บนขบวนรถไฟคันหนึ่งที่มุ่งสู่มณฑลซีอัน
พนักงานเก็บตั๋วสาวสวยนางหนึ่งกำลังยืนจ้องชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวปอนๆเหมือนกรรมกรชนชั้นแรงงาน
“ตรวจตั๋ว!” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เชิดสูง
เขารีบคลำหาตั๋วรถที่กระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง และเมื่อเจอตั๋วก็กำไว้ในมือ
เธอมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจและก็ยิ้มเยาะ
“นี่มันตั๋วเด็กนี่นา!”
ชายวัยกลางคนหน้าแดงด้วยความอาย พูดออกมาด้วยเสียงสลดว่า
“”ตั๋วเด็กกับตั๋วคนพิการไม่ใช่ราคาเดียวกันหรือครับ?
เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“คุณเป็นคนพิการเหรอ!”
น้ำเสียงยังคงเชิดสูง
“เอาบัตรประตัวคนพิการออกมาให้ฉันดูหน่อยสิ!”
ประโยคนี้ของเธอ ทำให้เขาร้อนรนขึ้นมาทันที
“เอ่อ ผม เอ่อ ไม่มีบัตรคนพิการครับ ตอนที่ซื้อตั๋ว คุณเจ้าหน้าที่บอกผมว่าเมื่อไม่มีบัตรคนพิการก็จะออกตั๋วเด็กให้ครับ!”
เธอหัวเราะหึหึในลำคอ
“เมื่อไม่มีบัตรประจำตัวผู้พิการ แล้วเอาอะไรมายืนยันว่าคุณเป็นคนพิการล่ะ?”
เขาไม่ได้ตอบว่าอะไร ได้แต่ถลกขากางเกงให้เธอเห็นถึงขาของเขาที่ขาดไปข้างหนึ่ง
“ฉันต้องการบัตรยืนยัน ว่าคุณเป็นคนพิการจริงๆ!”
เธอพูดออกมาทั้งๆที่ก็เห็นว่าเขาขาขาด
เขามองเธออย่างวิงวอนขอความเห็นใจ
“ทะเบียนบ้านผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ทางการก็เลยไม่ออกบัตรให้กับผม ผมก็ทำงานที่โรงงานเล็กๆแห่งหนึ่ง พอเกิดเรื่องเจ้านายก็หนีหายหน้าไปไม่ยอมรับผิดชอบ ผมไม่มีเงินไปรักษาที่โรงพยาบาลก็เลยไม่มีหลักฐานยืนยันครับ”
เมื่อเจ้าพนักงานรักษารถซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้ยินเข้าก็เข้ามาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายวัยกลางคนได้บอกแก่เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นว่า ตนเองคือคนพิการและได้ซื้อตั๋วเด็กที่มีราคาเดียวกันกับตั๋วคนพิการ
“บัตรประจำตัวผู้พิการของคุณล่ะ?”
“ผมไม่มีบัตรคนพิการ”
จากนั้นก็ถลกกางเกงให้เจ้าหน้าที่ดู
เจ้าหน้าที่รักษารถไม่แม้แต่จะชายตาแลดู กลับกระแทกเสียงใส่ว่า
“เราต้องการหลักฐานยืนยันเท่านั้น หากคุณมีบัตรคนพิการมายืนยันคุณก็ไม่ต้องตีตั๋วเพิ่ม หากไม่มีคุณก็ต้องทำตามกฎ!”
ชายวัยกลางคนลุกลี้ลุกลน ควานหาเงินในกระเป็นกางเกงและกระสอบสัมภาระ แต่เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อตั๋วเพิ่มได้ เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ชายด้วยเสียงสะอื้น
“ตั้งแต่ผมถูกเครื่องจักรตัดขา ผมก็ไม่ได้ทำงานอีกเลย ผมไม่มีเงิน แม้แต่เงินซื้อตั๋วกลับบ้านผมยังไม่มีเลย ส่วนตั๋วเด็กใบนี้เพื่อนๆก็รวมเงินกันซื้อให้ผม ขอความกรุณาถือว่าทำทานกับคนพิการเถอะครับ...”
