ๆ ฝ่าย นับตั้งแต่ผู้ชุมนุมเรียกร้องที่ในที่สุดกลายเป็นผู้ก่อการร้ายและรู้สึกว่าแพ้
เช่นเดียวกับรัฐบาล
แม้จะสามารถจัดการกับปัญหาการชุมนุมที่ยืดเยื้อเรื้อรังได้
แต่ก็รู้สึกเจ็บปวดในท่ามกลางความรู้สึกของบางคนว่า
ถึงทำการขอพื้นที่คืนได้สำเร็จ แต่ก็เป็นความเจ็บปวดของผู้ปกครอง
หรือพ่อแม่ที่ดูแลแก้ปัญหาลูกทะเลาะกันจนเกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่เปรียบเหมือนลูก
ความเจ็บปวดของคนที่ไม่ได้อยู่ในกระบวนความขัดแย้ง
แต่ถูกกระทำจากอารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่ขัดแย้ง จนเกิดความสูญเสียอาคาร
ทรัพย์สินต่างๆ
และแม้แต่คนที่ไม่ได้สูญเสียในแง่เงินทอง
แต่เจ็บปวดที่เห็นคนไทยไม่รักกัน
ภาพของ ขอนแก่นโมเดล ที่มีคนเรียกขาน
ที่เกิดจากกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไม่พอใจรัฐ
ตั้งด่านตรวจค้นทหารและตำรวจปิดถนน
ขวางรถไฟจนเกิดเป็นต้นแบบของขอนแก่นโมเดลที่หลายๆ
จังหวัดมีการลอกเลียนแบบ ทำให้ดูเหมือนสภาพรัฐล้มเหลวหรือ fail state
ก็ยังเป็นที่จดจำกันได้
แต่มีขอนแก่นโมเดลที่เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2552 ต่อต้นปี 2553
เกิดขึ้นที่จังหวัดขอนแก่นที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น
แต่ไม่ดังเท่ากับขอนแก่นโมเดลแบบที่เพิ่งเกิด
อะไรหรือคือ
ขอนแก่นโมเดลเชิงสร้างสรรค์ที่เวลานี้วงการแพทย์และสาธารณสุขกำลังถอดบทเรียนและเรียนรู้เพื่อนำไปปฏิบัติ
คงจะจำกันได้ว่า
เมื่อต้นปีนี้มีข่าวการผ่าตัดต้อกระจกผู้ป่วย 25 ราย
และเกิดการติดเชื้อจนทำให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นจำนวนถึง 10-11 ราย
แต่ทำไมข่าวที่เกิดขึ้นจึงไม่เป็นข่าวยืดเยื้อต่อเนื่องในสื่อต่างๆ
เหมือนกรณีคุณดลพรหรือปรียานันท์หรือกรณีดอกรักและอื่นๆ
ทันทีที่เกิดเหตุการณ์ความผิดพลาดขึ้น
แทนที่โรงพยาบาลจะจ้องเอาผิดใครว่า "ใครวะๆ" เหมือนกรณีอื่นๆ
ท่านผู้อำนวยการโรงพยาบาล คุณหมอวีระพันธ์ สุพรรณไชยมาตย์ คนไทยตัวอย่าง
ได้เรียกประชุมแพทย์และพยาบาล และพูดว่า
"สงสัยว่าเราต้องแสดงความรับผิดชอบ"
และคุณหมอวีระพันธ์ก็ได้ทำจริงๆ จนเกิดเป็น "ขอนแก่นโมเดล" อีกแบบหนึ่ง
สิ่งแรกที่โรงพยาบาลทำคือ
ส่งพยาบาลที่เชี่ยวชาญการแก้ปัญหาความขัดแย้งและเจรจาไกล่เกลี่ย
(Negotiation) ที่ไม่ใช่การต่อรอง (Bargain)
และไม่ใช่การเกลี้ยกล่อมมาเจรจา
โชคดีที่คุณพิมพ์วรา อัครเธียรสิน พยาบาลของโรงพยาบาล
ได้ผ่านการอบรมการแก้ปัญหาความขัดแย้งและเจรจาไกล่เกลี่ยและได้มีประสบการณ์หลายกรณี
