี้ต้อง ใช้ความไวในการจับภาพ ณ เวลานั้น หากได้มีโอกาสได้นั่งฟังการสนทนาของ แฟนพันธุ์แท้กับนักเขียนในดวงใจในช่วงเวลานั้น จะได้สัมผัสกับการพูดคุยที่ กันเองและออกรสชาติอย่างถึงใจ จนสีหน้าของ อ.วิทยากร ปรากฏรอยยิ้มอย่างที่เห็น...










อ.วิทยากร เชียงกูล ทั้งใจดี และคุยอย่างกันเองมากๆ จนทำให้หนูนิด แฟนพันธุ์แท้ คลายความเขิน พูดคุยได้อย่างที่ใจอยากจะคุย







Technorati : , , , ,

วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

เมื่อถึงเวลาที่แฟนพันธุ์แท้วิทยากร เชียงกูล จะได้พบนักเขียนในดวงใจ

หลังจากที่ติดต่อกับ อ.วิทยากร เชียงกูลได้ตั้งแต่เดือน เม.ย. 2550 แล้ว แต่ติดขัดกับอุปสรรคบางประการ ทำให่แฟนพันธุ์แท้ต้องเลื่อนนัดมาพบนักเขียนในดวงใจในเดือน พ.ค. นี้

ซึ่ง คุณสุขพงศ์ ที่เป็นผู้ติดต่อประสานงานให้ ได้นัดหมายให้เธอไปพบ อ.วิทยากร ในช่วง 25-27 พ.ค.
แฟนพันธุ์แท้ตัดสินใจจะไปพบ อ.วิทยากร ในช่วงบ่ายวันอาทิตย์ที่ 27 พ.ค.

อ.วิทยากร ท่านมีนัดมาอัดรายการทีวี ที่สำนักพิมพ์ผู้จัดการ ... สถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV ที่ ถ.
.พระอาทิตย์ แขวงชนะสงคราม ในเวลา 16.00 น.

คนรู้ใจของแฟนพันธุ์แท้ที่จะติดสอยห้อยตามไปด้วย เสนอว่า นัด อ.วิทยากรในช่วงบ่ายๆ แล้วตอน 4 โมงเย็น ก็เข้าไปรับฟังการถ่ายทำรายการที่สถานี ASTV ด้วยเลย

ซึ่งรายการในช่วงสี่โมงเย็น - 6 โมงเย็น น่าจะเป็นรายการ เสาร์รังสิต อาทิตย์ รังสรรค์ ซึ่งเป็นรายการสนทนาเชิงวิเคราะห์ปัญหาสังคม และการเมือง ของมหาวิทยาลัยรังสิต ที่ออกอากาศทาง ASTV ช่อง News 1

อ.วิทยากร มีผลงานเขียนที่ให้แง่คิด ซึ่งแฟนพันธุ์แท้ประทับใจในแง่มุมทางความคิดของท่านแล้ว
นอกจากจะมีโอกาสได้พบตัวจริงของนักเขียนในดวงใจแล้ว
การได้สัมผัสกับแนวคิดแบบสดๆ ที่ถูกผู้ดำเนินรายการซักถาม ท่าน อ.วิทยากร และออกอากาศไปทั่วโลกด้วย
ยิ่งจะทำให้ได้สัมผัสแง่มุม ความคิด ไหวพริบ มุมมองแบบสดๆร้อนๆที่ปรากฏ ณ เวลานั้นทันที

ถือว่า เหมือนได้อ่านหนังสือเล่มใหม่ ที่เป็นปัจจุบันของ อ.วิทยากร เชียงกูล ณ เวลานั้นๆ

คุ้มเกินคุ้ม

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2550

การติดตามถามไถ่ ส่งข่าวสารของคนทำหนังสือให้ อ.วิทยากร เชียงกูล ต่อแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์

ในแวดวงของคนรักหนังสือ มีมิตรภาพ และน้ำใจที่ดีงามเกิดขึ้นเสมอ

เมื่อแฟนพันธ์แท้ของ อ.วิทยากร เชียงกูล แห่งบุรีรัมย์ เกิดอาการป่วยในช่วงเวลานี้ ซึ่งในช่วงก่อนสงกรานต์ ได้ติดต่อกับคุณสุขพงศ์ เรื่องการนัดพบ กับ อ.วิทยากร เชียงกูล ซึ่งในช่วงนั้น แฟนพันธุ์แท้ได้แจ้งกลับไปว่า น่าจะได้เดินทางเข้าไปพบ อ.วิทยากร เชียงกูล นักเขียนในดวงในของเธอ ใน กทม. ช่วง 21-22 เม.ย. 2550 นี้

เทศกาลสงกรานต์ผ่านไป คุณสุขพงศ์ ได้ติดต่อประสานงาน นัดหมายกับ อ.วิทยากร เชียงกูลให้แฟนพันธุ์แท้ตามที่เธอปรารถนา และได้ส่งข้อความแจ้งให้ทราบทางอีเมล์ของเธอ

แต่เนื่องจากเธอป่วย จึงไม่ได้เปิด internet

เมื่อคุณสุขพงศ์ เห็นเธอเงียบไป จึงโทรไปแจ้งให้ทราบอีกครั้ง จึงทราบว่า เธอไม่สบาย
เมื่อได้แจ้งกำหนดการและรายละเอียดให้ทราบแล้ว
ในช่วง เม.ย.50 นี้ เธอแจ้งว่า คงไม่สามารถเดินทางเข้า กทม.ในช่วงนี้ได้เลย

คุณสุขพงศ์จึงแสดงความเสียใจ โดยแจ้งว่า ช่วงปลาย เม.ย. 50 มีโอกาสที่จะได้พบ อ.วิทยากร เชียงกูลได้ตลอด แต่ถ้าเลยช่วงเวลานี้ไปแล้ว คงจะต้องคอยติดตามดูอีกทีว่า อาจารย์จะว่างช่วงไหน

เป็นน้ำใจที่น่าประทับใจเหลือเกิน ในการช่วยติดต่อนัดหมาย และติดตามแจ้งข่าวให้แฟนพันธ์แท้แห่งบุรีรัมย์ทราบอย่างต่อเนื่อง


เป็นน้ำใจ และมิตรภาพของคนในแวดวงวรรณกรรมที่มีมากล้น สำหรับคนคอเดียวกันครับ

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2550

เมื่อแฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ ไปพบวิทยากร เชียงกูรไม่ได้ในเดือน เม.ย.2550 นี้

เป็นความตั้งใจของแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์ ที่อยากจะไปพบตัวจริง เสียงจริงของนักเขียนในดวงใจของเธอ
”วิทยากร เชียงกูร”
สักครั้งหนึ่งในชีวิต

ตั้งใจ เตรียมใจ ที่จะไปพบให้ได้
ติดต่อกับคณสุขพงศ์ คนที่ทำหนังสือให้กับ อ.วิทยากร ซึ่งเป็นผู้ติดต่อประสาน นัดหมายเพื่อให้เธอได้พบกับ อ.วิทยากร

ตั้งใจว่า ปลายเดือน เม.ย.50 นี้ น่าจะได้ไปพบกับ อ.วิทยากร ใน กทม
แต่เมื่อ สงกรานต์ผ่านไป ปรากฏว่า เธอไม่สบายเสียแล้ว

ทำให้ไม่สามารถที่จะเดินทางไปพบ อ.วิทยากร ในช่วงปลายเดือน เม.ย.50 นี้ได้
คงได้ไปพบ อ.วิทยากร ในช่วงเดือน พ.ค.50 นี้แน่นอน
ถึงจะช้าไปนิด แต่เธอรอได้เสมอ