“ไม่ได้หรอก กฎก็ต้องเป็นกฎ!”
เจ้าหน้าที่ชายยืนยันคำเดิม
พนักงานตรวจตั๋วรีบพูดขึ้นแทรกว่า
“ให้เขาไปนั่งที่ห้องสัมภาระไหมคะ ถือว่าทำทาน คิดเสียว่าเขาเป็นพนักงานบนรถคนหนึ่ง”
พนักงานรักษารถได้ฟังดังนั้น ก็พยักหน้าบอกว่าได้
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามกับชายพิการนิ่งทนดูอยู่เป็นเวลานานก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขายืนขึ้นและก็จ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่ชายด้วยสายตารังเกียจ
“คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า?” ชายชราถามออกไป
“มันเกี่ยวอะไรกับผมเป็นผู้ชายหรือไม่เป็นผู้ชาย!” เขาถามออกไปแบบไม่เข้าใจ
“ก็บอกผมมาสิ ว่าคุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า” ชายชราเริ่มเสียงดัง
“ผมก็เป็นผู้ชายนะสิถามได้” เขาตอบเสียงดังออกไปเหมือนกัน
“แล้วคุณเอาอะไรมายืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย? ผมของดูหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชายให้ทุกคนบนรถนี้ดูหน่อยได้ไหม”
เสียงหัวเราะของผู้โดยสารก็ดังขึ้นมา
เจ้าหน้าที่มองชายชราอย่างงงๆแล้วพูดว่า
“คุณก็รู้ ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ผมจะเป็นผู้ชายปลอมได้ยังไง?”
ชายชราส่ายหน้าไปมา
“ผมก็เหมือนพวกคุณทั้งสองเมื่อสักครูนี้ ผมต้องการบัตรยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย มีบัตรยืนยันถึงเป็นผู้ชายแท้ ไม่มีบัตรยืนยันคุณก็ไม่ใช่ผู้ชายจริง!”
เจ้าหน้าที่ชายได้แต่ยืนมองชายชรา ไม่รู้จะพูดอะไร
พนักงานสาวเห็นหัวหน้าเริ่มจนมุม จึงเข้ามาช่วยเบี่ยงประเด็น
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ลุงมีอะไรพูดกับฉันก็ได้”
ชายชราชี้หน้าหญิงสาวแล้วพูดว่า
“เธอนี่ไม่น่าจะใช่คนนะ”
เธอได้ฟังก็ปรี๊ดแตก พูดออกมาด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า
“หน๊อย! ตาแก่ พูดให้ดีๆนะ ฉันไม่ใช่คนแล้วฉันจะเป็นอะไรห๊า? ”
ชายชรามองเธอด้วยสายตาแน่นิ่ง
“เธอเป็นคนเหรอ? ถ้างั้นขอดูบัตรยืนยันหน่อยได้ไหม”
คนทั้งขบวนหัวเราะพร้อมกันขึ้นมาอีกครั้ง
มีเพียงคนเดียวที่ตอนนี้ไม่ได้หัวเราะไปกับเขาด้วย เขาคนนั้นก็คือชายขาพิการ เขาได้แต่นิ่งมองการสนทนาของชายชราและเจ้าหน้าที่ จู่ๆน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้สึกอดสูใจ หรือซาบซึ้ง หรือเคียดแค้นชิงชัง
……………………………
น้ำเอ๋ยน้ำใจ อลุ่มอะหล่วยกันได้ก็จงมอบให้กันไป
อย่าเอากฎหมายมาบดบังมโนธรรม หากเป็นญาติของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
หัวโขนที่คุณสวมใส่อยู่นี้ จะอยู่กับคุณได้นานสักแค่ไหน?
จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา เคารพเขาเขาย่อมเคารพตอบ
พนักงานเก็บตั๋วสาวสวยนางหนึ่งกำลังยืนจ้องชายวัยกลางคนคนหนึ่ง ซึ่งแต่งตัวปอนๆเหมือนกรรมกรชนชั้นแรงงาน
“ตรวจตั๋ว!” เธอพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เชิดสูง
เขารีบคลำหาตั๋วรถที่กระเป๋าเสื้อและกระเป๋ากางเกง และเมื่อเจอตั๋วก็กำไว้ในมือ
เธอมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจและก็ยิ้มเยาะ
“นี่มันตั๋วเด็กนี่นา!”
