พรปีใหม่ ๒๕๕๘ โดยพระธรรมมงคลญาณ พระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
"สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ วันและเดือนเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว หลวงพ่ออายุก็เข้ามา ๙๕ ปีแล้ว ยังไงก็ตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้แนะนำเราไว้นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องระลึกถึง ว่าปีหนึ่งๆที่ผ่านมา เราได้สร้างอะไรไว้บ้าง ความดีต่างๆจะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นบุคคลที่มีศีลธรรม ศีลธรรมก็ได้แก่ คุณธรรม คุณธรรมเป็นสิ่งที่ปรากฎเป็นผลเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ คุณธรรมเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นคนดี คุณธรรมคือการสร้างประโยชน์ให้เป็นประโยชน์กับตนด้วย กับผู้อื่นด้วย โดยเราต้องละ "อคติ" อคตินั้นไม่ดี ทำให้คนไม่สามัคคีกัน เพราะฉะนั้นต้องลดระดับที่ตัวของเรา อย่าให้มีอคติ ผู้ที่ไม่มีอคติ คือผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็มีสติ เมื่อมีสติก็มีปัญญา
เราไหว้เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเรากล่าว อะระหังสัมมาสัมพุทโธภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ เราไม่ได้กราบไหว้อิฐ หรือปูน ทองเหลือง ทองแดง แต่เราไหว้คุณธรรมของท่าน เราไหว้เพราะพระพุทธองค์ได้ห่างไกลจากกิเลสแล้ว
เมื่อเราว่า สวากขาโต ภะคะสะตาธัมโม ธัมมังนะมัสสามิ. เรากราบไหว้พระธรรม ไม่ได้กราบไหว้ตัวหนังสือ คัมภีร์ใบลาน เรากราบไหว้สิ่งที่ดีงามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี เราได้นอบน้อมกราบไหว้ท่านท่านผู้ที่ปฏิปัตติ เราไม่ได้กราบไหว้เนื้อไหว้หนัง เนื้อหนังคือธาตุ๔ ดินน้ำไฟลมเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา ก่อนพระองค์จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็มีครอบครัว และเป็นกษัตริย์ แต่พระองค์มาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ในเมื่อพระองค์นั่งสมาธิจนกระทั่งสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว รุ่งขึ้นพระองค์ก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าในทันที แต่มีเนื้อมีหนังอันเดิมแต่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราหากประกอบไปด้วยโลภ โกรธ หลง ประกอบไปด้วยความอิจฉาพยาบาท เห็นแก่ตัว มีแต่ลักขโมย โกหกหลอกลวง สารพัดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ดี เมื่อไม่ดีแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี มาอยู่ที่ตัวคนใด คนนั้นก็ไม่ดี ตัวของเราจะดีได้หากสามารถแก้ไข อย่างเช่นพระองคุลีมาล ฆ่าคนมา ๙๙๙คนเกือบครบพันคน เมื่อมาฟังธรรมะจากพระพึทธเจ้าก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ไป อย่างนี้เป็นต้น เมื่อองคุลีมาลได้บรรลุพระอรหันต์แล้วไม่ได้เป็นโจรเหมือนเก่าก็มีแต่คนกราบไหว้บูชา