วันจันทร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2550

น้ำใจของการช่วยเหลือของคนขายหนังสือ หัวใจของการแบ่งปัน เชื่อมโยงความฝันที่เป็นจริงของแฟนพันธุ์แท้กับนักเขียนในดวงใจ

เจ้าของร้านหนังสือบางแห่ง ตั้งความหวังต่อลูกค้าเพียงการควักเงินออกมาซื้อหนังสือที่วางขายบนแผง
หน้าที่ของเขาคือ การรอเก็บเงินค่าหนังสือ...เท่านั้น


แต่ยังมีคนขายหนังสือหลายคน มีความสุขในการแนะนำหนังสือที่วางขาย
ไม่เคยเหน็ดเหนื่อยในการพูดจาบอกเล่าถึงหนังสือที่ลูกค้าสนใจ ด้วยอยากให้ผู้อ่านได้หนังสือที่ดีๆกลับไปอ่าน


แม้ลูกค้าลังเลเดินจากไป ไม่ซื้อสักเล่ม ก็ยังคงมีรอยยิ้มจากคนขายหนังสือก่อนจากลาในวันนั้น


นักอ่านหนังสือคนหนึ่งติดตามผลงานของวิทยากร เชียงกูลในแบบแฟนพันธุ์แท้


นอกจากการได้ผลงานหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดของนักเขียนในดวงใจแล้ว การมีโอกาสได้พบนักเขียนในดวงใจตัวจริง คือความฝันอันสูงสุด

ในรถเข็น...ว่าง
บัญชี | ตะกร้า




คุณสุขพงศ์ แห่งสำนักพิมพ์วิญญูชน ซึ่งเฝ้าติดตามความสนใจของแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์ รีบติดต่อประสานงานให้เธอตามความฝันทันที





นัดหมาย อ.วิทยากร เชียงกูล ให้เธอได้พบจริงๆ


น้ำใจของการช่วยเหลือของคนขายหนังสือโดยการยกหูโทรศัพท์ติดต่อให้ แม้จะดูเป็นการออกแรงเพียงเล็กน้อยในเวลาไม่กี่นาที



แต่น้ำใจเล็กๆนี้ กลับยิ่งใหญ่ในหัวใจของแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์
หากคุณสุขพงศ์ ไม่ช่วยเหลือ ไม่สนใจ ก็ไม่มีใครว่า


แต่แฟนพันธุ์แท้เอง ยังนึกไม่ออกว่า หากไร้การช่วยเหลือครั้งนี้แล้ว
ในช่วงชีวิตนี้จะมีโอกาสได้พบปะกับนักเขียนในดวงใจได้อย่างไร




คำขอบคุณที่เธอเอ่ยออกมาผ่านโทรศัพท์ต่อคุณสุขพงศ์ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ดูเหมือนจะยังน้อยเกินไป ต่อน้ำใจของเขาในการช่วยเหลือในครั้งนี้


คนขายหนังสือกับนักเขียนในดวงใจ ย่อมโทรศัพท์ติดต่อกันจนคุ้นชิน
แต่ความคุ้นชินนี้ ที่แฟนพันธุ์แท้ได้รับ คือความทรงจำที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง ในชีวิตของเธอ


การช่วยทำความฝันของใครสักคนให้เป็นจริงขึ้นมา
ผลพวงแห่งความสุขที่บังเกิดขึ้น ย่อมสะท้อนกลับไปยังคนขายหนังสือ อย่างคาดไม่ถึง....


To be continue….


//// บทความน่าอ่าน ////

60 ปี วิทยากร เชียงกูล

ฝันที่เป็นจริงของแฟนพันธุ์แท้ของวิทยากร เชียงกูล

หลังจากเขียนบันทึกจากใจไปไม่นาน
คุณสุขพงศ์ ได้ช่วยติดต่อประสานกับ อ.วิทยากร เชียงกูล ให้แฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ ได้สมหวัง

และวันนี้ คุณสุขพงศ์ได้เมล์ไปแจ้งให้เธอทราบทั้งอีเมล์และเบอร์โทรติดต่อ
ทั้งเบอร์ของคุณสุขพงศ์เองและเบอร์ของ อ.วิทยากร เชียงกูล



ทำให้แฟนพันธุ์แท้รีบโทรหาคนจุดตะเกียง
ด้วยความตื่นเต้น ดีใจ อย่างเกินคาด

เมื่อสิ่งที่เป็นความฝัน กำลังจะกลายเป็นจริง

”จะทำยังไง จะพูดยังไง จะบอกยังไง”


ขนาดยังไม่เจอตัวจริง ยังทำตัวไม่ถูก
คนจุดตะเกียง จึงบอกให้ติดต่อกลับไปยังคุณสุขพงศ์ เสียก่อน ว่าจะไปพบวันไหน

สาระและความคิดผ่านตัวอักษรจากมันสมองของ อ.วิทยากร เชียงกูล ที่แฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์ได้ซึมซาบมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้หล่อหลอมวิธีคิด มุมมองต่อโลกของเธอหลายอย่าง

และนี่จะเป็นโอกาสสำคัญ ที่ทำให้แฟนพันธุ์แท้ได้พบต้นแบบทางความคิด ตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่มีอิทธิพลต่อมุมมองการมองโลกของตัวเธอ

คนจุดตะเกียงก็จะตามไปสัมผัสบรรยากาศในวันที่ฝันเป็นจริงของแฟนพันธุ์แท้ท่านนี้ด้วย

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2550

ปาฏิหาริย์ ของคนเล็กๆ

....คนเล็กๆ ชวนให้คิดถึงหนังสือ ปาฏิหาริย์ของการตื่นอยู่เสมอ ของอริยสงฆ์ชาวเวียดนามผู้นั้น ท่าน ติช นัท ฮันท์

จำอะไรเกี่ยวกับหนังสือนั้นไม่ได้มากนัก เว้ยแต่เพียง การที่ท่าน ติช นัท ฮันท์ ได้ชี้ให้เห็นว่า มีปาฏิหาริยิ์ย์มากมายเพียงใดในชีวิตสามัญ




กระทั่งการก้าวเดินของมนุษย์ก็เป็นปาฏิหาริย์

คนทั่วไปอาจไม่คิดเช่นนั้น แต่เพราะเคยอยู่กับคุณยายอายุร่วมร้อยปี จึงพอจะเห็นว่า สิ่งที่ทึกทักเอาง่ายๆว่า ไม่มีความหมาย เพราะทำกันได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรอย่างการเดินนั้น ที่แท้วิเศษเพียงไร ทุกก้าวที่คุณยายเดินในบ้าน เป็นไปด้วยความยากลำบาก เพราะกาลเวลาได้ช่วงชิงความคล่องแคล่วในการขยับเคลื่อนส่วนต่างๆของร่างกายไปนานแล้ว

หากยังมีชีวิตอยู่จนแก่เฒ่า วันหนึ่งก้าวเดินของทุกคนก็จะเป็นเช่นเดียวกับทุกก้าวของคุณยาย บางทีวัยในปัจจุบันและความแข็งแรงของร่างกายอาจทำให้หลงลืมไปว่า ที่แท้ทุกก้าวของมนุษย์นั้นเป็นปาฏิหาริย์อย่างไร….”