จนหลักสูตรไกล่เกลี่ยของสถาบันพระปกเกล้าได้เชิญมาเป็นผู้บรรยายพิเศษ
โดยเฉพาะรู้จัก "ฟังอย่างตั้งใจ" และการ "ขอโทษอย่างแท้จริง " (True
Apology) ได้มาพบกับผู้ป่วยและญาติผู้ป่วยทั้งสิบเอ็ดราย
และในที่สุดจากการเยียวยาทางจิตใจ และให้ค่าชดเชยสมควรกับกรณี
โดยโรงพยาบาลยินดีที่จะดูแลผู้ป่วยแต่ละคนอย่างดีที่สุดต่อจากนี้ไป
ทำให้บรรเทาความเจ็บปวดทั้งทางกายและทางใจจนผู้ป่วยที่สูญเสียดวงตาให้อภัยและกลับมาบอกหมอผู้ผ่าตัดให้กำลังใจด้วยความเข้าใจว่า
"หมออย่าเพิ่งท้อแท้นะ "
จะเห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกรณี "ขอนแก่นโมเดล"
ที่เกิดที่โรงพยาบาลศูนย์
น่าจะเป็นรูปแบบที่ดีให้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้น
ที่เกิดความเจ็บปวดขึ้น
การเข้าไปดูแลและเยียวยาให้เกิดขึ้น
น่าจะต้องทำด้วยความเข้าใจกันและกัน "รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา"
เหมือนกรณีหมอกับคนไข้หรือไม่
การรู้จักหันหน้ามาเจรจากันที่ไม่ใช่การเอาแพ้เอาชนะกัน
แน่นอนคนที่ทำผิดและพิสูจน์ได้ว่าตั้งใจกระทำให้เกิดการสูญเสียจะต้องถูกลงโทษ
แต่การเยียวยา รู้จักฟังกัน
และหันหน้ามาเจรจาไกล่เกลี่ยหรือสานเสวนาหาทางออกร่วมกันในผู้ที่ไมได้ตั้งใจ
และมีความเห็นต่างโดยบริสุทธิ์ใจน่าจะใช้กระบวนการที่ผู้ที่รู้และเข้าใจการประสานอย่างแท้จริง
เหมือนเช่นกรณีขอนแก่นโมเดลหันหน้ามาเจรจาหรือสานเสวนาหาทางออก
(deliberation) หากใช้คนที่ไม่รู้กระบวนการแก้ปัญหา
ไม่เข้าใจการเจรจาไกล่เกลี่ย
ได้แต่ต่อรองหรือเกลี่ยกล่อมหรือใช้คนที่ฟังคนอื่นเพียงเพื่อจะหาช่องว่างข้อบกพร่อง
ไม่รู้จักการขอโทษอย่างแท้จริง การให้อภัย การฟื้นคืนดี
และการสมานฉันท์อย่างแท้จริงก็คงไม่เกิดขึ้น
กระบวนการสร้างความปรองดองของคนในชาติ
จึงจำเป็นที่น่าจะต้องเอาสิ่งที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาเป็นบทเรียน
เพื่อหาทางออกโดยมีโจทย์ใหม่ของการสานเสวนาว่า
"ประชาธิปไตยของไทยจะก้าวเดินต่อไปอย่างมั่นคงได้อย่างไร"
ดำเนินการเปิดเวทีสานเสวนาทั่วประทศ
โดยอาศัยทีมงานที่เข้าใจกระบวนอย่างแท้จริง
โดยใช้ขอนแก่นโมเดลแบบโรงพยาบาลศูนย์เป็นต้นแบบจะดีกว่าไหม
-------------------------------------
นพ. วันชัย วัฒนศัพท์
ศาสตราจารย์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันพระปกเกล้าและกรรมการบริหารสภาวิจัยแห่งชาติ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น