++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัฒนาท้องถิ่น แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ พัฒนาท้องถิ่น แสดงบทความทั้งหมด

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

องค์การเภสัชกรรม ยืนยันยาต้านไวรัสเอดส์ “จีพีโอเวียร์” ได้มาตรฐาน

กระทรวงสาธารณสุขโต้องค์การยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่น บิดเบือนข้อเท็จจริงตัวเลขการดื้อยารักษาโรคเอดส์ จีพีโอเวียร์ ยืนยันได้มาตรฐาน เพราะผ่านกระบวนการทดสอบมาตรฐานกับยาต้นแบบ ได้ผลดีเท่ากัน และมีปัญหาการดื้อยาต่ำมาก ใช้ติดต่อกันมากกว่า 2 ปี พบปัญหาไม่ถึง 15 เปอร์เซ็นต์ จึงขอให้ป่วยเอดส์ไทยวางใจคุณภาพได้

ตามที่องค์การยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่น (USA for Innovation) ได้เผยแพร่ข่าวโจมตียาจีพีโอเวียร์ ซึ่งเป็นยารักษาโรคเอดส์ ผลิตโดยองค์การเภสัชกรรมว่าเป็นยาที่ไม่ได้มาตรฐาน และระบุการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดลเมื่อพ.ศ.2548 จากที่ศึกษากับผู้ป่วย 300 คน พบมีการดื้อยาระหว่าง 39.6-58 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการดื้อยาเอดส์ที่เลวร้ายที่สุดในโลกนั้น
วันนี้ (11 พฤษภาคม 2550 ) ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์วิชัย โชควิวัฒน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชรรม พร้อมด้วยผู้แทนจากคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี โรงพยาบาลศิริราช และองค์การหมอไร้พรมแดน แถลงข่าวตอบโต้องค์การยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่น กรณีการทำซีแอลยาต้านไวรัสเอดส์ เอฟาไวเรนซ์(Efavirenz) และยาโลพินาเวียร์(Lopinavir) + ริโทนาเวียร์ (Ritonavir) ว่า ข้อมูลตามที่องค์การยูเอสเอฟอร์อินโนเวชั่น เผยแพร่ออกมานั้น ไม่เป็นความจริง ขอยืนยันว่ายาจีพีโอเวียร์ขององค์การเภสัชกรรม ได้มาตรฐานและไม่ได้ดื้อยามากตามที่กล่าวหา

นายแพทย์วิชัยกล่าวว่า ในการพัฒนายาจีพีโอเวียร์ ให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย สร้างความเชื่อมั่นกับผู้ใช้ยาชื่อสามัญที่ผลิตในประเทศ ได้ทำการศึกษาชีวสมมูล(Bioequivalence Study) เทียบกับยาต้นแบบที่คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับในประเทศไทยมาอย่างต่อเนื่อง พบได้ผลดีเท่ากัน โดยตัวเลขผู้ป่วยดื้อยาจีพีโอเวียร์ที่องค์การยูเอสเอฯกล่าวหานั้น เป็นการบิดเบือนผลการตรวจ เนื่องจากข้อมูลที่ได้เป็นการตรวจเฉพาะผู้ป่วยที่สงสัยว่าจะดื้อยา จึงทำให้ตัวเลขสูง

ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ใช้ยาจีพีโอเวียร์ตามปกติจะไม่มีการส่งตรวจเชื้อดื้อย าทุกราย เนื่องจากค่าตรวจมีราคาแพงมาก แพทย์จึงพิจารณาส่งตรวจเฉพาะรายที่รับประทานไประยะหนึ่งแล้ว น่าสงสัยว่าจะดื้อยาจึงส่งตรวจ วัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนาให้ยากลุ่มใหม่ซึ่งมีราคาสูงกว่ามาก จึงทำให้ตัวเลขการดื้อยาสูง และตัวเลขการดื้อยาดังกล่าวไม่ใช่อัตราการดื้อยาจีพีโอเวียร์ แต่เป็นตัวเลขการดื้อยาของผู้ป่วยเฉพาะกลุ่มที่แพทย์สงสัยว่าดื้อยาเท่านั้น การนำเสนอตัวเลขที่กล่าวมา จึงเป็นการตีความผิด หรือจงใจทำให้เข้าใจผิด จึงขอผู้ป่วยเอดส์ไทยวางใจยาจีพีโอเวียร์ได้

นายแพทย์วิชัยกล่าวต่อไปว่า หากต้องการทราบตัวเลขอัตราการดื้อยาจีพีโอเวียร์จริง จะต้องมีการศึกษาติดตามกลุ่มผู้ป่วยที่ใช้ยาทั้งกลุ่ม จำนวนมากพอสมควรเช่น 100-200 ราย และตรวจการดื้อยาเป็นระยะ เช่น 1-2-3 ปี จึงจะได้ตัวเลขดื้อยาที่แท้จริง ซึ่งมีการศึกษาแล้วที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลพบว่าได้ผลดี ไม่แตกต่างจากยาต้นตำรับแต่อย่างใด และรายงานนี้ได้ตีพิมพ์ในจดหมายเหตุทางการแพทย์จากแพทยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ เป็นการยืนยันคุณภาพยาจีพีโอเวียร์ว่ามิได้เป็นไปตามที่องค์การยูเอสเอฯกล่า วหาแต่อย่างใด

นายแพทย์สมบัติ แทนประเสริฐสุข ผู้อำนวยการสำนักโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ยาจีพีโอเวียร์ เป็นยาสูตรค็อกเทล ประกอบด้วยยา 3 ตัวได้แก่ เนวิลาปีน (Nevirapineหรือ NVP) + ลามิวูดีน (Lamivudine หรือ 3Tc) + สตาวูดีน (Stavudine หรือ d4T) ใช้รักษาผู้ป่วยโรคเอดส์ในกลุ่มของยาสูตรพื้นฐานในโครงการเข้าถึงยาต้านไวรั สเอดส์ของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อสะดวกในการกิน และลดปัญหาการดื้อยา จากการศึกษาการดื้อยาในปีพ.ศ. 2548 พบหลังได้รับยาจีพีโอเวียร์ 6 เดือนแรก มีอัตราการดื้อยา 4.9 เปอร์เซ็นต์ รักษานาน 6-12 เดือนอัตราการดื้อยา 7.1 เปอร์เซ็นต์ ใช้ยานาน 12-24 เดือนอัตราการดื้อยา 8.2 เปอร์เซ็นต์ และหากใช้นานกว่า 24 เดือนอัตราการดื้อยาเพียง 14.6 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งไม่ได้สูงมาก อย่างไรก็ตาม หากพบว่าผู้ป่วยดื้อต่อยาพื้นฐานตัวใดตัวหนึ่งที่อยู่ในสูตรของจีพีโอเวียร์ ก็จะพิจารณาใช้ยาสูตรที่ 2 ต่อไป ซึ่งจากการประเมินพบว่าขณะนี้มีผู้ป่วยเอดส์จำเป็นต้องใช้ยาสูตร 2 จำนวนไม่ต่ำกว่า 12,000 ราย

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2550

ก็แค่อยากจะเป็นคนดี... (งานเขียนว่าด้วยเรื่องคนพิการ)

ที่มา http://learners.in.th/blog/la396/30215

หลังจากที่คะแนนวิชานิติกรร มได้ประกาศออกมา (และก็ได้คะแนนอยู่พอสมควร ไม่ได้น้อยจนน่าเกลียด) เมื่อวันก่อนจึงได้มีโอกาสไปช่วยติววิชานิติกรรม(และแพ่ง : หลักทั่วไปแถมอีก 1 วิชา) ให้กับเพื่อนอยู่ประมาณ 5-6 คน ซึ่ง 2 คนในกลุ่มที่ได้ช่วยเหลือนั้นเป็นคนที่พิเศษไม่เหมือนกับเรา กล่าวคือ เขาทั้งสองคนนั้นมองไม่เห็น หรือจะพูดง่ายๆ คือเป็นคนพิการตาบอดนั่นเอง


จ ากเหตุการณ์ดังกล่าว ข้าพเจ้าจึงรู้สึกว่า คนพิการ ก็ไม่ได้มีความสามารถที่ด้อยไปกว่าเราเลย เพราะแม้ว่าเขาจะมองไม่เห็น เขาก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ร่วมกับคนปกติทั่วไป หากแต่เป็นพวกเราต่างหากที่ไปประเมินค่าของพวกเขาเหล่านั้นต่ำลง (แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเอง ก็ขอยอมรับว่าก่อนที่จะติวให้นั้นก็คิดหนักเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เพราะพวกเขามีข้อจำกัดในการมองเห็น และข้าพเจ้าก็ทึกทักไปเองว่าน่าจะมีข้อจำกัดทางจินตนาการเช่นกัน ทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น)


ด ังนั้นจากทีได้กล่าวมา ประกอบกับการนับถืออาจารย์วิริยะ(ผู้ซึ่งพิการทางสายตาเช่นกัน)เป็นทุนเดิม ข้าพเจ้าจึงลองมาค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับคนพิการ ซึ่งจากที่ได้ค้นมา พอจะสรุปคร่าวๆ ได้ดังนี้


คนพิการ หมายถึง บุคคลซึ่งความสามารถถูกจำกัดในการปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวัน และการมีส่วนร่วมทางสังคมได้โดยวิธีการทั่วไป เนื่องจากมีความบกพร่องทางการมองเห็น การได้ยิน การเคลื่อนไหว การสื่อสาร จิตใจ อารมณ์ พฤติกรรม สติปัญญาหรือการเรียนรู้ และมีความต้องการจำเป็นพิเศษด้านต่าง ๆ เพื่อให้สามารถดำเนินชีวิต และมีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างบุคคลทั่วไป โดยคนพิการนี้มีอยู่หลายประเภทด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น พิการทางการมองเห็น (ตาบอด) พิการทางการได้ยิน (หูหนวก) รวมไปถึงพิการทางสติปัญญา หรือพิการซ้ำซ้อน เป็นต้น

คนพิการก็เป็นมนุษย์เหมือนกับคนอื่น ที่มีศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ จึงควรจะมีสิทธิเสรีภาพเหมือนกับประชาชนทั่วๆ ไป กล่าวคือ
ค วรมีสิทธิมนุษยชนในการเป็นพลเมืองตามกฎหมายต่างๆ เช่น สิทธิเพื่อการดำรงชีวิตในด้านต่างๆ สิทธิด้านบริการสุขภาพ สิทธิด้านการศึกษา สิทธิด้านการประกอบอาชีพ สิทธิในการรวมกลุ่ม สิทธิทางการเมือง สิทธิในการเข้าถึงหรือใช้บริการสาธารณะ รวมทั้งสิทธิในการใช้เทคโนโลยี เป็นต้น


น อกจากนี้ คนพิการยังควรมีสิทธิในการได้รับบริการตามความต้องการจำเป็นพิเศษอันเนื่องม าจากความพิการ อีกเช่นกัน กล่าวคือ คนพิการยังควรมีสิทธิเข้าร่วมตัดสินใจกำหนดนโยบายที่เกี่ยวข้องกับคนพิการ มีสิทธิได้รับการดูแลและฟื้นฟูสมรรถภาพตั้งแต่แรกเกิด และแรกเริ่มที่มีความพิการ เป็นต้น

นอก จากนี้ คนพิการยังควรได้รับการปฏิบัติที่ดีจากคนอื่นในสังคม ในลักษณะที่ให้ความช่วยเหลือโดยไม่ดูถูก และรัฐก็ยังควร ให้ความสำคัญและปฏิบัติตามเป็นสัญญาที่เกี่ยวข้องกับคนพิการโดยไม่ละเลยอีกด ้วย

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง พระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ.2534

หมายเหตุ : หากสนใจเกี่ยวกับสิทธิของคนพิการ โปรดอ่าน ถึงจะพิการ.......แต่ก็มีสิทธิ โดยธิติวัฒน์ เอี่ยมสอาด พ.ร.บ. คนพิการ โดยศศิภัทร์ ว่องสาทรกิจ และ สิทธิของคนพิการ โดยเจนจิรา เจนนุวัตร

---------------------

บรรณานุกรม

“สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย.” <http://www.tabod.net/>.2 พฤษภาคม 2550.
“มูลนิธิพัฒนาคนพิการไทย.”<
http://www.tddf.or.th/librarybook.html>.2 พฤษภาคม 2550.