ชายวัยกลางคนหน้าแดงด้วยความอาย พูดออกมาด้วยเสียงสลดว่า
“”ตั๋วเด็กกับตั๋วคนพิการไม่ใช่ราคาเดียวกันหรือครับ?
เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“คุณเป็นคนพิการเหรอ!”
น้ำเสียงยังคงเชิดสูง
“เอาบัตรประตัวคนพิการออกมาให้ฉันดูหน่อยสิ!”
ประโยคนี้ของเธอ ทำให้เขาร้อนรนขึ้นมาทันที
“เอ่อ ผม เอ่อ ไม่มีบัตรคนพิการครับ ตอนที่ซื้อตั๋ว คุณเจ้าหน้าที่บอกผมว่าเมื่อไม่มีบัตรคนพิการก็จะออกตั๋วเด็กให้ครับ!”
เธอหัวเราะหึหึในลำคอ
“เมื่อไม่มีบัตรประจำตัวผู้พิการ แล้วเอาอะไรมายืนยันว่าคุณเป็นคนพิการล่ะ?”
เขาไม่ได้ตอบว่าอะไร ได้แต่ถลกขากางเกงให้เธอเห็นถึงขาของเขาที่ขาดไปข้างหนึ่ง
“ฉันต้องการบัตรยืนยัน ว่าคุณเป็นคนพิการจริงๆ!”
เธอพูดออกมาทั้งๆที่ก็เห็นว่าเขาขาขาด
เขามองเธออย่างวิงวอนขอความเห็นใจ
“ทะเบียนบ้านผมไม่ได้อยู่ที่นี่ ทางการก็เลยไม่ออกบัตรให้กับผม ผมก็ทำงานที่โรงงานเล็กๆแห่งหนึ่ง พอเกิดเรื่องเจ้านายก็หนีหายหน้าไปไม่ยอมรับผิดชอบ ผมไม่มีเงินไปรักษาที่โรงพยาบาลก็เลยไม่มีหลักฐานยืนยันครับ”
เมื่อเจ้าพนักงานรักษารถซึ่งอยู่ไม่ไกลนักได้ยินเข้าก็เข้ามาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายวัยกลางคนได้บอกแก่เจ้าหน้าที่ชายคนนั้นว่า ตนเองคือคนพิการและได้ซื้อตั๋วเด็กที่มีราคาเดียวกันกับตั๋วคนพิการ
“บัตรประจำตัวผู้พิการของคุณล่ะ?”
“ผมไม่มีบัตรคนพิการ”
จากนั้นก็ถลกกางเกงให้เจ้าหน้าที่ดู
เจ้าหน้าที่รักษารถไม่แม้แต่จะชายตาแลดู กลับกระแทกเสียงใส่ว่า
“เราต้องการหลักฐานยืนยันเท่านั้น หากคุณมีบัตรคนพิการมายืนยันคุณก็ไม่ต้องตีตั๋วเพิ่ม หากไม่มีคุณก็ต้องทำตามกฎ!”
ชายวัยกลางคนลุกลี้ลุกลน ควานหาเงินในกระเป็นกางเกงและกระสอบสัมภาระ แต่เขาไม่มีเงินพอที่จะซื้อตั๋วเพิ่มได้ เขาพูดกับเจ้าหน้าที่ชายด้วยเสียงสะอื้น
“ตั้งแต่ผมถูกเครื่องจักรตัดขา ผมก็ไม่ได้ทำงานอีกเลย ผมไม่มีเงิน แม้แต่เงินซื้อตั๋วกลับบ้านผมยังไม่มีเลย ส่วนตั๋วเด็กใบนี้เพื่อนๆก็รวมเงินกันซื้อให้ผม ขอความกรุณาถือว่าทำทานกับคนพิการเถอะครับ...”
“ไม่ได้หรอก กฎก็ต้องเป็นกฎ!”