เพราะฉะนั้นในปีใหม่นี้หลวงพ่อขออวยพรแด่ทุกท่านให้มีความสุขความเจริญ สามารถประกอบกิจการงานให้สำเร็จตามความประสงค์ สิ่งที่เรามีคือสติปัญญานั้นต้องคิดให้รอบคอบ อย่างนี้ว่า..หากเราไม่มีสมาธิแล้ว สติก็ไม่มี หากไม่มีสติแล้ว ปัญญาก็ไม่มี ถ้าเรามีสมาธิ สติก็เกิดขึ้น เมื่อสติเกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น สำคัญคือ เราจะทำยังไงให้เราได้ทำสมาธิ เราจะต้องถือโอกาสว่าในที่ใดสถานที่ใด เป็นสถานที่ที่ทำสมาธิเราจะไปที่นั่น และเราจะไปทำสมาธิที่นั่น เพื่อให้ตัวของเรานี้ ได้กลายเป็นบุคคลที่น่านับถือ และก็เป็นบุคคลดี เมื่อเรามีสมาธิแล้วทุกอย่างดีเอง เพราะฉะนั้นการสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับตัวของเรานั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาใดมันไม่ยาก การทำสมาธิง่ายนิดเดียว แต่หากว่าเราหาสถานที่ทำสมาธิไม่ได้ เราก็ไปหาศูนย์ทำสมาธิที่ไหน เขาไม่รังเกียจ เราไปเขาก็ยิ่งดีใจว่าเราได้คนดีเพิ่มขึ้นแล้ว ไม่มีที่ไหนเขารังเกียจ เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำสมาธิได้แล้ว โอกาสที่เราจะเปลี่ยนเป็นคนดีทำได้ทันที เพราะเหตุว่าสมาธิสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สมาธิเป็นพลังให้เกิดสติ สติจึงเป็นกำลังให้เกิดปัญญา หลวงพ่อต้องการย้ำคำพูดอันนี้ไว้ว่า "เมื่อมีสมาธิก็มีสติ เมื่อมีสติก็มีปัญญา เมื่อขาดสมาธิก็ขาดสติ เมื่อขาดสติก็ขาดปัญญา" เมื่อขาดปัญญาชีวิตก็ล้มเหลว เมื่อมีปัญญาชีวิตก็ไม่ล้มเหลว เมื่อมีสมาธิก็สามารถปรับปรุงตัวของเราได้
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติ พากันพิจารณาให้เห็นรอบคอบว่า ปีหนึ่งผ่านไปพวกเราทำอะไรบ้าง เมื่อยังไม่ทำก็ให้ทำขึ้น ในสุดท้ายนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสพด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พะละ อโรคยา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ พิพัฒธนมงคล ทุกท่านทุกประการเทอญ.
"สวัสดีปีใหม่ ๒๕๕๘ วันและเดือนเลื่อนไปอย่างรวดเร็ว หลวงพ่ออายุก็เข้ามา ๙๕ ปีแล้ว ยังไงก็ตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้แนะนำเราไว้นั้นเป็นสิ่งที่เราต้องระลึกถึง ว่าปีหนึ่งๆที่ผ่านมา เราได้สร้างอะไรไว้บ้าง ความดีต่างๆจะแสดงให้เห็นว่าเราเป็นบุคคลที่มีศีลธรรม ศีลธรรมก็ได้แก่ คุณธรรม คุณธรรมเป็นสิ่งที่ปรากฎเป็นผลเป็นประโยชน์อันยิ่งใหญ่ คุณธรรมเท่านั้นที่แสดงให้เห็นว่า เราเป็นคนดี คุณธรรมคือการสร้างประโยชน์ให้เป็นประโยชน์กับตนด้วย กับผู้อื่นด้วย โดยเราต้องละ "อคติ" อคตินั้นไม่ดี ทำให้คนไม่สามัคคีกัน เพราะฉะนั้นต้องลดระดับที่ตัวของเรา อย่าให้มีอคติ ผู้ที่ไม่มีอคติ คือผู้ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยสมาธิ เมื่อมีสมาธิก็มีสติ เมื่อมีสติก็มีปัญญา
เราไหว้เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเรากล่าว อะระหังสัมมาสัมพุทโธภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อภิวาเทมิ เราไม่ได้กราบไหว้อิฐ หรือปูน ทองเหลือง ทองแดง แต่เราไหว้คุณธรรมของท่าน เราไหว้เพราะพระพุทธองค์ได้ห่างไกลจากกิเลสแล้ว