คัดลอกมาจาก : บล็อก (สมุด) สิด-ทิ-มะ-นุด-สะ-ยะ-ชน

วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2550

งานจับปลาทอดแหมหากุศลที่วาปีปทุม มหาสารคาม

เมื่อช่วงดึกของวันที่ 19 เม.ย.2550 รายการเรื่องจริงผ่านจอ ที่ออกอากาศทางช่อง 7 สี ได้นำภาพและเรื่องราวเหตุการณ์ งานมหกรรมจับปลาทอดแหมหากุศลไปออกอากาศ

ได้สัมผัสวิถีชีวิตในแบบชาวอีสาน แม้ว่าจะออกอากาศเพียงไม่กี่นาทีก็ตาม




งานจับปลาทอดแหมหากุศล จัดขึ้นที่วัดบ้านนาเลา ต.หนองไฮ อ.วาปีปทุม จ.มหาสารคาม โดยมีผู้เข้าร่วมจับปลากว่า 2,000 คน โดยทุกคนจะต้องจ่ายเงินทำบุญคนละ 50 บาท เหมือนค่าผ่านประตู แล้วสามารถไปจับปลาในบึงของวัดได้เลย

งานนี้ จัด 2 ปีต่อครั้ง ในระหว่างการจับปลาจะมีดนตรีหมอลำสร้างความครึกครื้นในช่วงก่อนเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย

ปลาที่ชาวบ้านจับได้ ก็จะนำไปทำอาหารรับประทานกัน ซึ่งงานนี้เป็นงานประเพณีที่สืบทอดมานานนับสิบปี

รูปแบบนี้ เป็นวิธีการหารายได้เข้าวัด ซึ่งได้เงินเข้าวัดร่วมแสนบาท ซึ่งจะได้นำไปสร้างศาลาการเปรียญในวัดต่อไป

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2550

คุณทองเหมาะ แจ่มแจ้ง ชาวนาแห่งชาติประจำปี 2549 จากสุพรรณบุรี กับการออกรายการทีวี The Icon ปรากฏการณ์คน..

ช่วงนี้เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง รายการทีวี โดยเฉพาะช่อง 9 Modern nine TV มักจะนำบุคคลที่เป็นต้นแบบ ดำรงชีวิตในแบบพอเพียง นำมาเผยแพร่อย่างต่อเนื่องในช่วงเวลานี้

รายการ The Icon ปรากฏการณ์คน ที่ออกอากาศทุกวันศุกร์ ทางช่อง 9 ตอน 22.00-23.00 น. เมื่อ 30 มี.ค และ 6 เม.ย. ได้ นำเรื่องราวของ ชาวนาแห่งชาติประจำปี 2549 คุณทองเหมาะ แจ่มแจ้งมาออกอากาศ เสียดายที่พลาดชมในตอนแรก ซึ่งคุณทองเหมาะ ได้กล่าวถึงแนวคิดดีๆหลายอย่าง และทางรายการได้พาไปชมไร่นา ของคุณลุงอีกด้วย



(ภาพจาก manager.co.th)


คุณทองเหมาะ แจ่มแจ้งกระดูกสันหลังของชาติที่มีการศึกษาเพียงแค่ ป.4 ทว่าสามารถทำอาชีพของตนเองได้ประสบความสำเร็จอย่างน่าทึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการคัดพันธุ์และผสมพันธุ์ข้าวด้วยตนเอง ผลิตสารป้องกันและขับไล่แมลง เพาะเลี้ยงและผลิตน้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพที่ใช้ในการเกษตรได้เอง

ทั้งหมดนี้ทำให้เขาคว้าเอารางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาอาชีพทำนา ในปี 2548 - 2549 มาครอง แต่เหนืออื่นใดที่ดูจะทำให้เจ้าตัวภาคภูมิใจมากที่สุดคงจะเป็นการที่ลูกชาย ของเขาที่เรียนจนจบปริญญาโทจากต่างประเทศก็ยังกลับมาช่วยกันประกอบอาชีพทำ นาด้วยนั่นเอง

ในคืนวันที่ 6 เม.ย. ได้ชมแล้ว ประทับใจหลายส่วน

เรื่องการเลี้ยงหมู ซึ่งปกติ ถ้าบ้านไหนเลี้ยงหมู มักจะได้กลิ่นขี้หมูกันตั้งแต่ไกลๆ แต่สำหรับที่บ้านของคุณทองเหมาะกลับตรงกันข้าม ทำการโรยแกลบลงไปในคอกหมู เมื่อขี้หมูผสมกับแกลบ และเอาน้ำจุลินทรีย์ราดลงไป ปรากฏว่า ขี้หมูไม่เหม็น!!!

และยังได้ปุ๋ยไว้ใช้โดยไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยาก ใส่แกลบและราดน้ำจุลินทรีย์ทิ้งไว้ หมูขี้อออกมา จะเหยียบย่ำและคลุกเคล้าให้เอง เมื่อได้เยอะพอสมควร ก็ไปตักขี้หมูออกมากองไว้ และใส่แกลบในคอกหมูใหม่ลงไปแทน

คุณลุงทองเหมาะ และคุณสัญญา คุณากร (พิธีกร) กำขี้หมูแห้งขึ้นมาดมโชว์ในรายการกันสดๆ เพราะไม่มีกลิ่นจริงๆ

ในรายการได้พาชมบ่อปลาในไร่พอเพียงเพื่อสุขภาพของคุณลุง ซึ่งเลี้ยงปลาได้เยอะมากๆ บ่อละเป็นพันๆตัว, ไปดูบ่อกบ กบก็ตัวใหญ่มากๆ

การปลูกตำลึง ปลูกใส่สุ่มไก่ ทำให้เก็บ –เด็ดยอดตำลึงไปแกงได้ง่าย รอให้ตำลึงแตกยอดใหม่ และยังมีโรงเพาะเห็ดอินทรีย์ชีวภาพ ที่ทำเพื่อพอเพียง โดยไม่ต้องลงทุนเกินตัว จึงทำให้ไม่ขาดทุน

ใน 1 ไร่นั้น ถ้าทำกันจริงๆจังๆ จะได้รายได้วันละ 1 พันบาททุกๆวัน เพราะใน 1 ไร่ มี หมู กบ ปลา พืชผักสวนครัวที่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตขายได้ตลอด

แนวคิดทำเพื่อพอเพียง เป็นการทำงานเพื่อการเรียนรู้ หาความผิดพลาดในแบบที่ลงทุนไม่เกินตัว เมื่อทำงานจนเรียนรู้เทคนิค เกิดความเชี่ยวชาญแล้ว จึงก้าวไปเป็น เกษตรก้าวหน้า จนสามารถสร้างกำไร เกิดความมั่นคงในอาชีพได้

ในไร่ของคุณลุงทองเหมาะ มีโรงข้าว มีพันธุ์ข้าวหลากหลาย ผสมหลายพันธุ์ อาทิ ข้าวนก 1 รวง จะมี 200-300 เมล็ด ทำการปลูกโดยไม่ใช่สารเคมี

เทคนิคการคัดเลือกพันธุ์ข้าวของคุณทองเหมาะ ใน 1 รวง เลือกเมล็ดดี หยิบมา 1 เมล็ด แกะเปลือกออก ดูด้านจมูกข้าว แล้วใช้ปากกัดอักด้าน ทดลองกิน ถ้าหอม ก็เลือกเมล็ดนั้นที่เหลืออีกครึ่งหนึ่งเอาไปเพาะพันธุ์ทันที เพราะในข้าว 1 รวง อาจจะมีทั้งเมล็ดที่ดี และไม่ดีก็ได้ เมื่อเจอแล้ว เพาะทันที นี่เป็นวิธีการคัดที่ละเอียดมากๆ

ใน 1 ไร่ของคุณทองเหมาะ สามารถทำกินได้จริงๆ ไม่พึ่งพาคนอื่น ไม่ต้องซื้ออย่างอื่นเลย ก็สามารถอยู่ได้จริงๆ

ในนาของคุณทองเหมาะ มีแปลงทดลอง ปลูกข้าวหลายแบบ ทั้งแปลงหว่าน แปลงดำนาด้วยเครื่อง และแปลงหยอดเมล็ด ทำเปรียบเทียบให้ผู้สนใจเห็นกันจะจะไปเลย

สภาพในไร่ของคุณทองเหมาะ มีการทำสภาพดินให้ดี น้ำดี อากาศดี ในนามีกุ้ง หอย ปู ปลา เต็มไปหมด...

อีกแนวคิดหนึ่งของคุณทองเหมาะ ที่น่าชื่นชม คือ ท่านตั้งใจให้ลูกชายมาเป็นชาวนา ไม่อยากให้ไปเป็นเจ้าคนนายคน ให้กลับมาเป็นนายของตัวเองจะดีกว่า...


นี่คือบรรยากาศภายในไร่ของคุณทองเหมาะ ซึ่งมีแต่เรื่องราวที่ดีๆเกิดขึ้น แต่เรื่องราวที่เป็นปัญหาทั่วๆไปของอาชีพเกษตรกร ในรายการก็ได้หยิบมาสะท้อนเช่นกัน เช่น ปัญหาของเกษตรกรคนอื่นๆ ที่มีปัญหาหนี้สิน จนฆ่าตัวตาย การไม่มีวินัยในการใช้จ่าย ได้เงินจากกองทุนหมู่บ้านแล้วดึงเงินไปโป๊ะหนี้ ธกส. เมื่อครบกำหนดชำระ ก็กู้เงินจากแหล่งอื่นไปโป๊ะอีกแห่ง โป๊ะไปเรื่อยๆ จนดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ.....