จาก คนเล็กๆ โดย ขวัญใจ เอมใจ. กรุงเทพฯ : สารคดี 2544

เมื่อแฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์อยากเจอวิทยากร เชียงกูล จริงๆ

เขียนไว้ในบัันทึก ตามรอยวิทยากร เชียงกูล กับแฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์...
เธอมาอ่าน แล้วโทรมาถาม จะพาไปเจอจริงๆหรือ

อ้าว! ถ้าทำให้จริงๆไม่ได้ จะเขียนหรือ
เป็นคนจริง พูดจริง ทำจริง


หลายคนที่ได้เจอนักเขียนในดวงใจแล้ว ตะลึง ทำตัวไม่ถูก เขิน พูดไม่ออก ....
ก็ช่างเค้า

อยากพลาดโอกาสที่ดีๆในชีวิต

โอกาสเข้าไปพูดคุย, ถ่ายรูปคู่, ขอลายเซ็นต์, สัมผัสมือ, ทำความรู้จักเป็นการส่วนตัว, แลกเปลี่ยนทัศนะ ฯลฯ

หรืออยากจะเอาแต่ยืนจ้องตาแป๋ว + ยิ้มเฉยๆ ก็ตามใจ
หากว่า จะพอใจ เพียงแค่นั้น

วันพฤหัสบดีที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2550

ตามรอยวิทยากร เชียงกูล กับแฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ : มหัศจรรย์ของโอกาสและกาลเวลา

มีนักคิด นักเขียนของไทยหลายท่าน ที่ผู้อ่านประทับใจ และติดตามผลงานอย่างต่อเนื่องในแบบแฟนพันธุ์แท้ เรียกว่า มีผลงานเล่มใหม่ของนักเขียนในดวงใจออกวางขายเมื่อไหร่ ก็ไม่พลาดที่จะหามาไว้ในครอบครอง

วิทยากร เชียงกูล เป็นหนึ่งนักเขียนที่มีแฟนพันธุ์แท้ติดตามผลงานอยู่เป็นจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
แต่จะเป็นกลุ่มนักอ่านที่อาจจะมีการแสดงตัวน้อยกว่า กลุ่มอื่นๆ อาจเป็นเพราะเนื้อหางานเขียนของวิทยากร เชียงกูล มีสาระที่เข้มข้นไปด้วยสาระและข้อคิดมากมาย




ในขณะที่คนส่วนใหญ่ ชอบอ่านหนังสือในแนวบันเทิง สบายๆ

แฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ ซึ่งเล่น internet ในระดับชำนาญ ค้นหาข้อมูล ท่องเวบไซต์ต่างๆ จนเริ่มเขียน blog เป็นของตัวเอง และมีโอกาสได้รู้จักกับผู้คนจาก internet มากมาย

และวันหนึ่ง เธอบอกว่า เธอชอบอ่านหนังสือของวิทยากร เชียงกูล พร้อมกับกล่าวถึงหนังสือหลายเล่มของวิทยากรที่เธอประทับใจ จนกระทั่งนำมาสู่การเขียนบันทึกใน blog ของเธอ

เมื่อคนจุดตะเกียงมีโอกาสได้พบเธอในห้องสมุดมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ค้นหาหนังสือของวิทยากร เชียงกูล พอเห็นปก เล่มนั้น เธอก็บอกว่า มีแล้ว เนื้อหาเป็นอย่างไร น่าอ่านอย่างไร....

เมื่อลองค้นหาเล่มเก่าๆ เมื่อไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งของวิทยากร เชียงกูล เธอยังไม่มี แต่สีหน้าท่าทางของเธอ ดีใจสุดๆ เหมือนดั่งค้นพบบ่อน้ำมันเลยทีเดียว รีบหยิบไปถ่ายเอกสาร เก็บไว้เป็นสมบัติส่วนตัวทันที

เมื่อมีโอกาสได้เข้า กทม. คนจุดตะเกียงชวนเธอไปยัง หอสมุดแห่งชาติ ค้นหาหนังสือของวิทยากร เชียงกูลที่มีทั้งหมดในหอสมุดแห่งชาติ เพียงเห็นรายชื่อที่แสดงผลการค้นออกมา เธอสามารถบอกได้ทันที เล่มไหนมีแล้ว หน้าปกเป็นอย่างไร เล่มที่เธอมี เป็นเล่มที่พิมพ์ครั้งที่เท่าไหร่.... เมื่อไล่ๆดูชื่อเอกสารจากการค้นไปเรื่อยๆ พบหลายเล่มที่เธอยังไม่มี ก็แสดงอาการดีใจ รีบจดเลขหมู่ เพื่อไปค้นหนังสือเล่มนั้นมาดู เพื่อที่จะถ่ายเอกสาร ครอบครองเป็นเจ้าของ

ด้วยเวลาที่มีจำกัด ทำให้เธอค้นหนังสือบนชั้นได้บางเล่ม แต่จากเล่มที่พบ ก็ทำให้เธอตื่นเต้น พลิกดูหน้าปก ลูบคลำอย่างดีใจ.....

..ถ้ามีเวลามากพอ คงจะนั่งอ่านจนจบทุกเล่มที่เธอยังไม่ได้อ่าน......


ด้วยความที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ เปิดเผยตัวเองว่า ชอบหนังสือของวิทยากร เชียงกูล จนนำมาเขียนใน blog ของตัวเอง จนทำให้พบกับคุณสุขพงศ์ คหวงศ์อนันต์ ที่เข้ามาติดต่อผ่านทาง blog ของเธอและสื่อสารทางอีเมล์ ซึ่งเขาเป็นคนที่ทำหนังสือให้กับ อ.วิทยากร เชียงกูล พร้อมกับส่งปกหนังสือเล่มใหม่ของ อ.วิทยากร มาให้เธอดูด้วย

ทำเอาเธอปลาบปลื้มใจไปหลายวัน ที่มีโอกาสได้รู้จักกับคนทำหนังสือให้ อ.วิทยากร เชียงกูลอย่างมหัศจรรย์
เธอจึงติดต่อสื่อสารผ่านทางเมล์ ตามที่หัวใจอยากจะเขียน ด้วยความยินดีปรีดาในแบบสุดๆ





คุณสุขพงศ์ เป็นคนทำหนังสือ เป็นบรรณาธิการ ในสำนักพิมพ์วิญญูชน ที่จัดพิมพ์หนังสือของ อ.วิทยากร เชียงกูล , อ,ธีรยุทธ์ บุญมี เขาเคยเข้ามาเขียนความเห็นใน blog คนจุดตะเกียงแห่งนี้ และชวนให้ลองเขียนหนังสือเพื่อการตีพิมพ์กับสำนักพิมพ์อีกด้วย...

ช่วงงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ปี 2550 คนจุดตะเกียงได้ร่วมเดินทางไปกับแฟนพันธุ์แท้ของวิทยากร เชียงกูล ไปที่งานสัปดาห์หนังสือในครั้งนี้ด้วย ซึ่งเธอตั้งใจที่จะเป็นเจ้าของหนังสือเล่มใหม่ของ อ.วิทยากร เชียงกูลอีกด้วย



เมื่อเดินทางถึงบริเวณศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ สถานที่จัดงานแล้ว หลังจากรับแผ่นพับที่ให้รายละเอียดที่ตั้งบูธและสำนักพิมพ์ต่างๆ เธอก็ใช้เวลานั่งดูและติ๊กเลือกบูธที่ตั้งใจจะไปเยี่ยม นับตั้งแต่ สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน, สามัญชน, 113 (วินทร์ เลียววาริน) , วิญญูชน..

หลังจากเธอเดินไปตามบูธต่างๆ จนขึ้นไปที่โซน C2 เรื่อยๆไปจนพบบูธ R60 ของสำนักพิมพ์วิญญูชน เธอก็ได้พบกับหนังสือเล่มใหม่ของวิทยากร เชียงกูลที่เธออยากได้ และถือโอกาสเข้าไปสอบถามคนขายคนหนึ่ง นั่นคือ ถามหาคุณสุขพงศ์นั่นเอง....

คนขายสาวคนนั้น ร้องอ๋อ คุณสุขพงศ์ หรือ คุณต้อมเคยพูดให้ฟังแล้ว ว่า มีแฟนพันธุ์แท้ของวิทยากรเชียงกูล จะแวะมาที่บูธด้วย ให้ดูแลด้วย ไม่นึกว่าจะเจอแฟนพันธุ์แท้ที่ชื่นชอบผลงานมากถึงเพียงนี้





และแล้ว ทั้งสองสาวก็คุยกันนานพอสมควร กลายเป็นคนคุ้นเคยในเวลาอันรวดเร็ว...