เมื่อเราว่า สวากขาโต ภะคะสะตาธัมโม ธัมมังนะมัสสามิ. เรากราบไหว้พระธรรม ไม่ได้กราบไหว้ตัวหนังสือ คัมภีร์ใบลาน เรากราบไหว้สิ่งที่ดีงามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ดีแล้ว พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี เราได้นอบน้อมกราบไหว้ท่านท่านผู้ที่ปฏิปัตติ เราไม่ได้กราบไหว้เนื้อไหว้หนัง เนื้อหนังคือธาตุ๔ ดินน้ำไฟลมเท่านั้น พระพุทธเจ้าก็เป็นคนเหมือนกันกับเรา ก่อนพระองค์จะมาเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็มีครอบครัว และเป็นกษัตริย์ แต่พระองค์มาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะมานั่งสมาธิอยู่ใต้ต้นโพธิ์ ในเมื่อพระองค์นั่งสมาธิจนกระทั่งสามารถกำจัดกิเลสได้แล้ว รุ่งขึ้นพระองค์ก็กลายเป็นพระพุทธเจ้าในทันที แต่มีเนื้อมีหนังอันเดิมแต่ได้เป็นพระพุทธเจ้า ฉันใดก็ฉันนั้น คนเราหากประกอบไปด้วยโลภ โกรธ หลง ประกอบไปด้วยความอิจฉาพยาบาท เห็นแก่ตัว มีแต่ลักขโมย โกหกหลอกลวง สารพัดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ดี เมื่อไม่ดีแล้วไปอยู่ที่ไหนก็ไม่ดี มาอยู่ที่ตัวคนใด คนนั้นก็ไม่ดี ตัวของเราจะดีได้หากสามารถแก้ไข อย่างเช่นพระองคุลีมาล ฆ่าคนมา ๙๙๙คนเกือบครบพันคน เมื่อมาฟังธรรมะจากพระพึทธเจ้าก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ไป อย่างนี้เป็นต้น เมื่อองคุลีมาลได้บรรลุพระอรหันต์แล้วไม่ได้เป็นโจรเหมือนเก่าก็มีแต่คนกราบไหว้บูชา
เพราะฉะนั้นในปีใหม่นี้หลวงพ่อขออวยพรแด่ทุกท่านให้มีความสุขความเจริญ สามารถประกอบกิจการงานให้สำเร็จตามความประสงค์ สิ่งที่เรามีคือสติปัญญานั้นต้องคิดให้รอบคอบ อย่างนี้ว่า..หากเราไม่มีสมาธิแล้ว สติก็ไม่มี หากไม่มีสติแล้ว ปัญญาก็ไม่มี ถ้าเรามีสมาธิ สติก็เกิดขึ้น เมื่อสติเกิดขึ้น ปัญญาก็เกิดขึ้น สำคัญคือ เราจะทำยังไงให้เราได้ทำสมาธิ เราจะต้องถือโอกาสว่าในที่ใดสถานที่ใด เป็นสถานที่ที่ทำสมาธิเราจะไปที่นั่น และเราจะไปทำสมาธิที่นั่น เพื่อให้ตัวของเรานี้ ได้กลายเป็นบุคคลที่น่านับถือ และก็เป็นบุคคลดี เมื่อเรามีสมาธิแล้วทุกอย่างดีเอง เพราะฉะนั้นการสร้างสมาธิให้เกิดขึ้นกับตัวของเรานั้นไม่ว่าจะเป็นเวลาใดมันไม่ยาก การทำสมาธิง่ายนิดเดียว แต่หากว่าเราหาสถานที่ทำสมาธิไม่ได้ เราก็ไปหาศูนย์ทำสมาธิที่ไหน เขาไม่รังเกียจ เราไปเขาก็ยิ่งดีใจว่าเราได้คนดีเพิ่มขึ้นแล้ว ไม่มีที่ไหนเขารังเกียจ เพราะฉะนั้นเมื่อเราทำสมาธิได้แล้ว โอกาสที่เราจะเปลี่ยนเป็นคนดีทำได้ทันที เพราะเหตุว่าสมาธิสามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ สมาธิเป็นพลังให้เกิดสติ สติจึงเป็นกำลังให้เกิดปัญญา หลวงพ่อต้องการย้ำคำพูดอันนี้ไว้ว่า "เมื่อมีสมาธิก็มีสติ เมื่อมีสติก็มีปัญญา เมื่อขาดสมาธิก็ขาดสติ เมื่อขาดสติก็ขาดปัญญา" เมื่อขาดปัญญาชีวิตก็ล้มเหลว เมื่อมีปัญญาชีวิตก็ไม่ล้มเหลว เมื่อมีสมาธิก็สามารถปรับปรุงตัวของเราได้
เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติ พากันพิจารณาให้เห็นรอบคอบว่า ปีหนึ่งผ่านไปพวกเราทำอะไรบ้าง เมื่อยังไม่ทำก็ให้ทำขึ้น ในสุดท้ายนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายจงประสพด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พะละ อโรคยา ปฏิภาณ ธนสารสมบัติ พิพัฒธนมงคล ทุกท่านทุกประการเทอญ.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น