นี่คือ ส่วนหนึ่งจากรายการปรากฏการณ์คนที่ออกอากาศทางช่อง 9 ครับ ในช่วงเวลาที่มีรายการทีวีหลายรายการที่น่าสนใจ ทั้งละครและเกมโชว์ของช่องอื่นๆ ที่เรียกความสนใจของแม่บ้าน จนทำให้หลายคนต้องพลาดชมรายการดีๆเช่นนี้ไปอย่างน่าเสียดายครับ

วันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550

ภูมิปัญญาเกษตรผสมผสานสู่วิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง : นายเหรียญ เจียมทอง

พื้นที่การเกษตรในจังหวัดบุรีรัมย์ ดินส่วนใหญ่เป็นดินทราย มีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ต่ำ มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ บริเวณที่ลาดชันมีการกัดเซาะและกัดกร่อนสูง ค่าความเป็นกรดเป็นด่างประมาณ 4.4-5.5 ในฤดูฝน ส่วนใหญ่เกษตรกรใช้พื้นที่ในการปลูกข้าว ซึ่งให้ผลผลิตต่ำ ส่วนที่เหลือถูกทิ้งให้เป็นแปลงป่าละเมาะ หรือป่าปลูกหรือบางแห่งมีการปลูกไม้ยืนต้นให้เห็นอยู่ทั่วไป

ปัญหาความจำกัดของทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะน้ำและคุณสมบัติของดิน ทำให้ นายเหรียญ เจียมทอง สมัครเข้าเป็นหมอดินอาสาของกรมพัฒนาที่ดิน และได้นำพื้นที่ของตนเองเข้าร่วมในโครงการปรับปรุงบำรุงดินของสถานีพัฒนาที่ดินบุรีรัมย์

โดยการริเริ่มการปรับปรุงบำรุงดินด้วยการทำปุ๋ยหมักใช้เอง การปลูกปุ๋ยพืชสด เช่น ถั่วพุ่มดำและถั่วเขียวไถกลบก่อนลงมือปลูกงาดำขายเป็นรายได้เสริมนอกเหนือไปจากการทำไร่มันสำปะหลัง ไร่ปอ และไร่อ้อย ซึ่งยิ่งทำการเกษตรมายาวนานวันเท่าไร ก็สังเกตเห็นว่าดินที่ผ่านการปลูกพืชในบริเวณนั้น หน้าดินเป็นดินแข็ง แน่นทึบ ไม่อุ้มน้ำ



ในปี 2546 จึงได้เริ่มปลูกแฝกตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดินบุรีรัมย์ ซึ่งได้แนะนำเกี่ยวกับหญ้าแฝกมีระบบรากที่ลึก ทนต่อความแห้งแล้งได้ดีและสามารถหยั่งรากลึกทะลุชั้นดินแข็งไปได้ทั้งจะช่วยปรับสภาพดินให้ร่วนซุยดีขึ้นได้ ซึ่งปรากฏว่าในปี 2547 มีฝนทิ้งช่วงที่ยาวนานเกือบ 6 เดือน และหญ้าแฝกที่ปลูกไว้ไม่เจริญเติบโตและตายไปบางส่วน หากแต่บริเวณโคนกอหญ้าแฝกที่รอดชีวิต กลับพบว่าดินร่วนและชุ่มชื้นมากกว่าเมื่อเทียบกับบริเวณที่ไม่มีหญ้าแฝกปกคลุม

บนพื้นที่ประมาณ 60 ไร่ ปัจจุบันได้หันมาทำการเกษตรแบบผสมผสาน คือ นาข้าวหอมมะลิ 16ไ ร่ ขุดบ่อเลี้ยงปลา และปลูกผักสวนครัวและไม้ผลบนขอบบ่อขนาด 2 ไร่ ปลูกปอเทือง 10 ไร่ และปลูกงาดำ 10 ไร่

ลดการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีโดยการผลิตปุ๋ยหมักจากสารเร่ง พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดิน ผลิตปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากสารเร่ง พด.2 ปลูกพืชปุ๋ยสด ปรับปรุงบำรุงดิน เช่น ถั่วพร้า ถั่วพุ่ม ตลอดจนใช้หญ้าแฝกเป็นพืชนำร่องในการฟื้นฟูดิน ที่ผ่านการปลูกอ้อยมาอย่างยาวนานจำนวน 22 ไร่




จากการศึกษาทดลองจนเห็นว่า ดินได้รับการฟื้นฟูตามแนวทางที่ได้รับการฝึกอบรมมาเป็นที่ประจักษ์ชัดแก่บุคคลทั่วไปและได้เผยแพร่ความรู้แก่ชุมชน ประยุกต์ใช้ความรู้จนเป็นผู้นำอาชีพด้านการเกษตรและใช้พื้นที่ของตัวเอง ในการเป็นแหล่งเรียนรู้ด้านการเกษตรของชุมชนในปัจจุบันอีกด้วย โดยได้จัดตั้งกองทุนผลิตปุ๋ยอินทรีย์ และปุ๋ยหมักชีวภาพขนาดกำลังผลิต 300 ตันต่อปี และปุ๋นอินทรีย์น้ำ ขนาดกำลังผลิต 33,000 ลิตรต่อปีพร้อมทั้งสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ด้านการพัฒนาที่ดินประจำอำเภอ จำนวน 12 กลุ่ม ครอบคลุมพื้นที่ทุกตำบลฝยอำเภอคูเมือง จ.บุรีรัมย์ มีสามชิกรวม 600 ราย




นายเหรียญ เจียมทอง
หมอดินอาสาดีเด่นชนะเลิศ กรมพัฒนาที่ดิน ปี 2548
24 หมู่ 2 ตำบลคูเมือง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์

ที่มา ; ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง โดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2550

ปราชญ์เดินดิน พลิกที่ดิน 200 ตารางวา กับแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงจากยังชีพสู่เลี้ยงชีพ.. ความสุขในบ้านที่ไม่หาซื้อที่ไหนไม่ได้...

รายการปราชญ์เดินดินที่ออกอากาศทางช่อง Modern nine TV เมื่อ 25 มี.ค.2550 เวลา 20.30-21.00 น.ได้นำเสนอเรื่องราวของคนที่ล้มเหลวในชีวิตมาก่อนจนเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด แต่แล้ว กลับมาพลิกฟื้นที่ดินเพียง 200 ตารางวา ทำเกษตรผสมผสานได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ

สุรชัย มรกตวิจิตรการ วัย 53 ปี หรือ เฮียแดง ผู้ทำสวนเกษตรผสมผสาน อยู่ที่ อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ เดิมนั้น เขาเป็นพ่อค้าขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป ในปี 2540 เขาเป็นหนี้อยู่ 8-9 แสนบาท ในขณะนั้นมีเงินติดตัว 2800 บาทเท่านั้น จึงลองเสี่ยงโชค นำเงินที่มีอยู่ไปเล่นม้า เล่นการพนัน ซื้อหวย ยิ่งจนมากยิ่งขึ้น

โชคดีที่ได้ลูกสาวเตือนสติ จึงหันมาปรับตัวใหม่ โดยน้อมรับแนวทางของในหลวงมาใช้ในชีวิต ทำสวนเกษตรผสมผสานในที่ดินของเขา

ในรายการ ฉายภาพการให้อาหารกบ น้ำในบ่อกบจะไหลเข้าไปยังบ่อบำบัดซึ่งมีหญ้าแฝกอยู่ด้วย โคลนเลนไปผสมกับขี้หมู กลายเป็นปุ๋ยใส่ต้นไม้ ขี้กบนั้นที่ตกลงสู่บ่อปลา ปลาดุกจะกิน น้ำเสียในบ่อเมื่อบำบัดแล้ว จะปล่อยสู่ธรรมชาติ

พิธีกรสัมภาษณ์แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง เริ่มจากการยังชีพสู่การเลี้ยงชีพ เช่นการปลูกพริก คนในชุมชนเห็นเขาทำแต่ไม่มีใครปลูก เมื่อเกิดความต้องการจึงมาถามซื้อ เมื่อเกิดความต้องการสิ่งใดมากขึ้น ก็ทำสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น

แนวคิดของเฮียแดงอีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ หากไปกู้เงินมาลงทุนอีก คงลำบากกว่านี้

“ความจน จนเพราะอะไร หากเป็นการจนใจนั้น คงแก้ไขยาก
หากเป็นการจนปัญญา จนความรู้ โอกาสของเรายังมี”


ในพื้นที่ 200 ตารางวานั้น เขาทำการเลี้ยงสัตว์ทุกอย่าง ปลูกพืชหลายชนิด เกื้อกูลกันทุกอย่างทั้งพืชและสัตว์ จนไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่มเติมเลย

เขาได้กล่าวถึงแนวคิดหนึ่งของในหลวงที่ว่า
” กระบอกไม้ไผ่ แขนไว้ เมื่อเราได้เงินมาเท่าไหร่ เอาเงินมาหยอดใส่กระบอกไว้ จนถึงวันหนึ่งแกะออกมา จะเป็นเงินก้อนใหญ่เหมือนกัน”

ในแต่ละวันที่ผ่านไป มีผู้คนสนใจมาเยี่ยมคุณสุรชัยตลอดเวลา เชิญไปเป็นวิทยากร เดินสายไปตามที่ต่างๆ

คติเตือนใจหนึ่งที่คุณสุรชัยมอบให้ทุกคน
” ความสุขที่แท้จริงไม่ใช่เงิน แต่ความสุขที่แท้จริง คือ การมีส่วนร่วมระหว่างทุกคนในครอบครัวต่างหาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถใช้เงินซื้อได้”

คุณสุรชัยได้กล่าวถึงหลักเศรษฐกิจพอเพียง กับแนวคิด 5 ข้อ
1. รู้จักพอประมาณ
2. ทำด้วยเหตุด้วยผล
3. การสร้างภูมิคุ้มกัน หาความรู้ทำอาชีพเสริมขึ้นมาจุนเจือ
4. ใช้ความรู้นำหน้าเงิน ไม่ใช้เงินนำหน้า
5. ใช้คุณธรรมนำหน้า .. รวมกลุ่มเอื้ออาทรซึ่งกันและกัน เอาปัญหาของแต่ละคนมาช่วยกันแก้ไข


ระเบิดจากในใจ ทำออกมาจากจิตใจของตนเอง

ปัจจุบันนั้น คุณสุรชัยมีหนี้สินอยู่บ้าง แต่เขามีความสุขมากขึ้น

นี่คือรายละเอียดที่รวบรวมมาได้จากการชมรายการปราชญ์เดินดินในช่วงเวลาดังกล่าว แถมยังมีโฆษณาอีก 3 เบรก ประมาณ 3 นาที ได้รับชมเนื้อหาจริงๆ ราว 20 นาทีเท่านั้น