ในวันถัดมา แฟนพันธุ์แท้แวะมาที่งานสัปดาห์หนังสืออีกครั้ง และเดินผ่านบูธสำนักพิมพ์วิญญูชนอีกครั้ง สาวประจำบูธคนนั้นมองเห็นก็จำได้ ร้องทักทายทันที.. กลายเป็นคนรู้จักไปเสียแล้ว...

คาดว่า คงเป็นเรื่องที่นำไปพูดคุยกันจนรู้เกือบทั้งสำนักพิมพ์แล้วกระมัง :)))

แม้ว่า แฟนพันธุ์แท้จากบุรีรัมย์ จะยังไม่ได้มีโอกาสพบกับคุณต้อม สุขพงศ์ แต่ ณ เวลานี้ก็ได้รับสิ่งที่ดีๆเกินความคาดหมายหลายอย่างแล้วทีเดียว

แฟนพันธุ์แท้แห่งบุรีรัมย์ จัดว่า เป็นนักอ่านหนังสือตัวยงทีเดียว และเป็นนักคิดนักเขียนอีกคนหนึ่ง
หนึ่งความฝันคือ การถ่ายทอดเรื่องราวของปราชญ์ชาวบ้าน ที่เป็นหมอดินอาสาที่เธอคอยให้คำแนะนำ และช่วยเหลือดูแลอยู่ คือ คุณตาเหรียญ เจียมทอง ซึ่งเป็นผู้ที่มีภูมิปัญญาชาวบ้าน องค์ความรู้ที่สะสมมาอย่างมากมาย

หนึ่งความฝันคือ การจัดทำหนังสือ ในรูปแบบพ็อตเกตบุคส์ เพื่อเผยแพร่เรื่องราวอันทรงคุณค่าเหล่านั้น ออกสู่สาธารณชนต่อไป เมื่อคุณสุขพงศ์ได้ชักชวนคนจุดตะเกียงให้เรียบเรียงเนื้อหา เขียนหนังสือเพื่อการพิมพ์เผยแพรและแฟนพันธุ์แท้ก็อยากที่จะเผยแพร่ผลงาน แล้วเธอยังเป็นแฟนพันธ์แท้ของวิทยากร เชียงกูล ติดตามผลงานมาอย่างเหนียวแน่น

พ็อคเกตบุคส์ในฝัน ย่อมจะเป็น เรื่องราวจากการถ่ายทอดของแฟนพันธุ์แท้ในแบบฉบับของเธอเอง ที่ถูกส่งผ่านไปยังคุณสุขพงศ์ ซึ่งเธออาจจะถ่ายทอดเรื่องราวในเนื้อหาที่เข้มข้นเหมือนอย่างหนังสือที่เธอชอบอ่าน หรือเนื้อหาในแนวทางของสำนักพิมพ์วิญญูชน หรือ สายธารก็ย่อมได้

ด้วยความที่เป็นคนคอเดียวกัน ชื่นชอบงานเขียนในแนวทางของวิทยากร เชียงกูล ย่อมที่จะพูดจาภาษาเดียวกันได้ง่ายกว่าใครๆ

หนังสือแต่ละเล่ม ทำให้เกิดความคิด ความรู้ และจินตนาการที่เติบโตอย่างมากมาย ไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับการตามรอยวิทยากร เชียงกูลของแฟนพันธุ์แท้ จากบุรีรัมย์ ที่มีโอกาสได้ติดตามอ่านเนื้อหาหลายเล่ม จนได้รู้จักกับบรรณาธิการที่ทำหนังสือให้วิทยากร เชียงกูล

แล้วทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ที่แฟนพันธุ์แท้ จะได้พบเจอกับวิทยากร เชียงกูล ตัวจริงเสียงจริง

เมื่อได้ติดตามงานเขียนจนเป็นถึงระดับแฟนพันธุ์แท้แล้ว การได้สัมผัสถึงความคิดเห็นแบบสดๆ จากการพูดคุยกันต่อหน้านักเขียนที่ชื่นชอบ ย่อมเป็นสิ่งที่นักอ่านระดับแฟนพันธุ์แท้หลายคน ถวิลหา

ที่อยู่ของสำนักพิมพ์วิญญูชนก็รู้แล้ว, ม.รังสิต สถานที่ที่ อ.วิทยากร เชียงกูล ทำงาน ก็ไม่ยากที่จะเดินทางเข้าไปถึง

และไม่เป็นการยากนัก ในเมื่อแฟนพันธุ์แท้และคุณสุขพงศ์ ได้ทำความรู้จักกันแล้ว ในการที่จะหาวันเวลาที่ลงตัว ในการให้แฟนพันธุ์แท้ ได้พบปะกับ อ.วิทยากร เชียงกูล ตัวจริงเสียงจริง

แม้จะเป็นเพียงเวลาอันสั้น อาจเป็นช่วงเวลารับประทานอาหารสั้นๆเพียง 1 มื้อ ณ สถานที่ทำงาน หรือในวันเวลาที่เหมาะสม แต่ระยะเวลาสั้นๆนั้น อาจจะเป็นเวลาแห่งความทรงจำของแฟนพันธุ์แท้ไปตลอดกาลก็ย่อมได้....

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2550

ถอดรหัสอัจฉริยะ เลโอนาโด ดาวินชี : หนังสือดีที่ไม่น่าพลาด ไขความลับที่หลายคนไม่เคยรู้มาก่อน


คนจุดตะเกียงรู้จักได้ยืนชื่อ เลโอนาโด ดาวินชี จากภาพวาด โมนาลิซา อันลือลั่น และ ภาพยนตร์ Da Vinci Code ของ แดนบราวน์ ที่เข้ามาฉายเมื่อ 2 ปีก่อนนั่นเอง

ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ เมื่อแวะที่บูธ สำนักพิมพ์สารคดี มีหนังสือน่าสนใจกองเต็มอยู่เพียบ
ไปที่มุมหนึ่ง เจ้าหน้าที่ประจำบูธ ยืนแนะนำหนังสือที่วางขาย เมื่อคนจุดตะเกียงไปหยิบหนังสือใหม่เล่มหนึ่ง ชื่อ ถอดรหัสอัจฉริยะ เลโอนาโด ดาวินชี คนที่นั่งอยู่ในบูธก็แนะนำเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ทันที

ท่านคือ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ หนึ่งในผู้เขียนหนังสือเล่มนี้นี่เอง

จากการยืนฟังการแนะนำหนังสือเพียงไม่กี่นาที กลับเข้าใจเรื่องราวเนื้อหาที่มากคุณค่าในหนังสือเล่มนี้เป็นอย่างดีทีเดียว ดร.บัญชา ท่านได้แนะนำ เล่าเกร็ดที่น่าสนใจ และเปิดภาพประกอบในหนังสือเล่มนี้ให้ดูไปด้วย

ไม่น่าเชื่อว่า เป็นหนังสือที่ใส่ภาพประกอบไว้เยอะมากๆ เป็นภาพวาดของดาวินชีทั้งนั้น ที่มีความคมชัดอีกด้วย
หลายสิ่งที่ได้รับรู้เพิ่มเติมจากหนังสือเล่มนี้
-การเขียนหนังสือกลับด้าน
-การออกแบบชุดดำน้ำ
-การออกแบบสะพานหมุน
-การออกแบบเครื่องร่อน
-การออกแบบปืนใหญ่สามลำกล้อง
-การออกแบบเกลียวอากาศ
-ภาพวาดเดอะวิทรูเวียนแมน
- ภาพ the Last Supper
ฯลฯ