เจ้าหน้าที่ชายยืนยันคำเดิม
พนักงานตรวจตั๋วรีบพูดขึ้นแทรกว่า
“ให้เขาไปนั่งที่ห้องสัมภาระไหมคะ ถือว่าทำทาน คิดเสียว่าเขาเป็นพนักงานบนรถคนหนึ่ง”
พนักงานรักษารถได้ฟังดังนั้น ก็พยักหน้าบอกว่าได้
ชายชราคนหนึ่งที่นั่งตรงข้ามกับชายพิการนิ่งทนดูอยู่เป็นเวลานานก็ทนไม่ได้อีกต่อไป เขายืนขึ้นและก็จ้องมองไปที่เจ้าหน้าที่ชายด้วยสายตารังเกียจ
“คุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า?” ชายชราถามออกไป
“มันเกี่ยวอะไรกับผมเป็นผู้ชายหรือไม่เป็นผู้ชาย!” เขาถามออกไปแบบไม่เข้าใจ
“ก็บอกผมมาสิ ว่าคุณเป็นผู้ชายหรือเปล่า” ชายชราเริ่มเสียงดัง
“ผมก็เป็นผู้ชายนะสิถามได้” เขาตอบเสียงดังออกไปเหมือนกัน
“แล้วคุณเอาอะไรมายืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย? ผมของดูหลักฐานที่ยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชายให้ทุกคนบนรถนี้ดูหน่อยได้ไหม”
เสียงหัวเราะของผู้โดยสารก็ดังขึ้นมา
เจ้าหน้าที่มองชายชราอย่างงงๆแล้วพูดว่า
“คุณก็รู้ ผมเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ผมจะเป็นผู้ชายปลอมได้ยังไง?”
ชายชราส่ายหน้าไปมา
“ผมก็เหมือนพวกคุณทั้งสองเมื่อสักครูนี้ ผมต้องการบัตรยืนยันว่าคุณเป็นผู้ชาย มีบัตรยืนยันถึงเป็นผู้ชายแท้ ไม่มีบัตรยืนยันคุณก็ไม่ใช่ผู้ชายจริง!”
เจ้าหน้าที่ชายได้แต่ยืนมองชายชรา ไม่รู้จะพูดอะไร
พนักงานสาวเห็นหัวหน้าเริ่มจนมุม จึงเข้ามาช่วยเบี่ยงประเด็น
“ฉันไม่ใช่ผู้ชาย ลุงมีอะไรพูดกับฉันก็ได้”
ชายชราชี้หน้าหญิงสาวแล้วพูดว่า
“เธอนี่ไม่น่าจะใช่คนนะ”
เธอได้ฟังก็ปรี๊ดแตก พูดออกมาด้วยเสียงอันแหลมเล็กว่า
“หน๊อย! ตาแก่ พูดให้ดีๆนะ ฉันไม่ใช่คนแล้วฉันจะเป็นอะไรห๊า? ”
ชายชรามองเธอด้วยสายตาแน่นิ่ง
“เธอเป็นคนเหรอ? ถ้างั้นขอดูบัตรยืนยันหน่อยได้ไหม”
คนทั้งขบวนหัวเราะพร้อมกันขึ้นมาอีกครั้ง
มีเพียงคนเดียวที่ตอนนี้ไม่ได้หัวเราะไปกับเขาด้วย เขาคนนั้นก็คือชายขาพิการ เขาได้แต่นิ่งมองการสนทนาของชายชราและเจ้าหน้าที่ จู่ๆน้ำตาก็ไหลอาบแก้ม ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเขารู้สึกอดสูใจ หรือซาบซึ้ง หรือเคียดแค้นชิงชัง
……………………………
น้ำเอ๋ยน้ำใจ อลุ่มอะหล่วยกันได้ก็จงมอบให้กันไป
อย่าเอากฎหมายมาบดบังมโนธรรม หากเป็นญาติของเรา เราจะรู้สึกอย่างไร
หัวโขนที่คุณสวมใส่อยู่นี้ จะอยู่กับคุณได้นานสักแค่ไหน?
จงเอาใจเขามาใส่ใจเรา เคารพเขาเขาย่อมเคารพตอบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น