วันอังคารที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2550

ผู้คิดค้นวิธีผลิตมะม่วงแบบชีวภาพ... ช่วยอนุรักษ์แมงมุมควบคุมสมดุลธรรมชาติ : นายวิเชียร มงคล

แต่เดิมการปลูกมะม่วงในพื้นที่ราบลุ่มของจังหวัดฉะเชิงเทรา เกษตรมักจะยกร่องทำเป็นคันดินเพื่อเป็นการระบายน้ำและเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้ง บนร่องสวนก็จะทำการถางหญ้าไม่ให้มีเศษวัชพืชขึ้นแม้แต่น้อยซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติแบบดั้งเดิมที่ทำกันอยู่ทั่วไปเพื่อให้สวนดูสะอาดสวยงาม

แต่ในปี 2543 นายวิเชียร มงคล ได้ค้นพบวิธีการผลิตมะม่วงแบบชีวภาพ โดยความบังเอิญจากการปลูกพริก กล่าวคือ แต่เดิมได้ปลูกพริกเป็นพืชแซมควบคู่ไปกับการทำสวนมะม่วงเพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริม โดยจะทำการสูบน้ำเข้ามาในร่องสวนให้เต็มช่วงเดือนมกราคม หลังจากนั้นจะใช้น้ำที่สูบไว้เต็มร่องสวน รดพริกและฉีดพ่นยาเคมีทุกๆ 4 วัน น้ำในร่องสวนจะถูกใช้และแห้งภายใน 1 เดือน ซึ่งปกติภายหลังจากเก็บพริกแล้วหากไม่รดน้ำ ใบพริกจะร่วง ในระหว่างที่น้ำแห้งนั้นได้ฉีดพ่นสารชีวภาพที่ผลิตจากสารเร่ง พด.2 ในปริมาณที่เข้มข้นมากเกินไปซึ่งเกิดจากความเข้าใจผิดในเรืองอัตราส่วนที่ใช้ผสมกับน้ำ แต่กลับพบว่าได้ผลดี คือ เมื่อไม่ได้รดน้ำ ใบพริกก็ไม่ร่วงและมีดอกออกมาก จึงมีความเชื่อว่าวิธีชีวภาพเป็นเรื่องมหัศจรรย์สามารถควบคุมเพลี้ยไฟได้

หลังจากนั้นจึงได้ศึกษาอย่างจริงจังและนำมาใช้กับสวนมะม่วง และได้คิดค้นสารสกัดชีวภาพกำจัดเชื้อราสูตรว่านน้ำที่ประกอบด้วย ว่านน้ำ กระเทียม เหล้าขาว ดอง 10 วัน แล้วกรองนำน้ำมาใช้เป็นยาฉีดป้องกันและกำจัดโรคเชื้อราแอนแทรคโนสในมะม่วงได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สารสกัดนี้ยังใช้แช่ผลมะม่วงน้ำดอกไม้สุกที่ผลิตนอกฤดูก่อนนำไปบ่ม โดยใช้ในอัตราส่วน 60 ซีซี ต่อน้ำ 12 ลิตร แช่มะม่วงเป็นระยะเวลานาน 1 ชั่วโมง พบว่า การบ่มมะม่วงจะไม่เสียหายเลยและแผลของผลมะม่วงสุกที่เกิดจากจุดเน่าดำของโรคแอนแทรคโนสก็จะไม่ลุกลามอีกด้วย

ความจริงการใช้สารชีวภาพในส่วนมะม่วงและพริกผลพลอยได้คือเป็นการรักษาชีวิตของแมงมุม ซึ่งเป็นตัวห้ำชนิดหนึ่งในการควบคุมแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติ การที่เราใช้สารเคมีเพื่อกำจัดเพลี้ยไฟจะทำให้กำจัดแมงมุมซึ่งเป็นแมลงที่เป็นประโยชน์ไปด้วย ทำให้การควบคุมสมดุลของธรรมชาติต้องถูกทำลายไป เกษตรกรยิ่งต้องใช้สารเคมีมากขึ้น การฉีดพ่นด้วยวิธีชีวภาพจะทำให้ควบคุมเพลี้ยไฟของมะม่วงได้ ทำให้มะม่วงมีผลที่สวยงาม ผิวสวย ไม่ขรุขระ ซึ่งมะม่วงจากสวนจะขายได้ราคาดี รสชาติอร่อย

สำหรับการบำรุงดินด้วยอินทรีย์วัตถุ เกษตรกรได้รณรงค์ให้สมาชิกลุ่มนำน้ำสกัดชีวภาพจากสารเร่ง พด.2 ไปผสมน้ำราดบริเวณทรงพุ่มมะม่วง จะช่วยปรับสภาพดินให้เป็นกลางและเป็นการช่วยย่อยอินทรียวัตถุในดินให้กลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์ ทำให้ลดการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ได้ครึ่งหนึ่งของจำนวนที่เคยใส่และลดต้นทุนการผลิตเป็นอย่างมาก


นายวิเชียร มงคล
หมอดินอาสาดีเด่นแห่งชาติ สาขาการพัฒนาที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
93 /1 หมู่ที่ 3 ต.คลองเขื่อน กิ่ง อ.คลองเขื่อน จ.ฉะเชิงเทรา

จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันเสาร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2550

แปลงสาธิตเกษตรทฤษฎีใหม่ทำได้ไม่จน : นายมานพ ภาระเปลื้อง

เดิมการปลูกข้าวในพื้นที่ราบลุ่มต่ำบริเวณรอบๆสวนไม้ผลและพริกไทยของเกษตรกรในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี พื้นที่เดิมเป็นดินทรายขาดอินทรีย์วัตถุ ดินมีความเป็นกรด pH 4.0 เกษตรกรปลูกข้าวได้ผลผลิตต่ำประมาณ 30-40 ถัง ต่อไหร่ ซึ่งถือว่าไม่คุ้มค่ากับการลงทุน นายมานพ ภาระเปลื้อง เกษตรกรในอำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ซึ่งมีพื้นที่ทำกินอยู่ 14 ไร่ จึงได้ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการปรับปรุงแปลงนา ทำการเกษตรตมแนวทางทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีการแบ่งที่ดินตามการใช้ประโยชน์ กรมพัฒนาทิดินได้เข้าไปช่วยเหลือดำเนินการขุดสระน้ำเนื้อที่ 4 ไร่ เพื่อให้มีแหล่งน้ำไว้ใช้อย่างพอเพียงสำหรับพื้นที่การเกษตร และได้ยกร่องปลูกพืชผักหลายชนิดแบบผสมผสานพร้อมกับการปรับปรุงบำรุงดินโดยใช้ปุ๋ยพืชสดปอเทือง ปลูกหญ้าแฝกรอบคันดินและปลูกพืชอายุสั้นเช่นฟักทองเป็นรายได้เสริมกับการปลูกแก้วมังกรและพริกไทยเป็นพืชหลัก เกษตรกรได้สมัครเข้ารับการอบรมวิชาความรู้การปรับปรุงบำรุงดินด้วยการเป็นหมอดินอาสาประจำอำเภอของกรมพัฒนาที่ดิน

พื้นที่แปลงเกษตรทฤษฎีใหม่แบ่งเป็นพื้นที่ทำนาข้าว สระน้ำ 4 ไร่ พริกไทย 1 ไร่ แก้วมังกร 8 ไร่ บ่อเลี้ยงกบ และที่อยู่อาศัย 1 ไร่ บริเวณร่องสวนที่ยกร่องขึ้น ดินขาดอินทรียวัตถุและดินมีความเป็นกรดสูง จึงได้ใส่ปูนมาร์ลในอัตรา 1 ตันต่อไร่ ปลูกถั่วพร้า ทำปุ๋ยหมักจากสารเร่ง พด.1 ปุ๋ยอินทรีย์น้ำจากผลไม้ต่างๆจากสารเร่ง พด.2 และสารป้องกันแมลงศัตรูพืชจากการหมักสมุนไพร ตะไค้รหอมด้วยสารเร่ง พด.7 เพื่อใช้สำหรับไล่แมลง ปลูกหญ้าแฝกและนำใบหญ้าปกคลุมร่องสวน ไม่มีการใช้สารเคมีกำจัดวัชพืชแต่จะใช้วิธีการตัดใบ และนำใบวัชพืชคลุมร่องสวน รดพืชที่ปลูกด้วยน้ำที่ผสมสารชีวภาพที่หมักเอง ดำเนินการตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ส่งเสริมอย่างเคร่งครัด และได้รับความเชื่อถือให้เป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับศึกษาดูงานของเกษตรกรและผู้สนใจ

โดยทั่วไปแล้ว แก้วมังกรมีข้อดีคือ เป็นพืชที่ปลูกง่าย ขึ้นได้ดีแม้ในดินเลว เช่น ดินเปรี้ยว เวลาผ่านไปประมาณ 8 เดือน ดินที่ปลูกหญ้าแฝก ใส่ปุ๋ยชีวภาพและฉีดน้ำหมักชีวภาพเริ่มดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน มีหญ้าขึ้นเต็มผิวหน้าดินและเริ่มปลูกพืชอย่างอื่นได้ ให้ผลผลิตอยู่ในเกณฑ์ที่ดี แก้วมังกรขนาด 8 ไร่ ปลูกได้ประมาณ 1,500 ค้าง ให้ผลผลิตประมาณ 4-5 ตันต่อปี มีต้นทุนการผลิตโดยเฉลี่ย 50 บาท ต่อค้างต่อปี ค่าวัสดุปรับปรุงบำรุงดินและอื่นๆประมาณ 1,000 บาทต่อพื้นที่ 8 ไร่ต่อปี คิดเป็นต้นทุนการผลิตประมาณไร่ละ 9,500-10,000 บาทต่อปี มีรายได้จากการขายแก้วมังกรเฉลี่ยปีละ 80,000 – 110,000 บาทต่อปี ยังไม่นับรวมพืชผสมผสาน เช่น พริกไทย พืชอายุสั้น เช่น ฟักทอง และยอดผักอื่นๆปีละ 150,000 บาท




นายมานพ ภาระเปลื้อง
หมอดินอาสาประจำตำบลรำพัน
19/1 หมู่ 7 ต.รำพัน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2550

ครูภูมิปัญญาไทย ผู้ประจักษ์ชัดในวิถีทางการทำนาอินทรีย์ : นายทองเหมาะ แจ่มแจ้ง

อาชีพทำนาเป็นอาชีพที่หลายคนคงไม่คิดว่าจะสร้างความร่ำรวย ให้กับตนเองได้ ลุงทองเหมาะ แจ่มแจ้ง ครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ 4 (สาขาเกษตรกรรม) เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ (สาขาทำนา) ประจำปี 2549 ได้ตั้งปณิธานที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างพอเพียง โดยยึดเป็นอาชีพหลัก ภายหลังจากที่ล้มลุกคลุกคลานกับการตั้งใจที่จะสร้างความร่ำรวยจากการทำโรงสี ไร่มันสำปะหลัง ตัดเย็บเสื้อผ้าและการเป็นช่างตัดผม