ที่โดดเด่นคือ ใส่ภาพประกอบแทบจะทุกหน้า เรียกว่า เปิดไปที่หน้าไหน จะต้องเห็นภาพแน่นอน ทำให้เป็นหนังสือที่อ่านง่าย สบายตา

ฟังท่าน ดร.บัญชา อธิบายเนื้อหาคร่าวๆ จนอิ่ม เลยรีบคว้ามา 1 เล่ม ให้ท่าน เซ็นต์ซื่อให้ จากราคา 250 บาท ขายในงานสัปดาห์หนังสือแค่ 199 บาทเท่านั้น

เมื่อกลับมาอ่านที่พัก อ่านไปแล้ว วางไม่ลงจริงๆ มีหลายเรื่องน่าสนใจใคร่รู้อย่างยิ่ง

เนื้อหาในเล่ม เป็นการประมวลเรื่องราวอย่างรอบด้านที่สุด เพื่อถอดรหัสความเป็นอัจฉริยะของดาวินชี ผู้เป็นทั้งศิลปิน วิศวกร นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ จากมุมมองของนักเขียนในเล่ม คือ ดร.สรณรัชฎ์ กาญจนะวณิชย์, ดร.สุทัศน์ ยกส้าน, ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ, บุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์, สรนันท์ ตุลยานนท์ และ สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ

ต้องลองไปหามาอ่านแล้วล่ะครับ แล้วจะรู้ว่า ดาวินชี เป็นอัจฉริยะด้วยเหตุผลใด และยังมีการเปรียบเทียบความเป็นอัจฉริยะระหว่าง ไอสไตน์ กับดาวินชีว่า ใครจะเหนือกว่ากัน ซึ่งจะทำให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำว่า “อัจฉริยะ” ได้มากขึ้นครับ

////
ข้อมูลเพิ่มเติม จาก ร้านหนังสือสารคดี

ถอดรหัสอัจฉริยะ เลโอนาร์โด ดาวินช

ผู้เขียน: สรณรัชฎ์ กาญจนวณิชย์ ดร. สุทัศน์ ยกส้าน ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ
ผู้แปล:
ISBN: 9744842148


นับถึงนาทีนี้คงไม่ มีใครไม่รู้จักชื่อของ เลโอนาร์โด ดาวินชี ศิลปินอัจฉริยะ ยอดมนุษย์เรอเนซองซ์ ชีวิตและผลงานของเขาเป็นที่สนใจไปทั่วโลก พร้อม ๆ กับความสงสัยในปริศนามากมายที่พัวพันกับตัวเขา เขาซ่อนอะไรไว้ในภาพวาด เหตุใดดาวินชีจึงเขียนตัวอักษรกลับข้าง ใครคือนางแบบในภาพ โมนาลิซา... หนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมชีวิตและผลงานของดาวินชีอย่างรอบด้านที่สุด เพื่อถอดรหัสอัจฉริยะของดาวินชี ผู้เป็นทั้งศิลปิน วิศวกร นักดนตรี นักวิทยาศาสตร์ ฯลฯ จากมุมมองของนักเขียนคุณภาพหลากหลาย ได้แก่ ดร. สรณรัชฎ์ กาญจนวณิชย์ ดร. สุทัศน์ ยกส้าน ดร. บัญชา ธนบุญสมบัติ บุญรักษ์ กาญจนวณิชย์ สรนันท์ ตุลยานนท์ และ สุวัฒน์ อัศวไชยชาญ

รูปเล่ม+การพิมพ์ ปกอ่อน พร้อมภาพประกอบสี่สีและขาว-ดำ
จำนวนหน้า 258
มิติ กว้าง 5.5 นิ้ว สูง 7.2 นิ้ว หนา 0.5 นิ้ว
ประเภท non fiction
หมวด
  • วิทยาศาสตร์/เทคโนโลยี

  • ศิลปะ/วัฒนธรรม

  • ประวัติศาสตร์/ชีวประวัติ

  • สำนักพิมพ์ สำนักพิมพ์สารคดี
    พิมพ์ครั้งที่ 1
    หนังสือชุด
    เล่มที่ -
    ปี พ.ศ. 2550
    ข้อมูลเมื่อ 29 March 2007

    แฟนคลับนักคิดนักเขียน : “เสกสรรค์ ประเสริฐกุล” ไม่น่าพลาด

    สำหรับเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ชื่อนี้เป็นสัญลักษณ์ของพลังแห่งการต่อสู้เพื่อมวลชน ตลอดเส้นทางชีวิต และผลงานการเขียนทั้งหมดที่ผ่านมา ล้วนแสดงศรัทธาที่เขามีต่อพลังประชาชน

    มีผลงานหนังสือที่มีเนื้อหาโดนใจหลายคนออกมามากมายหลายเล่ม และในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ที่บูธสามัญชน X05 มีหนังสือทุกเล่มของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุลมาวางจำหน่ายอย่างจุใจ



    ใครขาดเล่มไหน สามารถมาซื้อเก็บสะสมไว้ได้ทุกเล่มที่ต้องการ

    ผลงานเล่มเก่าๆหายาก ลด 50 % ส่วนเล่มที่พิมพ์ใหม่ ลด 20% เฉพาะในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติในช่วง 29 มี.ค.-10 เม.ย.2550 นี้เท่านั้น

    คนจุดตะเกียง มีโอกาสพาแฟนคลับตัวจริงเสียงจริงของ คุณเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ไปเลือกซื้อหนังสือเล่มโปรดที่บูธแห่งนี้มาแล้ว

    แต่ในวันที่ 8 เม.ย. 2550 เสกสรรค์ ประเสริฐกุล จะมาที่บูธสามัญชน X05 ในเวลา 14.00 น. เป็นต้นไป

    โห.... ได้ข่าวแล้ว ต้องร้องซี๊ดซ๊าดด้วยความเสียดาย
    ความจริง คนจุดตะเกียงกับแฟนคลับตัวจริงของคุณเสกสรรค์ เคยตัดสินใจเลือกว่า จะไปงานสัปดาห์หนังสือ ในช่วงเวลาไหน 31 มี.ค.-1 เม.ย. หรือ 7-8 เม.ย. ซึ่ง คุณแฟนคลับ ตัดสินใจเลือก ช่วงแรก

    ได้ยินข่าวชื้นนี้แล้วอยากพา คุณแฟนคลับของเสกสรรค์ ชึ้นรถบึ่งไปพบตัวจริงของเสกสรรค์ ประเสริฐกุล จริงๆ

    การชื่นชอบ ประทับใจผู้หนึ่งเป็นพิเศษ โดยเฉพาะชื่นชอบผลงาน แนวคิดนั้น การมีโอกาสได้พบกับตัวจริงเสียงจริงสักครั้งหนึ่งในชีวิต แม้จะเป็นเพียงช่วงระยะเวลาเพียงไม่นานนัก

    แต่สิ่งเหล่านี้ ทำให้ใครต่อใครหลายคน ยอมที่จะเดินทางเพื่อมาพบกับตัวจริง เสียงจริงของบุคคลที่ตนชื่นชอบและประทับใจอย่างพิเศษสุด



    ได้ข่าวนักเขียนชื่อดังหลายท่าน แวะเวียนมาเปิดหนังสือที่งานหนังสือหลายท่าน แฟนคลับของท่านเหล่านั้น เตรียมตัวเดินทางเพื่อไปสัมผัสกับตัวจริงเสียงจริงของท่านนั้นโดยเฉพาะ

    สำหรับแฟนคลับของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ที่มีเวลาว่าง และสามารถไปงานสัปดาห์หนังสือได้ ไม่ควรพลาดโอกาสพิเศษครั้งนี้นะครับ


    คลิกที่รูปดูภาพขยาย



    วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2550

    งานศิลป์แผ่นดินพ่อ

    งานศิลป์แผ่นดินพ่อ
    เนื่องในปีนี้เป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ห้างโรบินสันร่วมกับบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล และมหาวิทยาลัยศิลปากร ร่วมกันจัดงานนิทรรศการแสดงภาพจิตรกรรมขึ้นในหัวข้อ "60 ปี เย็นศิระเพราะพระบริบาล" เพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชน นิสิต นักศึกษา และผู้ที่สนใจในงานศิลป์ได้ชื่นชมผลงานที่สร้างจากแรงบันดาลใจในพระบารมีและพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว


    ในวันเปิดงาน กวีซีไรต์ จีรนันท์ พิตรปรีชา อ่านบทกวีที่แต่งขึ้นในหัวข้อ "แผ่นดินพ่อก่อด้วยรัก" ซึ่งมาจากการประมวลความคิดว่าประเทศไทยมี 4 ภูมิภาค แต่ละภาคก็มีภูมิประเทศ ประเพณีวัฒนธรรมที่ต่างกัน แต่ความรู้สึกที่เหมือนกันคือ ความรักในแผ่นดินและมีประมุขเป็นศูนย์รวมจิตใจ จึงตั้งบทกวีนี้ว่า "แผ่นดินพ่อก่อด้วยรัก"


    ด้านพิชิต ไปแดน หนึ่งในเจ้าของผลงานที่ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมอันดับหนึ่ง จากผลงานชื่อ "60 ปี คือความอบอุ่น นำวิถีพอเพียงสู่ประชาร่มเย็น" กล่าวถึงแรงบันดาลใจว่า "คงไม่ต้องพูดอะไรมากเพราะในหลวงท่านทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจไว้มากมายอยู่แล้ว แต่ที่คิดมากคือจะคิดอย่างไรให้รูปออกมาแล้วให้ได้ความรู้สึกที่อบอุ่นในวิถีชีวิตที่พอเพียง ซึ่งภาพมีวิธีการค่อนข้างจะซับซ้อนและใช้เวลานานพอสมควร ที่สำคัญผมต้องใช้จิตใจอันแน่วแน่ในการสร้างผลงานชิ้นนี้

    " ชมนิทรรศการได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 23 เมษายน 2549 เวลา 11.00-19.00 น. ที่บริเวณชั้น 3 ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาซีคอนสแควร์ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และร่วมสมทบทุนเข้ามูลนิธิเพื่อสิ่งแวดล้อม รายได้จะนำไปใช้ในกิจกรรมเทิดพระเกียรติ งานศิลป์แผ่นดินพ่อ

    คลิกเพื่อชมภาพประกอบ คอลัมน์ สารพันควันหลง จาก:ข่าวสด

    วันศุกร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2550

    มุมมองแหลมคม จาก วาทกรรม-วรรณกรรม เรื่อง "การบรรยายในที่ประชุมสมาคมนักวิชาการแห่งชาติ"

    เข้าไปอ่านบันทึกที่ http://anan.blogrevo.com/
    ในเรื่อง "การบรรยายในที่ประชุมสมาคมนักวิชาการแห่งชาติ"
    อ่านแล้วชอบใจ แต่คลิกเพื่อเขียนความคิดเห็นไม่ได้เลย
    พอคลิกแล้ว ระบบฟ้อง

    Bad Request
    Your browser sent a request that this server could not understand.


    สังเกตที่อยู่ลิงค์

    การบรรยายในที่ประชุมสมาคมนักวิชาการแห่งชาติ
    http://anan.blogrevo.com/2007/03/28/%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9a%e0%b8%a3%e0%b8%a3%e0%b8%a2%e0%b8%b2%e0%b8%a2%e0%b9%83%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%9b%e0%b8%a3%e0%b8%b0%e0%b8%8a%e0%b8%b8%e0%b8%a1%e0%b8%aa%e0%b8%a1%e/

    ห้องใต้ดิน
    http://anan.blogrevo.com/2007/03/27/%e0%b8%ab%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b9%83%e0%b8%95%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b8%b4%e0%b8%99/


    เรื่องห้องใต้ดิน เข้าไปเขียนความเห็นได้ แต่ เรื่อง การบรรยายในที่ประชุมสมาคมนักวิชาการแห่งชาติ เขียนไม่ได้ อาจเป็นเพราะตั้งชื่อเรื่องยาวเกินไป
    ระบบของ blog wordpress ใช้ชื่อภาษาไทยเป็น ลิงค์




    ไม่เป็นไรครับ เอาข้อความที่โดนใจมาแปะไว้ในที่นี้ ถ้าคุณสุขพงศ์เปิดเจอ ค่อยกลับไปแก้ไขให้เข้าไปเขียนความเห็นได้ละกันนะครับ

    "ทุกวันนี้พวกคุณบอกเราว่าต้องเข้าใจคนรุ่นใหม่ก่อน โธ่, พูดจาทำเป็นพี่เลี้ยงเด็กอะไรอย่างนั้น ไหนใครบอกผมทีสิว่าตลอดเวลา 20 ปีนับจากเราพูดวลีนั้นเป็นครั้งแรก-และพูดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน เราเข้าใจอะไรเกี่ยวกับคนรุ่นบ้าง, ไม่ว่าจะรุ่นไหนก็เถอะ ทานโทษเถอะครับ, มนุษย์เป็น ๆ ที่มีอยู่ในคนรุ่นเรานั้น หากเรายังไม่เข้าใจ แล้วเราจะเอาพื้นฐานอะไรไปเข้าใจคนรุ่นใหม่ ๆ นี้ล่ะ ?"



    คนจุดตะเกียง : อ่านแล้ว นึกถึงคุณภาพการศึกษาของคนรุ่นใหม่ที่สู้คนรุ่นก่อนไม่ได้เลย หลายคนคิดไม่เป็น ทำอะไรไม่ค่อยเป็น พึ่งพาแต่เทคโนโลยี
    อาจเพราะคนรุ่นใหม่ เอาเวลาไปคิดกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่องมากเกินไปก็ได้ จนทำให้ผู้ใหญ่ที่คิดเรื่องที่เป็นเรื่อง ไม่เข้าใจความคิดของคนรุ่นใหม่



    "ตอนนี้แม้เรามีอะไรเจริญขึ้นมามากมายขนาดไหน คนก็ยังไม่สามารถจะดำรงชีวิตอยู่ได้ หากเขาไม่ได้ยืนยัน—ทำบัตรประจำตัวประชาชนเสียก่อน คุณครับ เฉพาะคนในศตวรรษนี้จริง ๆ ที่การยืนยันตัวตนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิทธิพื้นฐานในการเอาตัวให้รอด มันเป็นเรื่องของตัวตนที่เตลิดมากเกินไปแล้ว นั่นน่ะ คุณอย่าปฏิเสธเชียวว่าไม่ได้เป็นผลจาก มนุษย์ที่อยู่ด้วยกันมากเกินไปโดยที่ได้รับเสรี ทั้งที่เขายังไม่พร้อมและไม่มีพื้นฐานในการสนับสนุนให้เสรีนั้นเป็นไปเพื่อ จุดหมายที่ “มนุษย์ผู้อยู่ร่วมกัน” พึงมี"




    คนจุดตะเกียง : อ่านแล้ว นึกถึงคนไทยที่ไม่เคยรับรู้ในสิทธิของตนเอง ถูกละเมิดสิทธิหลายอย่างโดยไม่รู้ตัว เช่น สิทธิของผู้บริโภค สิทธิในการรับรู้ข่าวสาร
    การดำเนินชีวิตในปัจจุบัน ต้องเดินไปตามรูปแบบหลายอย่างที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตเลย ชีวิตคนเราต้องมีบางสิ่งเพื่อให้ชีวิตดูสมบูรณ์พร้อม ไม่งั้น คงไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ในปัจจุบันได้