จุดหักเหในชีวิต คือ ตอนที่ทำโรงสีได้เห็นคนงานโกยข้าวเป็นลม เพราะได้รับพิษจากการใช้สารเคมีฆ่าเพลี้
ยกระโดดในนาข้าว ซึ่งพิษของสารเคมียังติดไปถึงเมล็ดข้าว จึงทำให้เริ่มหันมาใช้วิธีเกษตรกรรมชาติ ไม่ใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีมาเป็นเวลานานเกือบสิบปีแล้ว

สิ่งที่คิดได้ หากว่าเมื่อต้องเลิกใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีอย่างเด็ดขาด คงต้องหาอะไรมาทดแทน จึงได้เริ่มศึกษาตามแนวทางการใช้จุลินทรีย์ของประเทศญี่ปุ่น โดยเริ่มจากการปรับดินให้กลับไปมีความอุดมสมบูรณ์เหมือนสภาพป่าเปิดใหม่ๆ การหมักฟางข้าว และไม่เผาตอซัง ในที่สุดได้คิดค้นผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์จากป่าเขาใหญ่ น้ำตาไซเบอร์และห้วยขาแข้ง เพื่อนำมาผลิตเป็นน้ำหมักชีวภาพและปุ๋ยอินทรีย์ใช้กับนาข้าวทดแทนปุ๋ยเคมีและสารเคมีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

วิธีการทำน้ำหมักชีวภาพ ก็คือ นำจุลินทรีย์ที่ได้รับการหมักมาร่วมกับรกหมูและกากน้ำตาลนาน 15 วัน นำน้ำหมักที่ได้ จำนวน 0.5-1.0 ลิตรมาผสมในถังน้ำขนาด 20 ลิตร โดยต่อก๊อกที่ก้นถัง สำหรับเปิดตรงช่องปล่อยน้ำเข้านาโดยให้ค่อยๆหยดทีละน้อยๆ กะให้พอดี จะทำให้ข้าวมีใบสีเขียวสดใสอย่างนี้ทุกสัปดาห์จนกว่าข้าวจะมีปรากฏการณ์ใบสีเหลืองครั้งที่ 2

ในการทำนา ลุงทองเหมาะให้ความรู้ว่า เกษตรกรต้องหมั่นสังเกตให้ดีว่าข้าวมีสีเหลืองจากโรคหรือเหลืองเพราะธรรมชาติของข้าว “ชาวนาเดี๋ยวนี้รู้แต่วิธีทำให้ข้าวเขียวอย่างเดียว อย่าใส่ปุ๋ยจนทำให้ข้าวมีใบสีเขียวอยู่ตลอดเวลา” โดย ธรรมชาติแล้วข้าวจะมีการผลัดใบเป็นระยะโดยมีการเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ใบเหลือง 3 ครั้ง ครั้งแรก คือ ตอนที่ข้าวอายุประมาณ 30 วัน ข้าวจะมีใบสีเหลืองเพื่อสลัดใบที่ 1 2 และ 3 ทิ้งแต่ถ้าหากใบที่ 4 เหลืองด้วยแสดงว่าข้าวเป็นโรค เกษตรกรต้องสังเกตว่า ข้าวมีกี่ใบเป็นการเหลืองโดยธรรมชาติหรือเหลืองเพราะเป็นโรคและเหลือง ครั้งที่ 2 เมื่อ “ข้าวอายุ 50-60 วัน โบราณว่าข้าวมีการแต่งตัว” เมือนับใบที่ 4 5 และ 6 ได้ในช่วงนี้ใบข้าวจะผลิตอาหารเพื่อสร้างรวงที่จะเกิดมาทำให้หยุดหาอาหารเลี้ยงใบที่ 1 2 3 ซึ่งจะทำให้ใบเหลือง ซึ่งเป็นธรรมชาติของข้าว “เกษตรกรที่เป็นชาวนาก็ไม่เข้าใจจะเร่งใส่ปุ๋ยมากในช่วงนี้ ทำให้ใบที่ 1 2 3 กลับมาเขียวซึ่งเรียกว่า หลงใบเลย ทำให้ไม่ได้จำนวนเมล็ดต่อรวงมาก” ควรหยุดใส่ปุ๋ยในช่วงนี้และเมื่อพ้นช่วงนี้ไปแล้ว
ก็ให้เร่งใส่ปุ๋ยบำรุงรวงได้ต่อเนื่อง จนเหลืองครั้งที่ 3 คือ ระยะพลับพลึงซึ่งข้าวสุก สามารเก็บเกี่ยวได้เงินและได้เมล็ดเต็มรวง

สำหรับการทำนาข้าวหอมมะลิอินทรีย์ของลุงทองเหมาะ ในพื้นที่ 30 ไร่ จะได้ผลผลิตเฉลี่ย 700 กิโลกรัม นำข้าวเปลือก 1 เกวียน (ตัน) ที่ได้ไปสีเป็นข้าวกล้องได้ 600 กิโลกรัม ผลิตขายเองในราคากิโลกรัมละ 40 บาท ทำให้สามารถมีรายได้ถึงเกวียนละ 24,000 บาท

ในการทำนาข้าวอินทรีย์โดยไม่ต้องใช้สารเคมีกำจัดหอยทำได้โดยใช้วิธีกำจัดหอยเชอรี่ไม่ให้ไข่บ่อย หรือให้จำนวนฟองต่อระจุกไข่ลดลงและทำให้ลูกหอยเจริญเติบโตได้ช้าลงดังนี้ คือ ใช้ส่วนผสมเหล้าขาว 2 ส่วน น้ำส้มสายชู อสร. 1 ส่วน กากน้ำตาล 1 ส่วน และจุลินทรีย์ 1 ส่วน ผสมกันแล้วหมักทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำส่วนผสม 1 ช้อนแกง ผสมกับน้ำเปล่า 5 ลิตร ฉีดพ่น ให้ทั่วแปลงนาหรืออาจจะใช้ส่วนผสม 200 ซีซี กับน้ำเปล่า 20 ลิตร นำไปหยดตรงช่องน้ำเข้านาให้ไหลปะปนไปทั่วแปลงนาภายในหนึ่งวัน เมื่อหอยได้สัมผัสกับน้ำที่มีน้ำหมักผสมอยู่จะทำให้วงจรการไข่ของหอยสะดุดและทำให้ขนาดกระจุกไข่ลดลงจาก 2 นิ้ว เหลือเพียงครึ่งนิ้วเท่านั้น ซึ่งลูกหอยที่เกิดก็เจริญเติบโตช้าปลากินได้ เป็นอาหารทำให้สามารถควบคุมจำนวนหอยและจับไปทำลายได้ง่าย ต่างจากการฆ่าด้วยสารเคมีที่มีฤทธิ์ร้ายแรง เช่น เอนโดซัลแฟน ซึ่งหากหอยที่เหลือรอดชีวิตบางตัวหลุดไปวางไข่ได้คราวละมากๆ ยากแก่การกำจัดโดยปลาหรือศัตรูตามธรรมชาติ

ในทางวิชาการจุลินทรีย์ที่ลุงทองเหมาะผลิตก็คือ จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงชนิดหนึ่งนั่นเอง ซึ่งในประเทศญี่ปุ่นได้มีการนำมาใช้กับนาข้าวอินทรีย์ได้ผลผลิตดีมาก และมีการผลิตขายเป็นการค้าแล้ว มีการนำมาเข้ามาขายในประเทศไทยด้วยในราคาลิตรละ 300-600 บาท จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (photosynthesis bacteria) จะตรึงไนโตรเจนจากอากาศ และทำให้ข้าวได้รับธาตุหรือปุ๋ยในโตรเจนโดยไม่ต้องซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ แต่มีเทคนิคการใช้ก็คือ ดินโดยทั่วไปที่มีสารเคมีจุลินทรีย์ สังเคราะห์แสงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ จำเป็นต้องทำดินให้มีความอุดมสมบูรณ์หรือเว้นการใช้สารเคมีที่มีพิษต่อเซลล์เป็นระยะเวลาประมาณ 3 ปี จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงจึงจะสามารถเจริญเติบโตในนาข้าวได้กิจกรรมที่เกิดจากจุลินทรีย์นี้จึงจะเป็นประโยชน์กับข้าว

สำหรับการเหลืองครั้งที่ 2 ของข้าว ในทางวิชาการเรียกช่วงดังกล่าวว่า ภาวะการสร้างจุดรวงหรือจุด IP ของข้าว (Panicle Initiation) ซึ่งเป็นลักษณะทางกายภาพของข้าวที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงลำต้นภายในหรือการสร้างจุดรวงซึ่งมีระยะเวลาที่แตกต่างกันระหว่าง 40-60 วัน ตามชนิดพันธุ์ข้าวและความสมบูรณ์ของลำต้น เกษตรกรต้องรู้จักพันธุ์ข้าวของตนเองว่า จะสร้างจุดรวงที่เวลากี่วัน หากเกษตรกรให้ปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูงก่อนระยะที่ข้าวจะเกิดจุดรวงก็จะเป็นการไปกระตุ้นการแตกกอและการสร้างสีเขียวและยอดหรือที่เรียกว่า หลงใบ จะทำให้ข้าวรวงเล็กจะมีจำนวนระแง้น้อย ทำให้มีจำนวนเมล็ดต่อรวงน้อย แต่หากเป็นการให้ปุ๋ยที่ตรงจังหวะการสร้างจุดรวงข้าวจะดูดธาตุไนโตรเจนไปสร้างรวงหรือสร้างระแง้แทน เมื่อหนึ่งรวงมีระแง้มากก็จะทำให้จำนวนเมล็ดที่มาเกาะที่ระแง้ได้มากขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นการใส่ปุ๋ยเคมีของเกษตรกรที่จะทำให้ข้าวมีสีเขียวอยู่ตลอดเวลาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเกษตรกรจะได้เมล็ดข้าวอย่างเต็มที่ เพราะข้าวอาจจะหลงใบ

ปัจจุบันลุงทองเหมาะ ได้จัดศูนย์อบรมเกษตรกรและจุดเรียนรู้ 1 ไร่ แก้จนให้กันเกษตรกรและผู้สนใจเข้ามาศึกษาอบรม


นายทองเหมาะ แจ่มแจ้ง
หมอดินอาสากิตติมศักดิ์
52 หมู่ 6 ต.วังหว้า อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี




จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2549

เทคนิคการปรับปรุงบำรุงดินให้พืชผักงาม ลดการใช้ปุ๋ยและสารเคมี : นายขันติ หนูแดง

หากนับระยะทางระหว่างกรุงเทพกับอำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรีแล้ว ด้วยระยะทางเพียงร้อยกิโลเมตรนั้น นับว่าไม่ไกลเกินไปหากต้องมีการขนส่งสินค้าเกษตรที่เน่าเสียง่าย เช่น ผักหลากหลายชนิดตามฤดูกาลมาขายยังตลาดค้าส่งผักสดในกรุงเทพมหานคร

เป็นความโชคดีของคนกรุงเทพฯ และผู้บริโภคบริเวณใกล้เคียงที่ได้บริโภคผักสดปลอดสารพิษชนิดต่างๆ ตามฤดูกาลที่ปลูกจากไร่นาของ นายขันติ หมูแดง หมอดินอาสาที่มีใจมุ่งมั่นเจ้ารับการอบรมในการปรับปรุงบำรุงดินของตัวเองตามแนวทางการส่งเสริมการพัฒนาที่ดินจากสถานีพัฒนาที่ดินลพบุรี

เริ่มต้นการปลูกผักโดยพัฒนาดินรอบแรกด้วยการไถพรวนให้ลึกประมาณ 10 เซนติเมตร จัดการดินให้ร่วนซุยมากที่สุดแล้วหว่านปุ๋ยหมักที่ผลิตจากสารเร่ง พด.1 ของกรมพัฒนาที่ดินเพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ให้กับดินประมาณไร่ละ 1 ต้น และหว่านเมล็ดปุ๋ยพืชสด (ปอเทือง) โดนหว่านให้กระจายทั่วแปลงด้วยอัตราเมล็ดพันธุ์ 8 กิโลกรัมต่อไร่ ให้น้ำทุกวัน

เมื่อปอเทืองออกดอกก็ไถกลบต้นลงดินและให้น้ำทุกวันเป็นเวลา 6 วัน หลังจากนั้นไถครั้งที่ 2 เพื่อช่วยให้มรการย่อยสลายได้ดีขึ้น ทิ้งไว้ 15 วัน จึงเริ่มปลูกพืชผักได้

การปลูกผักนอกจากจะต้องมีการจัดการดินที่ดีแล้ว หลักของการปลูกคือ ให้มีผลผลิตออกไล่เรียงอายุการเก็บเกี่ยวเป็นรุ่นๆไป และต้องให้มีพื้นที่เหลือให้วัชพืชขึ้นบ้างเพื่อให้แมลงศัตรูพืชได้อพยพไปอาศัยอยู่ในช่วงเวลาที่ไถกลบซากต้นผัก มิฉะนั้นแล้วแมลงศัตรูพืชจะไม่มีที่อาศัยและอาหาร ทำให้ต้องเข้าทำลายกัดกินพืชผักที่ปลูกไว้แทน

ในฤดูหนาว เริ่มต้นการปลูกพืชผักด้วยผักที่ชอบอากาศเย็นทุกชนิด เช่น กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มะเขือเทศ

ส่วนในฤดูร้อน บริเวณหน้าดินจะมีอุณหภูมิสูงมาก หากหว่านเมล็ดผักในช่วงนี้เลยจะทำให้เมล็ดที่งอกถูกอากาศร้อนก็จะเหี่ยวเฉา จึงได้ปลูกปอเทืองไว้เป็นแถวเพื่อพรางแสง โดยหว่านห่างกันแถวละ 50 เซนติเมตร แล้วหว่านเมล็ดผักในระหว่างแถวของปอเทืองแทนเมื่อผักที่ปลูกไว้โตขึ้นก็ให้ตัดต้นปอเทืองทิ้งนำมาคลุมหน้าดินโดยไม่ต้องไถพรวน

ในฤดูฝน ความร้อนนั้นลดลงเนื่องจากความชื้นในอากาศมีมากแต่พระอาทิตย์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรหรือพื้นที่ประเทศไทยมากที่สุดในช่วงเดือนกรกฏาคมถึงเดือนสิงหาคม ทำให้แดดหลังฝนตกนั้นร้อนมากและฝนที่ตกในช่วงนี้เป็นฝนเม็ดใหญ่ตามฤดูมรสุม ทำให้เม็ดฝนกระแทกใบผักรุนแรงมากที่สุด การปลูกผักในช่วงนี้ถ้าเป็นผักใบ ใบจะช้ำ และเมื่อใบสัมผัสกับผิวดิน จะทำให้ใบเป็นโรคเน่าได้ง่าย ดังนั้นจึงต้องปลูกพืชคลุมดินด้วยต้นปอเทืองเพื่อไม่ให้ใบผักสัมผัสกับดิน

การจัดการอีกวิธีโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยหมักก็คือ การปลูกพืชตระกูลถั่วก่อนการเก็บเกี่ยวผัก โดยให้เริ่มโรยเมล็ดปอเทืองเป็นแถวในที่ว่างๆ ระยะห่างประมาณ 60 เซนติเมตรระหว่างแถวผัก เมื่อเก็บเกี่ยวซากต้นผักแล้วประมาณ ระยะเวลาให้พอดีกับที่ปอเทืองจะออกดอก แล้วไถกลบเป็นพืชบำรุงดินต่อไป และในการรดน้ำให้ผสมน้ำหมักชีวภาพที่ผลิตจากสารเร่ง พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินด้วยทุกครั้งจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้


นายขันติ หนูแดง
หมอดินอาสาประจำตำบลหนองแขม
19 หมู่ 8 ต.หนองแขม อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี


จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549

ปลูกหญ้าแฝกในสวนพริกไทย แก้จนได้ : นายบุญชัย กิ่งมณี

พื้นที่อำเภอท่าใหม่เป็นพื้นที่ส่งเสริมการปลูกพริกไทยของจังหวัดจันทบุรี อันขึ้นชื่อของประเทศมากว่า 30 ปีแล้ว พริกไทยเป็นพืชส่งออกตั้งแต่ครั้งอดีต สามารถนำเงินตราเข้าประเทศเป็นจำนวนปีละไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท เกษตรกรที่ปลูกพริกไทยในจังหวัดจันทบุรีมักจะได้รับการสั่งสอนจากบรรพบุรุษ ครั้งรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ว่าไม่ควรให้มีวัชพืชขึ้นบริเวณร่องสวนหรือโคนต้น ทั้งนี้เพื่อให้เก็บเกี่ยวง่าย และเป็นการอวดว่า สวนพริกไทยสะอาดสะอ้าน เกษตรกรที่เป็นเจ้าของนั้นมีความขยันขันแข็ง หากสวนของใครปล่อยให้ใบพริกไทยร่วงปกคลุมร่องสวนหรือโคนต้นหรือมีหญ้าขึ้นก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนที่ “เกียจคร้าน”

แนวทางการปฏิบัติดังกล่าว ทำให้ นายบุญชัย กิ่งมณี สังเกตว่า การที่ทำให้ดินเปลือยไม่มีหญ้าหรือวัสดุมาปกคลุมดิน และการที่เกษตรกรได้กวาดใบของพริกไทยออกไปทิ้งแล้วซื้อปุ๋ยเคมีมาใส่ทุกปีอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวดินด้านบนมีความกระด้างเป็น “ดินดาน” ดินขาดอินทรียวัตถุอย่างรุนแรง เมื่อรด น้ำ น้ำไม่สามารถซึมลงไปด้านล่างได้ นานวันเข้าผิวหน้าดินจะแน่นทึบและแข็ง และจะทำให้พริกไทยเป็นโรครากเน่าตายได้ง่าย จึงได้คิดค้นวิธีการที่ทำให้ราก พริกไทยไม่เน่าโดยการปลูกหญ้าแฝกรอบๆหลุมพริกไทย ก่อนที่จะทำพริกไทยมาปลูก ทั้งนี้เพื่อให้จุลินทรีย์ไตรโคเดอมา ซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในบริเวณ รากของหญ้าแฝกได้เจริญและอาศัยอยู่ในดิน และจุลินทรีย์ ไตรโคเดอมาเป็นจุลินทรีย์ชนิดหนึ่งที่สามารถใช้ควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อไฟท็อป- โทร่า ซึ่งเป็นสาเหตุของโรครากเน่าขอวงพริกไทยได้

ในบริเวณสวนพริกไทย ได้มีวิธีการจัดการเสียใหม่โดยการปรับปรุงบำรุงดินด้วยปุ๋ยอินทรีย์บำรุงดินไม่ให้ขาดอินทรีย์วัตถุ ไม่กวาดใบพริกไทยทิ้ง หากแต่ปล่อยไว้ให้เป็นอินทรีย์วัตถุและปกคลุมดิน ปลูกหญ้าแฝกแซมบริเวณร่องสวนเป็นระยะและตัดใบหญ้าแฝกคลุมดินไม่ให้ดินเปลือย และใช้ปุ๋ยชีวภาพซึ่งผลิตเองร่วมกับการใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ และปุ๋ยคอกในการปรับปรุงบำรุงดิน

ปัจจุบัน นายบุญชัยเป็นหมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน และเป็นประธานกลุ่มสาธิตเศรษฐกิจชุมชน (ผลิตพริกไทย) ตำบลรำพัน อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ปลูกพริกไทยที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วประมาณ 6 ไร่ และกำลังขยายพื้นที่ปลูกเพิ่มขึ้นอีกโดยจะเริ่มปรับปรุงบำรุงดินด้วยการปลูกถั่วพร้าและใช้ปุ๋ยอินทรีย์น้ำ จากสารเร่ง พด.2 ของกรมพัฒนาที่ดินและปลูก “หญ้าแฝก” รอบๆหลุมพริกไทยก่อนที่จะมีการปลูกพริกไทยเพื่อป้องกันโรครากเน่าของพริกไทย มีรายได้หลักจาการขายพริกไทยปีละประมาณ 200,000 บาท

นายบุญชัย กิ่งมณี หมอดินอาสาประจำหมู่บ้าน
25/2 หมู่ 7 ตำบลรำพัน อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี

จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

สวรรค์บนดิน....สวรรค์(ในสวน) ของคนเดินดินที่บุรีรัมย์ : นายคำเดื่อง ภาษี

พื้นที่ส่วนใหญ่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มักขึ้นชื่อในเรื่องของความแห้งแล้งอย่างเห็นได้ชัดในช่วงฤดูแล้ง แต่พอถึงฤดูน้ำหลากก็จะมีฝนที่ตกลงมาอย่างมากมายจนบางปีก็เกิดปัญหาน้ำท่วมให้ต้องแก้ไขไม่หยุดหย่อน

พ่อคำเดื่อง ภาษี ปราชญ์ชาวบ้านแห่งจังหวัดบุรีรัมย์ เป็นผู้คิดค้นวิธีการเก็บกักน้ำไว้ใช้ในฤดูแล้งโดยอาศัยความจำกัดของธรรมชาติ กล่าวคือ ในฤดูน้ำท่วมจะมีเศษวัชพืช เช่น จอกลอยตามน้ำมา การนำจอกที่ถูกน้ำพัดพามา กองรวมกันตามโคนต้นไม้ ทำให้ในช่วงฤดูแล้งซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ขาดแคลนน้ำ และต้องใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพหรือประหยัด เมื่อนำน้ำไปรดลงบริเวณโคนต้นไม้ที่ถูกคลุมด้วยจอก รดเพียงแค่พอเปียกก็สามารถรักษาความชุ่มชื้นไว้ได้นานหลายวันเป็นการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพและประหยัด

นอกจากนี้ความคิดยังขยายออกไปถึงการวางแผนว่าทำอย่างไรจึงจะมีอาหารรับประทานอย่างอุดมสมบูรณ์ทุกวันได้ตลอดปีโดยไม่มีอด โดยการวางแผนการออกแบบแปลงเกษตรเสียใหม่ ให้หยิบใช้ง่ายและตอบสนองความต้องการอาหารในแต่ละวัน ในแต่ละช่วงฤดูกาลที่มีความแตกต่างกันอีกด้วย

วิธีการก็คือ คิดและวางแผนว่า ตัวเองชอบทานอะไร ก็จะปลูกสิ่งนั้น และทำความรู้จัก กับพืชทุกต้นที่ปลูกทุกต้นอย่างชนิดที่เรียกว่า “รู้จริง” กล่าวคือ เมื่อเป็นพืชสวนครัวก็ต้องรู้ว่า พืชชนิดนั้นใช้ประโยชน์อย่างไร ต้องการน้ำมากน้อยแค่ไหน ต้องปลูกอย่างไร ไว้ที่ไหนโดยไม่ต้องอาศัยน้ำมาก

ส่วนไม้ดอกชนิดใดปลูกอย่างไรชอบแสงแดดหรือไม่ชอบ เจ้าของชอบไม้ดอกสีอะไร ดอกจะออกในช่วงไหน ดอกมีกลิ่นหอมหรือไม่ และลมในแต่ละฤดูกาลพัดจากทิศไหนไปทิศไหน และต้องพัดผ่านดอกไม้ชนิดใด และต้องปลูกไม้ขนาดใหญ่เพื่อให้อาศัยเป็นร่มเงาในยามที่แดดร้อนจัดอีกด้วย

เมื่อเป็นไม้ผล ก็ต้องเลือกปลูกที่เจ้าของรู้จักชอบรับประทานและจัดวางแผนการปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่

จากการจัดการในเรื่องน้ำและการจัดการแปลงเกษตรตามแบบผสมผสาน รวมทั้งการเลี้ยงปลา ทำให้มีอาหารรับประทานอย่างต่อเนื่องตลอดฤดูกาลไม่อดอยากและมีพื้นที่เขียวชอุ่มตลอดปี โดยที่ไม่ต้องอาศัยน้ำมาก หากแต่ต้องจัดวางระบบให้เหมาะสม เริ่มต้นที่ความคิดแล้วลงมือปฏิบัติและเมื่อเวลาผ่านไป หากเห็นว่าบางสิ่งบางอย่างยังถูกจัดวางไม่เหมาะสมก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปทีละเล็กละน้อย อาศัยเวลาและความรู้และประสบการณ์ที่ได้ รู้จัก กับ ต้นไม้แต่ละชนิด และข้อจำกัดของธรรมชาติ เมื่อเวลาผ่านไป

นายคำเดื่อง ภาษี
ครูภูมิปัญญาชาวบ้าน ผลงานระดับดีเด่นแห่งชาติหลายรางวัล
40 หมู่ 8 บ้านโนนเขวา ต.หัวฝาย
กิ่ง อ.แคนดง จ.บุรีรัมย์

จากหนังสือ “ภูมิปัญญาเกษตรอินทรีย์ตามวิถีชีวิตเศรษฐกิจพอเพียง”
จัดทำโดย กรมพัฒนาที่ดิน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กันยายน 2549

วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2548

ปลาร้าสับนพเกล้าสูตรอาหารชาวบ้านสู่ชาววัง


ปลาร้า....จัดอยู่ในประเภท อาหารตัดแต่งพันธุกรรม หรือ GMOs ชนิดหนึ่ง (ด้วยการที่นำปลามาหมักด้วยเกลือ ทำให้ยีนบางตัวสลายไป และเกิดยีนบางตัวขึ้นมาแทน) ที่บรรพบุรุษไทยได้สืบสาน และ ถ่ายทอดวิธีการบริโภค มาเป็นมรดก

และในการบริโภคนั้น ก็มีการแปรรูปกันไปตามแต่รสนิยม ของแต่ละกลุ่มแต่ละชุมชน ซึ่งอย่างไรก็ยังคงชื่อของมันอยู่ อย่างเช่น น้ำพริกปลาร้า ส้มตำปลาร้า ปลาร้าหลน ปลาร้าสับ ฯลฯ


ส่วนปลาร้าสับ ก็มีจำแนกแจกแจงออกไปอีกหลายสูตร และก็ มีสูตรหนึ่งที่เป็นที่ยอมรับในรสชาติ ซึ่ง ม.ร.ว.สมลาภ กิติยากร เลขานุการ ในพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ได้นำขึ้นโต๊ะเสวย เมื่อเย็นวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมาคือ ปลาร้าสับทรงเครื่องสมุนไพรไทยนพเกล้า


ปลาร้าสับทรงเครื่อง สมุนไพรไทยนพเกล้า นี้ เป็นสูตรของ อาจารย์ศกุนตลา คร้ามอ่ำ หรือ ครูขยะ (ผู้ซึ่งได้เอาเศษวัสดุเหลือใช้ มาแปรรูปเป็นงานหัตถกรรม อย่างเช่นดอกไม้ เกล็ดปลา) โดยการ นำสมุนไพร 9 ชนิด มาเป็นส่วนประกอบ ในการปรุงกับ ปลาร้า คือ ตะไคร้ ใบมะกรูด หอม-แดง กระเทียม ขิง ข่า กระชาย พริก รากผักชี


แล้วนำมาผสมกับปลาร้าสับ เนื้อหมูสับและน้ำมะนาว จากนั้นก็ ลงกระทะคลุกเคล้าด้วยไฟอ่อนๆ ทำให้สุก ซึ่งจะ ใช้เวลานานประมาณ 3 ชั่วโมง จึงจะนำมาเปิบได้ และปลาร้าสับสูตรนี้ สามารถเก็บไว้รับประทาน นานเป็นเดือนๆ โดยใช้บริโภคกับผักสด เช่น ขมิ้นขาว ผักชี ถั่วพลู มะเขือ แตงกวา ฯลฯ เป็นเครื่องเคียง.....


......ถ้าจะให้เก๋หน่อย เอาไข่เค็ม (ไข่แดง) มาผ่าเป็นชิ้นๆ โรยหน้า....ก็จะชวนให้น้ำลายสอ


ในการทำ ปลาร้าสับฯสูตรนี้ ถึงแม้ว่าจะรู้ในส่วนผสม แต่ก็จะต้องรู้ถึงแต่ละชนิดจะใส่ มากน้อยเท่าใด ใส่อะไรก่อนอะไรหลังด้วย จึงจะ แซบ ซึ่ง ครูขยะ ก็ไม่ได้หวงในวิชานี้ พร้อมที่จะถ่ายทอดให้กับผู้ที่สนใจ เพราะเชื่อแน่ว่า อาหารไทยไปนอกนั้น สามารถที่จะเป็นสากล ตั้งบนโต๊ะอาหาร ในต่างประเทศได้ ดั่งที่ ลุง\'รงค์ วงษ์สวรรค์ เขียนว่า....ซ้ายปลาร้า ขวาเนย


หากใครจะใช้ เสน่ห์ปลายจวักให้สามีรักด้วยปลาร้า...ก็ติดต่อเพื่อจะเรียนได้ที่ สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โทร 0-2942-8200-45 ต่อ 2037, 2038 ได้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปในเวลาราชการ...อย่าช้า เพราะห้องเรียนมีเนื้อที่จำกัด.


ปัญญา เจริญวงศ์


วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2548

ภูมิปัญญาไทยใช้ปูนปราบยุง

เจ้าหน้าที่อนามัย พบภูมิปัญญาชาวบ้าน เพียงใช้ปูนกินหมากตากแห้งใส่ในน้ำ ควบคุมโรคไข้เลือดออก ได้อย่างประหยัด และง่ายดาย แถมทำมาหลายปีดีดักแล้ว

เจ้า หน้าที่อนามัยบ้านลานหมาใน จังหวัดนครสวรรค์ ได้เห็นตัวอย่างจากชาวบ้าน เอาปูนกินหมากตากแห้งใส่ภาชนะเก็บน้ำ ป้องกันไม่ให้ยุงลายมาวางไข่ เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว เป็นการป้องกันโรคไข้เลือดออกได้ผล จึงได้ทำการศึกษาประสิทธิภาพ ของปูนกินหมากตากแห้ง ในการป้องกัน และควบคุมโรคไข้เลือดออก
ได้พบว่าปูนกินหมากตากแห้ง มีประสิทธิภาพ ในการลดปริมาณลูกน้ำยุงลาย โดยลดอัตราการวางไข่ของยุงลาย ลดอัตราการฟักตัวของไข่เป็นลูกน้ำยุงลาย และลดอัตราการเจริญเติบโตจากลูกน้ำ ไปเป็นยุงลายตัวเต็มวัย โดยปริมาณปูนตากแห้ง ที่เหมาะสมเท่ากับ 0.106 กรัมต่อลิตร หรือปริมาณ 21 กรัมต่อน้ำฝน 200 ลิตร

การป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือ การกำจัดลูกน้ำยุงลาย โดยทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายไม่ให้ยุงลายวางไข่ แต่เดิมมีการแนะนำให้ใส่ทรายอะเบทว่า เป็นวิธีการที่สะดวกได้ผล ป้องกันได้นาน แต่มีข้อเสียตรงทรายอะเบทมีราคาแพง และจะใช้ให้ได้ผลต้องใส่ครอบคลุมให้ได้ทั่ว อย่างน้อย 80 เปอร์เซ็นต์ของภาชนะใส่น้ำในชุมชน ทุกระยะเวลา 3 เดือน
เมื่อศึกษา เปรียบเทียบค่าใช้จ่าย ระหว่างการใช้ทรายอะเบท กับปูนกินหมากตากแห้ง ได้ตัวเลขว่า การใช้ปูนกินหมากตากแห้ง จะถูกกว่าการใช้ทรายอะเบทถึง 63 เท่า

โดยคุณ : วิทยาการ

ภูมิปัญญาชาวบ้าน : ข้าว 9 เมล็ด

บาทหลวง นิพจน์ เทียมวิหาร พูดถึงภูมิปัญญาชาวบ้านเกี่ยวกับข้าว 9 เมล็ด ในเทปโทรทัศน์รายการ ช่อง 11
ชุมชนเข้มแข็งจังหวัดพะเยา : จะร่วมคิดร่วมทำให้เป็นจริงเป็นจังได้อย่างไร เมื่อต้นเดือนกันยายนศกนี้
นับเป็นครั้งที่สามในชีวิตที่ผู้เขียนได้ยินการนับข้าวเป็นเมล็ด

ครั้งแรกเมื่อตอนเป็นเด็ก แม่บอกว่าตอนที่มีลูก แม่ตั้งจิตอธิษฐานว่าจะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด
แม้ในยามบ้านเมืองคับขันถึงขั้นต้องนับเมล็ดข้าวกิน แม่ก็จะไม่ให้ลูกอด

ครั้งที่สอง เมื่อเร็วๆ นี้เองที่มีการพูดถึงข้าวจีเอ็มโอ ซึ่งก็คือข้าวดัดแปลงพันธุกรรมที่กรมวิชาการเกษตรของไทย
ร่วมกับสถาบันวิจัยการเกษตรเทคโนโลยีชีวภาพเขตร้อนสหรัฐอเมริกา นำเอาข้าวหอมมะลิไปยิงยีน Xa21
เพื่อให้ต้านทานโรคขอบใบแห้ง ขณะนี้กรมวิชาการเกษตรนำข้าวจีเอ็มโอมาปลูกเรียบ ร้อยแล้ว เก็บเกี่ยวได้ 123 เมล็ด
เก็บไว้ที่ศูนย์วิจัยข้าว จ. ปทุมธานี

ข้าวจีเอ็มโอหรือพันธุ์พืชอื่นๆ เช่น ฝ้าย ถั่วเหลือง ข้าวโพด ฯ ที่มีการดัดแปลงพันธุกรรมนี้เป็นเรื่องใหญ่
บ้างก็ว่าทำเพื่อให้พืชแข็งแรงเพื่อเพิ่มผลผลิตมากๆ คนจะได้มีกินไม่ต้องอด บ้างก็ต่อต้าน
บอกว่าพืชจีเอ็มโอนี่แหละที่เป็นมหันตภัยคุกคามชีวิต ที่ว่าจะได้กินน่าจะต้องอดมากกว่า
เพราะจะสร้างปัญหาตามมาเป็นพรวน เช่น ข้าวดัดแปลงพันธุกรรมสามารถจดสิทธิบัตรตามกฎหมาย
กลายเป็นว่าพันธุ์พืชเป็นลิขสิทธิ์ของคนอื่น จะปลูกก็ต้องซื้อพันธุ์ นอกจากนั้น การใช้พันธุ์ข้าวใหม่นอกจากพันธุ์พื้นเมือง
ก็จะมีส่วนทำให้พันธุ์พื้นเมืองสูญหายไปเรื่อยๆ ดังที่เคยเกิดมาแล้ว ส่วนจะมีผลร้ายต่อสุขภาพหรือไม่อย่างไร
ยังถกเถียงกันอยู่ ปัจจุบันสหภาพยุโรปห้ามนำเข้าผลผลิตจากพืชดัดแปลงพันธุกรรม
ในเมืองไทยเราก็เพิ่งจะมีการประท้วงครั้งใหญ่ไปเมื่อเร็วๆ นี้

ส่วนข้าว 9 เมล็ดที่บาทหลวงนิพจน์ เทียมวิหาร กล่าวถึง
ดูจะมีความหมายกว้างขวางทั้งในแง่สิ่งแวดล้อมที่มีผลต่อการบริโภค ในแง่สังคมวัฒนธรรมและในแง่เศรษฐกิจ
เป็น ความหมายในความสัมพันธ์ระหว่างคนกับข้าวที่ลึกซึ้งกว่าข้าวในฐานะเป็นพืช บริโภคเป็นพืชเศรษฐกิจในสองความหมายดังกล่าวข้างต้นมากมายนัก
บาทหลวงนิพจน์บอกว่าข้าว 9 เมล็ด เป็นคติชาวบ้าน บอกปากต่อๆ กันมา ให้ช่วยกันตีความด้วย

คติชาวบ้าน ข้าว 9 เมล็ดในการปลูกข้าวของชาวบ้านในท้องถิ่นจังหวัดพะเยา ตามที่บาทหลวงนิพจน์นำมาบอกเล่า คือ

ข้าวเมล็ดที่ 1 สำหรับการบริโภค
ข้าวเมล็ดที่ 2 สำหรับเลี้ยงครอบครัวตัวเอง
ข้าวเมล็ดที่ 3 สำหรับเลี้ยงเพื่อนบ้าน
ข้าวเมล็ดที่ 4 สำหรับคนยากคนจนมาเยือน
ข้าวเมล็ดที่ 5 สำหรับบวชลูกแก้วของตนเอง
ข้าวเมล็ดที่ 6 สำหรับสร้างบ้านแปงเมือง
ข้าวเมล็ดที่ 7 สำหรับแลกแก้วแหวนเงินทอง
ข้าวเมล็ดที่ 8 สำหรับสร้างสังคมพระศรีอารย์
ข้าวเมล็ดที่ 9 สำหรับทำบุญเผื่อเราตาย

จากคติชาวบ้าน ข้าว 9 เมล็ดนี้ ข้าวสำหรับผู้คนในท้องถิ่นแต่เดิมจึงปลูกเพื่อการบริโภค คือเป็นการกินในความหมายกว้าง
จะตีความไปถึงการเก็บเมล็ดพันธุ์ก็น่าจะได้ เพราะเป็นวิถีของชาวบ้านผู้ปลูกข้าวมานมนานไม่ว่าในภูมิภาคไหน
ที่ต้องเก็บพันธุ์ข้าวไว้เพื่อปลูกในฤดูกาลเพาะปลูกครั้งหน้า การบริโภคจึงจะยั่งยืน
สังเกตได้จากการจักสานสร้างภาชนะตลอดจนยุ้งฉางสำหรับเก็บข้าวและพันธุ์ข้าว
การปลูกข้าวชนิดไม่ได้ปลูกเพื่อบริโภคหรือไม่ได้เก็บเมล็ดพันธุ์เดิม จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตามแต่
ย่อมจะเป็นภัยต่อการบริโภคที่ยั่งยืน เพราะไหนพันธุ์จะกลาย ไหนจะต้องซื้อต้องหา ไหนจะต้องดูแลรักษาตามชนิดพันธุ์
ยิ่งเป็นพืชจีเอ็มโอ มีหลักฐานยืนยันว่าพืชจีเอ็มโอนั้นมาพร้อมๆ กับปุ๋ยและสารเคมีที่ต้องใช้เข้าชุดกัน
ส่งผลไปถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม

ส่วนการกินในความหมายแคบลงมา คือกินในครอบครัว คือข้อ 2 ตามมาด้วยการแบ่งปันเผื่อแผ่ถึงพี่น้องเพื่อนบ้าน
และคนยากคนจนมาเยือน จากนั้นจึงเป็นการกินในงานครอบครัวและสถาบันศาสนา คือ ข้อ 5 ข้อ 8 และข้อ 9

การปลูกข้าวเพื่อการกินเองนี้สำคัญนัก คนในท้องถิ่นให้ข้อมูลในรายการเสวนาวันนั้นว่า เมื่อทำการผลิตพืชเพื่อขาย
ไม่ได้กินเอง ก็จึงใช้สารเคมีและยาฆ่าแมลงขนาดจนที่ว่าเมื่อผลผลิตเหลือจากการขายในตลาด ก็ไม่นำกลับไปบ้านให้หมูกิน
เพราะกลัวหมูจะตาย เป็นต้น

ข้อ 6 การสร้างบ้านแปงเมือง น่าจะหมายถึงร่วมสร้างชุมชนสร้างสังคม
อาจจะหมายความถึงการส่งผลผลิตให้บ้านเมืองด้วย

ในแง่พืชเศรษฐกิจ ข้อ 7 บอกไว้ชัด ในสมัยก่อนที่จะมีการซื้อขายโดยผ่านระบบเงินตรา เรานำสิ่งของมาแลกกัน
ในที่นี้เอาข้าวไปแลกเป็นแก้วแหวนเงินทองได้ เชื่อว่าเงินทองในที่นี้น่าจะหมายถึง โลหะเงินโลหะทอง
ทั้งในลักษณะรูปโลหะและรูปพรรณ ไม่น่าจะใช้
ในความหมายเงินตราอย่างเช่นที่อาจจะเป็นได้อีกหนึ่งความหมายในโลกที่ใช้เงินตราเป็นตัวกลางหลักในการแลกเปลี่ยนอย่างเช่นทุกวันนี้
การแลกเป็นแก้วแหวนเงินทอง ก็คือเป็นการสะสมออมทรัพย์และใช้ประโยชน์ประดับประดาด้วย

ข้าว 9 เมล็ดนี้เป็นคติเตือนใจได้ดีว่า เมื่อปลูกข้าวในเงื่อนไขสังคมที่ยังเป็นการแลกเปลี่ยนไม่ได้ใช้เงินตรา
ไม่ได้ปลูกเพื่อจุดประสงค์เดียว แต่มีหลายจุดประสงค์หลายความหมาย

ผิดจากเมื่อปลูกข้าวในสังคมที่ใช้เงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าได้ทุกอย่างได้
ความหมายในเชิงเดี่ยวคือขายเป็นเม็ดเงิน เงินตราจึงได้กลายมาเป็นความหมายหลัก ส่วนความหมายทางสังคม ทางสิ่งแวด
ล้อมอื่นๆ ก็ด้อยค่าลงและเลือนหายไปในที่สุด

เป็นโจทย์ให้คิดว่าถ้าจะนำภูมิปัญญาข้าว 9 เมล็ดนี้ มาฟื้นฟูปฏิบัติใหม่จะทำได้สักเพียงไหนถ้ายังอยู่ในเงื่อนไขสังคมเงินตรา
ในเงื่อนไขวัฒนธรรมที่ครอบครัวอยู่แยกเป็นแรงงานย้ายถิ่นกันคนละทิศละทาง ไม่ได้กินข้าวด้วยกัน แม้เพื่อนบ้าน
คนยากคนจน ก็ไม่มีเวลาจะเห็นหน้าสบตากัน สร้างบ้านแปงเมืองหรือก็เก็บเป็นเงินภาษี หาใช่การส่งข้าวไปให้ไม่
หรือแม้แต่ตอนตาย การทำบุญก็เหมาบริการอาหารได้สะดวกดาย ไม่เห็นจำเป็นจะต้องปลูกข้าวเก็บข้าวไว้

ภูมิปัญญาจึงเป็นวิถีชีวิต ไม่ใช่เพียงความคิดลอยๆ

จะฟื้นฟูแต่ภูมิปัญญา แต่ไม่เอาวิถีชีวิต จะเป็นไปได้สักกี่มากน้อยแค่ไหน

การใช้เบี้ยและการแลกเปลี่ยนแทนการใช้เงินตราในสังคมชาวกุดชุม
จึงน่าจะมีความหมายส่งผลกว้างไกลทางสังคมและสิ่งแวดล้อม
ลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าเพียงในแง่เศรษฐกิจอย่างแน่นอน
Krungthep Turakij Newspaper
โดยคุณ : สุกัญญา หาญตระกูล