    "เรื่องที่คุณบอกว่าความจริง ไม่ได้มีมาตรฐานเดียว แต่คุณกลับใช้คำ “มาตรฐาน” กับ “ความจริง” นั่นจะไม่เป็นการเอาเปรียบความจริง ไปหน่อยหรือ ? มันจะไม่เป็นการเอาคำที่ความจริงไม่ได้เป็นคนพูดมาอ้างว่าความจริงพูดเพื่อ ทำให้เกิดการคล้อยตามไปหรือ ? ลองคิดดูนะครับว่าในโลกนี้ร้อยปีจะมีคนที่เรากล้าพูดว่าแสวงหาความจริงสัก กี่คน"

    คนจุดตะเกียง : นึกถึงกรณีผู้ใหญ่หลายคนในบ้านเมืองใส่ "เกียร์ว่าง" จริงๆเลย

    วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550

    รักเร้นลับของคาลิล ยิบราน (Beloved Prophet)

    จดหมายของแมรี
    3/4 ถนนมาร์ลโบโร, บ๊อสตั้น
    16 กุมภาพันธ์ 1912

    ...ฉันอยากจำแลงกายได้
    จะรีบบินมาหาคุณทันทีที่รู้ว่าคุณไม่สบาย
    อยากมาสู่คุณเช่นเดียวกับแม่ของฉันเคยกกกอดฉันยามป่วยไข้
    อยากเป็นเสมือนแม่ของคุณในบางครั้ง
    ถ้าจะพูดถึงการให้ความอบอุ่นทางอารมณ์
    ฉันจะทำให้คุณรู้สึกสงบ..มีความสุข..และปลอบประโลมคุณให้คุณรักฉันมากขึ้น
    คำนึงถึงฉันมากกว่าที่เคย..เหมือนลูบไล้วด้วยน้ำใสเย็น
    จนคุณไม่รู้สึกป่วยอีกต่อไป

    ...ความทรงจำของฉันมักจะคละเคล้าวัยเยาว์อันแสนสุขไปด้วยเสมอ
    ช่วงนั้นช่างเกษมสันต์
    เมื่อแม่ยังอยู่ด้วย
    รู้สึกเหมือนมีโอสถวิเศษคอยหยอดป้อน
    ให้ชุ่มชื่นผาสุกตลอดเวลา
    แต่คุณ
    คุณบอกว่าพระเป็นเจ้าเสด็จมาทรงเยือน
    ถ้าเช่นนั้นคุณได้รับมากกว่าที่ฉันคาดคะเนไว้อีกคุณคงสงบสุขในความสันโดษ
    สวดมนคร์เผื่อฉันนะยอดรัก
    ฉันสวดให้คุณมีความสุขสบายไม่เว้นแม้ราตรีเดียว

    ออกไปสูดอากาศบริสุทธิของสวรรค์บ้างนะจ๊ะ
    ยอดรัก
    ขอร้องให้ไม่ละเลยตัวเอง
    ..คุณก็รู้ว่าหัวใจที่อยู่กับคุณเป็นของ...

    แมรี่


    จดหมายของคาลิล
    นิวยอร์ค
    อังคาร 20 กุมภาพันธ์ 1912


    ขออภัยที่ผมไม่ได้ตอบคุณทุกถ้อยคำในจดหมายฉบับก่อน
    ผมอยากได้รูปเขียนชื่อ "
    หญิงสาวสามนาง" มาไว้ใกล้ๆ
    ตัวขณะนี้ อยากพิจารณานาน
    ๆ เพราะรูปที่วาดค้างไว้
    ยังไม่เสร็จ ผมให้ชื่อว่า
    "มิชลีน"
    ไม่สวยเท่าที่ต้องการ แต่ผมจะต้องปรับปรุง
    ฝีมือตัวเองด้านการแรเงาและแสงสีให้ดีกว่านี้อีกมาก
    ผมจะเก็บภาพที่คิดว่าวาด
    ไม่เข้าขั้นไว้ต่างหาก
    แล้วค่อยมาปรึกษา
    คุณถึงภาพที่คุณคิดจะส่งเข้าแสดง
    ที่
    นิทรรศการ

    อยากให้วันนี้เร่งเป็นวันพฤหัสบดีคุณจะได้มาหาผม
    อยากให้ ..อีกหลายอย่าง
    เต็มที่
    ซึ่งผมจะไม่ยอมออกปากเอ่ยถึง
    จนกว่าคุณจะมาอยู่ใกล้ๆ ตรงนี้

    ชั่วโมงเอ๋ย
    จงวิ่งผ่านไปรวดเร็วจนถึงวันพฤหัสบดี
    แล้วผมจะขอให้นาทีเดินล่า
    ช้าอืดอาด
    เพื่อจะได้มีเวลาอยู่กับคุณนานแสนนาน




    จดหมายของแมรี
    บ๊อสตั้น
    ฤดูใบไม้ผลิมาถึงแล้ว ปี
    1912

    คาลิลจ๋า
    กำลังเขียนอะไรอยู่ เป็นอย่างไรบ้าง
    คิดอะไร งานเสร็จไหม
    อยากพบฉันเรื่องอะไร
    และคุณสบายดีหรือ?
    ทำไมไม่ยืดแขนคุณให้ยาวหกชั่วโมงมากอดฉันที่บ๊อสตั้นนี่?
    ผ้าไบผืนไหนอีกนะที่คุณละเลงสีขาวกับรูปเก่าเตรียมวาดใหม่?
    มาสู่ความฝันของฉันสิ
    เรามาอยู่ในความหวานสุดซึ้งด้วยกันอีกครั้ง
    คุณเท่านั้น..ช่วยให้ราตรีเอมโอชเป็นทวีคูณสำหรับ.....

    แมรี



    จดหมายของยิบราน
    นิวยอร์ค
    วันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 1912
    แมรี ยอดรัก ยอดชีวิต
    คุณพูดออกมาได้อย่างไรว่าผมพบคุณคราวใดผมเศร้านัก?
    อะไร
    หนอ
    ทำให้คุณคิดเขวไปได้ถึงขนาดนั้น?
    อะไรคือความเจ็บปวด
    เจ็บอะไรคือความสุขสม?
    (คุณสมารถแยกประเภทสองสิ่งนี้ออกจาก
    กันได้ไหม)
    ผมรู้สึกว่ามีอำนาจสูงส่งอย่างหนึ่งซึ่งนำเราทั้งสองให้มาพบกัน
    ได้ประสบความสุขอย่างที่สุด
    คละเคล้าความทุกข์และปวดร้าวที่หัวใจ
    ซึ่งเป็น
    ความรู้สึกที่พรรณนายาก..สดสวย
    รื่นรมย์อย่างรวดเร็ว
    แมรี่จ๋า
    คุณได้ความสุขแก่ผมมากเกินไป ผมปวดหัวใจ
    และคุณให้ความทุกข์แก่ผม
    มากที่สุดด้วย ดังนี้
    ผมจึงรักคุณสุดชีวิต


    - อีกอันนึงนะค่ะจะเป็น
    ปรัชญาชีวิต
    ของคาลิลเหมือนกันซึ่งกล่าวถึง "ความ
    รัก"-
    อ่านแล้วก็ทำให้คิดถึงคุณ


    เมื่อเธอรัก อย่าได้ว่า
    "พระเป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา"
    แต่ควรพูดว่า
    "เราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า"
    และอย่าได้คิดว่าเธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
    เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้วก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
    ความรัก
    ไม่มีความปราถนาสิ่งอื่นใดนอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
    แต่ ถ้าหากเธอรัก
    และจำต้องมีความปราถนา
    ก็ขอให้ความปราถนาของเธอเป็นดังนี้

    เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
    ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี

    เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว
    อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
    เพื่อต้องบาดเจ็บ
    ด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง

    และเพือจะยอมให้เลื่อดหลั่งไหล
    ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
    เพื่อจะตื่นขึ้น ณ
    รุ่งอรุณ
    ด้วยดวงใจอันปีติและขอบคุณความรักอีกวัน
    หนึ่ง
    เพื่อจะหยุดพัก ณ
    ยามเที่ยง แลเพ่งพินิจความสุข
    ซาบซึ้ง ของความรัก
    เพื่อจะกลับบ้าน ณ
    ยามพลบค่ำ
    ด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ

    และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนาสำหรับคนรักในดวงใจ
    และเพลงสรรเสริญ
    บนริมฝีปากของเธอ

    วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2550

    การพัฒนาเวบไซต์ของชมรมนักเขียนอีสาน

    เห็นข้อความแนะนำเวบไซต์ของ ชมรมนักเขียนอีสาน เลยคลิกเข้าไปดู

    มีข้อมูลที่เกี่ยวกับงานเขียนเยอะพอสมควรครับ ดูสถานที่อยู่ ที่ติดต่อของผู้ดูแลเวบแล้ว อยู่ในตัวเมืองมหาสารคามนี่เอง

    Pawpeang Media House. 142 M 4, Kerng Sub-district, Muang District, Mahasarakham, 44000
    พอเพียงปริ้นติ้ง ความสุขเล็กๆบนถนนวรรณกรรม

    คลิกที่รูปเพื่อดูภาพขยาย
    www.esanwriter.org


    ประเมินดูแล้ว เวบไซต์ดูเหมือนจะไม่ค่อย update เสียเลย วันเวลาที่ระบุไว้ว่า update เมื่อไหร่นั้น บอกไว้ว่า uddate : 19/08/02

    ปีนี้ 2007 แล้ว
    ความจริงอาจจะ update เนื้อหาส่วนอื่นๆ แต่ไม่ได้แก้ไขวันที่ที่อัพเดทก็ได้กระมัง
    ความเคลื่อนไหวของเวบนี้อยู่ในส่วนของ ลานเสวนานี่เอง


    เวบไซต์ในลักษณะนี้ หลายคนทำด้วยใจรักจริงๆ เฉียดเวลามานั่งทำ จึงอาจจะมีการประชาสัมพันธ์ บอกข่าวเล่าแจ้งให้ผู้อื่นน้อยไปหน่อย

    ดูที่อยู่จาก source code คุ้นๆ ข้อมูลเก็บอยู่ที่ it.msu.ac.th เวบของ ม.มหาสารคาม แดนตักสิลานี่เอง
    http://www.it.msu.ac.th/jaroon/index.asp

    ดูเหมือนว่า ที่มาของเวบนี้ มีจุดเริ่มต้นจากบล็อก The Esan poem
    http://eastism.blogspot.com/

    ความจริงแล้ว สมาชิกในชมรมนักเขียน สามารถที่จะเขียนบทความ ข่าวคราว เรื่องราวมานำเสนอในเวบไซต์ได้อย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะมีแนวทางการนำเสนอข้อมูลที่ยังไม่ชัดเจน หรือให้สมาชิกคนอื่นๆมีส่วนร่วมน้อยไปนิดนึง

    พูดถึงสมาชิกแล้ว ไม่รู้ว่า ชมรมนี้จริงๆแล้ว มีสมาชิกจำนวนเท่าไหร่ สมาชิกที่ติดต่อกันบ่อยๆ มีกี่คน

    ถ้าปรับรูปแบบให้สมาชิกได้นำเสนอข้อมูล งานเขียนในเวบไซต์ได้ง่ายขึ้น จะมีส่วนในการพัฒนางานเขียนของสมาชิกแต่ละคนได้มากขึ้น

    วันอาทิตย์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2550

    เขียนให้ได้ เขียนให้ดี เขียนให้มีชีวิต

    สัปดาห์หนังสือแห่งชาติปีนี้ นักอยากเขียนเตรียมเฮ สมาคมนักเขียนฯ นำนักเขียนอภิปรายให้ความรู้เรื่อง “เขียนให้ได้ เขียนให้ดี เขียนให้มีชีวิต” ในโอกาสครบรอบ 102 ปี ศรีบูรพา ฟรี!

    นางชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 35 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 5 เป็นวันครบรอบ 102 ปี ศรีบูรพา หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ทางสมาคมนักเขียนฯ ได้จัดให้มีการอภิปรายเรื่อง “เขียนให้ได้ เขียนให้ดี เขียนให้มีชีวิต” โดยการอภิปรายในครั้งนี้ เป็นการแนะนำวิธีการเขียนหนังสือให้ได้ดี และมีชีวิตชีวา โดยได้รับความร่วมมือจากนักเขียนทั้งรุ่นแรก และแรกรุ่น
    ในช่วงเช้า จะเป็นนักเขียนรุ่นแรก ระดับซีไรท์ด้วยกันทั้งสิ้น คือ กฤษณา อโศกสิน, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อัศศิริ ธรรมโชติ ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.ญาดา อรุณเวช
    ในช่วงบ่าย จะเป็นการอภิปรายโดยนักเขียนแรกรุ่น โดย คอยนุช, สร้อยแก้ว คำมาลา, แทนไท ประเสริฐกุล ดำเนินรายการโดย เพ็ชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ

    ทั้งนี้ เพื่อเป็นการมอบโอกาสให้กับนักเรียน นักศึกษา และประชาชนทั่วไป ผู้สนใจงานเขียนได้มารับฟังจากประสบการณ์ตรงของนักเขียนตัวจริง โดย ไม่เสียค่าใช้จ่าย

    งานดังกล่าวจัดขึ้นภายในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ณ ห้องประชุม 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา 8.30 – 16.30 น. วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2550
    *********************** *********************** ***********************


    สำหรับสื่อมวลชน ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อได้ที่
    จรินยา ศักดิ์ศิริ 08 1550 0275 / นันทพร ไวศยะสุวรรณ์ 08 9891 4891
    กรรมการ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย / ฝ่ายประชาสัมพันธ์


    กำหนดการอภิปราย
    “เขียนให้ได้ เขียนให้ดี เขียนให้มีชีวิต”
    สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
    ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 35 และงานสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 5
    วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม 2550
    ณ ห้องประชุม 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

    8.30 น. ลงทะเบียน
    9.00 น. ชมัยภร แสงกระจ่าง นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กล่าวเปิดงาน
    9.15 น. ชมวิดีทัศน์ “ศรีบูรพา” ในโอกาสวันครบรอบ 102 ปี ศรีบูรพา - กุหลาบ สายประดิษฐ์
    10.00 น. พัก น้ำชา – กาแฟ
    10.30 น. การอภิปราย “เขียนให้ได้ เขียนให้ดี เขียนให้มีชีวิต” รุ่นแรก
    โดย กฤษณา อโศกสิน, เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์, อัศศิริ ธรรมโชติ
    ดำเนินรายการโดย ผศ.ดร.ญาดา อรุณเวช
    12.00 น. พักรับประทานอาหารกลางวัน
    13.00 น. อ่านบทกวีรำลึก ศรีบูรพา โดยเยาวชนคนรุ่นใหม่
    14.00 น. พัก น้ำชา – กาแฟ
    14.30 น. การอภิปราย “เขียนให้ได้ เขียนให้ดี เขียนให้มีชีวิต” แรกรุ่น
    โดย คอยนุช, สร้อยแก้ว คำมาลา, แทนไท ประเสริฐกุล
    ดำเนินรายการโดย เพ็ชรยุพา บูรณ์สิริจรุงรัฐ
    16.30 น. การกล่าวปิดงานโดย นายกสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย