Page 1
ถอดบทเรียนการช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ วารสารธรรม(ะ)ชาติบาบัดปีที่ ๓ ฉบับที่ ๕ พ.ศ. ๒๕๕๔ แบ่งปันบน facebook Share กราบนมัสการพระอาจารย์ไพศาลที่เคารพจากการที่ท่านได้เมตตาตรวจการบ้านให้ตุ๊ในจดหมายฉบับก่อน “น้าท่วมโคราชโอกาสพัฒนาด้านจิตวิญญาณ” เมื่อวารสาร ธรรม(ะ)ชาติบาบัด ปีที่2 ฉบับที่4 ตีพิมพ์เผยแพร่ออกไป เพื่อนๆที่เป็นเครือข่าย ธรรม(ะ)ชาติบาบัดหลายคนอ่านแล้วติดใจ อยากมีโอกาสส่งการบ้านพระอาจารย์ และขอรับคาชี้แนะด้วยวิธีนี้บ้าง แต่ไม่ค่อยมีเวลาเรียบเรียงงานที่ตนเองกาลังทาอยู่ ตุ๊เลยรับอาสา ไปตั้งวงเรื่องเล่าเร้ากุศล และ ถอดบทเรียนจากน้องๆที่ปฏิบัติงานกันตามโรงพยาบาลชุมชนและศูนย์สุขภาพชุมชน นามาเรียบเรียงส่งเป็นการบ้านท่านในรูปจดหมาย และหวังว่าท่านคงจะให้ความเมตตาตอบจดหมาย เพื่อเติมเต็ม และให้ปัญญาทางธรรมแก่พวกเราต่อไปจดหมายฉบับนี้ตุ๊มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ2 เรื่อง ดังนี้
Page 2
เรื่องที่1 นิดตายอย่างสงบหรือไม่จุ๋ม (พยาบาล) และพี่ๆน้องๆที่เป็น พยาบาล และจิตอาสา ศูนย์สุขภาพชุมชนในโรงพยาบาลปักธงชัย มีความเมตตาสูง จนรับย้ายนิด (นามสมมติ)เพื่อนพยาบาลด้วยกันที่เป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย ให้มาทางานด้วยกันที่ศูนย์ทั้งๆที่รู้ว่านิดคงจะสามวันดีสี่วันไข้ทางานไม่ได้เต็มที่แต่เจตนาก็คืออยากช่วยให้นิด ได้เตรียมตัวเผชิญความตายอย่างสงบจุ๋มเป็นคนสนใจการปฏิบัติธรรม จนไปสมัครเรียนปริญญาโท ด้านพุทธศาสน์จากสาวิกาสิกขาลัย และจบปริญญาโทด้วยวิทยานิพนธ์เรื่อง “การฝึกอานาปนสติภาวนาในผู้ป่วยมะเร็ง เพื่อเพิ่มคุณภาพชีวิต” เมื่อรู้จักกับนิด จุ๋มพยายามชักชวนนิดให้ไปปฏิบัติธรรมตามวัดต่างๆ และเมื่อนิดย้ายมาทางานด้วยกันจุ๋มในฐานะหัวหน้าทีม ก็จัดงานให้นิดทาตามกาลัง และเปิดโอกาสให้นิดได้พักผ่อนและดูแลสุขภาพตนเองได้เต็มที่จุ๋มเล่าว่า“ นิดเป็นคนทางานเก่ง และมีประสิทธิภาพมาก เธอมักจะรู้สึกวิตกกังวล ว่าจะทางานไม่ได้เต็มที่กลัวเพื่อนๆว่า เอาเปรียบ และผิดระเบียบราชการ หากไม่ได้สแกนนิ้วมือ (ใช้แทนลายเซ็น เพื่อเช็คเวลาทางาน)ตามเวลาที่กาหนด ทั้งๆที่เพื่อนๆทุกคน เข้าใจ และไม่เคยว่าอะไร”เมื่อนิดเข้าสู่ระยะสุดท้ายของการเจ็บป่วย มะเร็งลุกลามไปที่กระดูก ทาให้เกิดความเจ็บปวดมากต้องใช้มอร์ฟีนและยาแก้ปวดหลายชนิด จุ๋มจัดระบบให้เพื่อนๆพยาบาลและจิตอาสาผลัดเปลี่ยนกันไปช่วยดูแลนิดที่บ้าน ดังนี้1. ตาโต (พยาบาล) ไปดูแลสุขภาพด้านกาย เช่นการให้น้าเกลือ การให้ยาแก้ปวดยากันอาเจียน การใช้ออกซิเจน และช่วงหลังๆ นิดมีปัญหาการกินตาโตได้ตัดสินใจใส่สายยางเข้าทางจมูก (ลงไปที่กระเพาะ) เพื่อให้อาหาร
Page 3
ทางสายยางและจัดระบบบันทึก แบบเวชระเบียนประจาบ้าน ได้ดีอย่างน่าชื่นชม2. อ้อย (อายุรเวท) และนึก (อสม.ที่ป่วยเป็นมะเร็ง) ทาหน้าที่เป็นจิตอาสา ไปทาการนวดผ่อนคลายเช็ดตัว พลิกตัว ชวนพูดคุย และดูแลความสะดวกสบายอื่นๆ3. จุ๋ม และ เยือ (พยาบาล) ไปดูแลสุขภาพจิต และจิตวิญญาณ โดยนาซีดีบทสวดมนต์บทภาวนาโพวา มรณสติ และบทนาทางสู่สุคติ ของพระอาจารย์ไพศาลไปเปิด และนั่งสมาธิอยู่ด้วยครั้งละนานๆ รวมทั้งนิมนต์พระภิกษุที่จุ๋มเคารพนับถือ ไปโปรดนิดที่บ้านด้วย ถึง 2 ครั้ง4. นอกจากนี้ก็มีสามีและพี่สาวนิด ผลัดเปลี่ยนกันดูแลตลอดวันที่หมอตุ๊ไปเยี่ยมนิดที่บ้าน นิดฟังซีดีของพระอาจารย์ไพศาลอยู่ ดูเธอสงบและผ่อนคลายพอสมควร แต่ก็ยังบ่นว่า“คนที่บ้าน สอนอะไรก็ไม่จา สอนวิธีเช็ดตัวให้ก็ทาไม่เป็นซักที” (ก็คนสอนเป็นพยาบาลแต่คนทาเขาไม่ใช่พยาบาลนี่นา) เพื่อนๆบอกว่า แม้จะอยู่กับความเจ็บปวดแต่บางครั้งนิดก็พยายามปล่อยมุขขาๆ ออกมาให้คนไปเยี่ยมได้หัวเราะกันจุ๋มแอบเรียกหมอตุ๊ออกมาจากห้องแล้วกระซิบว่า “นิดเขามีเรื่องค้างคาใจกับแม่เขามาก แม่ไม่ค่อยกล้าเข้าไปหาลูกในห้อง เพราะเขาจะไล่ออกมา อาจารย์จะช่วยเขาได้ไหมคะ”หมอตุ๊นั่งอึ้งไปเล็กน้อย แล้วก็สารภาพอ่อยๆว่า “ไม่รู้เหมือนกัน พี่ไม่มีโอกาสได้พูดคุยกับแม่เขา แล้วยังไม่กล้าเปิดประเด็นนี้กับนิดด้วย..กลัวเขาเครียด
Page 4
ขึ้นไปอีก เพราะตอนนี้นอกจากไม่มีแรงแล้ว เขาก็ทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดอยู่มาก”จากนั้นมาเมื่อปักธงชัยประสบภาวะน้าท่วมใหญ่ ตาโต(ผู้ซึ่งว่ายน้าไม่เป็น)ลงทุนนั่งเรือท้องแบนเข้าไปบ้านนิด ซึ่งน้าท่วมมิดชั้นล่าง ต้องอพยพกันขึ้นไปนอนบนชั้นสอง ขู่แกมบังคับให้นิดออกมานอนที่โรงพยาบาล“ ช่วงนี้ที่บ้านไม่มีไฟไม่มีน้า การเดินทางมาโรงพยาบาลก็ลาบาก หากเป็นอะไร เพื่อนๆจะเข้าไปช่วยไม่ทัน นิดต้องออกมานอนที่โรงพยาบาลนะจ๊ะ”นิดมานอนโรงพยาบาลได้อีกไม่กี่วัน ก็หมดลมหายใจ คืนสู่ธรรมชาติ โดยมีสามีและญาติเฝ้าอยู่ตลอดจากเรื่องเล่าเรื่องแรกนี้น้องๆที่เปิดวงเรื่องเล่าสรุปสิ่งที่ตัวเองทาได้ดีดังนี้1. จุ๋มเป็นผู้บริหารทีมที่ดีใช้พรหมวิหาร 4 ในการทางานร่วมกับน้องๆ เมื่อสมาชิกในทีมเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ดูแลอย่างเป็นองค์รวม และจัดงานให้ทาตามความเหมาะสม โดยทีมงานทุกคนก็มีจิตเมตตากรุณา ช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เกี่ยงงานกัน2. จุ๋มประสานการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และจัดระบบการติดตามเยี่ยมบ้านเพื่อดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้ดี Put theright man ontheright job3. ตาโต ใช้ความรู้ทางการพยาบาล และประสานกับแพทย์ เพื่อจัดการดูแลด้านร่างกายได้เหมาะสมแม้จุ๋ม กับ ญาติ และ ตาโต จะมีความเห็นไม่ตรงกันเรื่องการใส่สายยางให้อาหาร ว่ากระเพาะผู้ป่วย จะยอมรับหรือไม่ ตาโตได้จัดระบบจดบันทึกของเหลวที่เหลือในกระเพาะก่อนการให้อาหารใหม่ทุกครั้ง เพื่อประเมินจากสภาพที่เป็นจริง หากเหลือมาก ก็ไม่ต้องให้มื้อต่อไป ซึ่งทาให้ญาติเข้าใจ และ
Page 5
พอใจมาก4. อ้อยและนึก ใช้ความรู้ทางแพทย์แผนไทย และพลังจิตอาสา พลังกรุณา ให้การเยียวยา เพื่อเพิ่มความสุขสบายแก่ผู้ป่วยได้ดีมากหมอตุ๊เสนอให้จุ๋มพาอ้อยและนึกเป็นต้นแบบ พัฒนาทักษะต่อยอดให้แก่เครือข่ายญาติและจิตอาสาอื่นๆเพื่อจะได้นาเทคนิคทางธรรมชาติบาบัด เช่นการจัดอาหารให้ผู้ป่วย การนวดสัมผัส การอาบแสงตะวัน การอบร้อนเย็น ดนตรีบาบัด ฯลฯเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยได้อย่างเป็นระบบ กว้างขวางขึ้น5. จุ๋มและเยือ ใช้ความรู้ทางพุทธศาสน์โดยเฉพาะที่ได้จากการอบรมจากเครือข่ายพุทธิกา มาดูแลผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ ได้ดีระดับหนึ่งหมอตุ๊เสนอให้จุ๋มนิมนต์พระ ที่เป็นเครือข่ายของจุ๋ม เข้ารับการอบรมกับพระอาจารย์ไพศาลอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อท่านจะได้เพิ่มพูนความรู้และทักษะ ในการไปโปรดผู้ป่วยระยะสุดท้ายต่อไปส่วนกลุ่มมิตรภาพบาบัดผู้ป่วยมะเร็งในอาเภอปักธงชัยนั้น หมอตุ๊ยินดีจะไปทากลุ่มโดยใช้ทักษะการช่วยเหลือผู้ป่วยด้านจิตวิญญาณ (S9-S15) ที่พัฒนาคู่มือไว้ทยอยจัดไปเดือนละ 1 เรื่อง เพื่อจะได้ไม่ต้องรอจนถึงระยะสุดท้ายเพราะอาจเตรียมอะไรไม่ทันอย่างไรก็ดีตุ๊และน้องๆในวงเรื่องเล่า ก็มีประเด็นที่จะขอความเมตตาให้ท่านช่วยเติมเต็มให้แก่พวกเรา ดังนี้ค่ะ1. จากเรื่องที่เล่ามา ท่านเห็นว่ามีสิ่งใดที่ทีมงานควรทาเพิ่มเติมอีก2. ประเด็นของนิดและแม่ (ที่จุ๋มบอกว่ามีเรื่องค้างคาใจ จนนิดไล่แม่ทุกครั้งที่แม่เข้าไปในห้อง) ในสถานการณ์แบบนี้เราควรทาอะไร ได้แค่ไหน3. เท่าที่ท่านรับทราบจากการอ่านเรื่องเล่านี้ท่านคิดว่า นิดตายอย่างสงบหรือไม่
Page 6
เรื่องที่2 ผมคิดอยู่เสมอว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็งคุณลุงบุญหลง(นามสมมติ) อายุ65 ปี ป่วยเป็นมะเร็งที่ตับ ต้องให้เคมีบาบัดถึง 3 รอบ (รอบละ 6 ครั้ง) เพราะมะเร็งดื้อยา และลุกลามไปที่อวัยวะอื่นๆแล้ว แม้คุณลุงจะเกษียณอายุราชการด้วยตาแหน่งสูงสุดในระดับผู้อานวยการมาถึง 5 ปีแล้วแต่คุณลุงก็ยังทางานเป็นที่ปรึกษาหน่วยงานในระดับประเทศอยู่และต้องเดินทางไปตรวจงานต่างจังหวัดเนืองๆคุณลุงบอกว่า“ชีวิตและความภูมิใจของผม คือการได้ทางาน การได้มีโอกาสพบปะผู้คน และพูดคุยกับน้องๆ”เมื่อภรรยาของคุณลุงซึ่งเป็นคนที่หมอตุ๊นับถือ มาขอร้องให้จัดกิจกรรมทาง ธรรม(ะ)ชาติบาบัดให้แก่คุณลุงบุญหลง โดยให้หมอตุ๊โทรศัพท์ไปเชิญคุณลุงด้วยตนเอง เพื่อคุณลุงจะได้เกรงใจ และยอมมาร่วมกิจกรรม ซึ่งก็เป็นดังคาดคือคุณลุงยอมมาด้วยความเกรงใจหมอตุ๊ตั้งใจทาบุญ โดยการเชิญเครือข่ายมิตรภาพบาบัดที่เป็นผู้ป่วยมะเร็ง และมีประวัติเป็นผู้บริหารระดับสูงคล้ายคุณลุงบุญหลง ให้มาเล่าประสบการณ์ในการดูแลตนเองด้วยธรรมะชาติบาบัด คือ 6 อ. (อบอุ่นไอรัก อาหารผักหลากหลาย ออกกาลังกายทุกวันวาร อารมณ์เบิกบานและผ่อนคลาย เลี่ยงอันตรายจากพิษ และนาชีวิตด้วยอริยมรรคมีองค์แปด)เมื่อพบกลุ่ม และเริ่มแนะนาตัว ผู้ป่วยท่านอื่นจะเล่าประวัติการเจ็บป่วยของตนเองให้กลุ่มฟัง แต่คุณลุงบุญหลง เล่าเรื่องงาน “เมื่อวานนี้ผมไปจังหวัดอุบลราชธานีไปทางานเรื่อง.....มา” เมื่อหมอตุ๊พยายามให้ผู้ป่วยท่านอื่นเล่าเรื่องการดูแลสุขภาพตนเองทั้งทางโลกและทางธรรมคุณลุงบุญหลง จะ
Page 7
พยายามซักถามคนอื่นเกี่ยวกับข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ และแสดงความรู้เรื่องโรคอย่างละเอียดสุดท้ายเมื่อหมอตุ๊พยายามไล่ตามกิจกรรม 6 อ.โดยเริ่มตั้งแต่ อบอุ่นไอรัก คุณลุงบุญหลงเริ่มหัวเราะแหะๆ บอกว่าผมอยู่คนเดียว (ภรรยาคุณลุงทางานต่างจังหวัด) ไม่มีใครมาช่วยทาอาหาร (แบบที่ฟังคนอื่นๆเล่า) ให้กินหรอก และยอมรับว่า สนใจเรื่อง การฝึกลมหายใจ การฝึกสมาธิและเจริญสติ น้อยมากหมอตุ๊จับประเด็นจากการพูดคุยได้ว่า คุณลุงบุญหลง มีปัญหาการนอนไม่หลับ เพราะจิตมีความคิดฟุ้งซ่านมาก และรู้สึกเป็นทุกข์กับเรื่องนี้จึงนาเรื่องนี้มาเป็น entry point ในการทากิจกรรมอื่นๆต่อไป โดยชวนคุณลุงและเพื่อนร่วมกลุ่มให้ร่วมกันสวดมนต์ (คุณลุงเล่าว่าเวลาสวดมนต์ก่อนนอนผมจะหาวหวอดๆ พอปิดหนังสือ และเริ่มหลับตาก็ตื่นขึ้นมาทันที) จากนั้นเชิญหมอฝนให้มาเล่นคริสตัลให้ฟัง ปรากฏว่าคุณลุงหลับได้ลึก และนานจนถึงเวลาที่ทุกคนตื่นหมดแล้ว คุณลุงก็ยังไม่รู้สึกตัวเนื่องจากในการจัดกิจกรรมครั้งนี้หมอตุ๊ขอให้ลูกๆซึ่งอยู่บ้านเดียวกับคุณลุงมาเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเรียนรู้ด้วย โดยมอบซีดีบทสวดมนต์และบทผ่อนคลายอย่างสมบูรณ์ให้กลับไปเปิดที่บ้าน ลูกๆแอบกระซิบกับหมอตุ๊ว่า “ปกติหนูก็เห็นพ่อเขาหลับดีแต่พอตื่นขึ้นมาเขาจะบอกว่า เขานอนไม่หลับ” หมอตุ๊บอกว่า บางทีตาเขาหลับ แต่จิตเขาตื่นก็เป็นได้ก่อนจบกิจกรรม หมอตุ๊สอนการหายใจ ประกอบการราไทชิอย่างง่ายให้ปิดท้ายด้วยการดูวีซีดีเรื่องราวของคุณสุภาพร พงศ์พฤกษ์เมื่อดูจบ ถามคุณลุง
Page 8
บุญหลง ว่า รู้สึกอย่างไรบ้าง คุณลุงตอบว่า“ พูดจริงๆนะตุ๊ผมคิดอยู่เสมอว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง ดังนั้นผมจึงใช้ชีวิตตามปกติ”หมอตุ๊ฟังแล้วจิตตกแว้บ...ตายแล้วที่เราทาอะไรต่อมิอะไรมาทั้งวันนี่เราลืมประเมินคนไข้ว่า เขาผ่านขั้นตอน การยอมรับความจริง ไปแล้วหรือยังสงสัยเรื่องนี้ส่งการบ้านพระอาจารย์ไพศาล ได้คะแนนศูนย์แน่ๆเลย!เรื่องนี้ตุ๊ไม่กล้าสรุปว่าตุ๊ทาอะไรได้ดี เพราะนึกถึงที่แม่ชีศันศนีย์เคยพูดไว้ว่า “อย่าให้อย่างยัดเยียด ควรประเมินผู้รับก่อนให้” ก็เลยไม่แน่ใจว่าที่ตุ๊คิดว่ากาลังทาดี เป็นความดีจริงหรือเปล่าคะกราบนมัสการพระอาจารย์ช่วยชี้แนะค่ะกราบนมัสการมาด้วยความเคารพและศรัทธาหมอตุ๊เจริญพร คุณหมอตุ๊อาตมาอ่านเรื่องราวการดูแลคุณนิดโดยคุณจุ๋มและเพื่อนด้วยความชื่นชมเป็นการดูแลทั้งกายและใจโดยใช้ทั้งศาสตร์และศิลป์และใช้ใจควบคู่กับการจัดการเป็นแบบอย่างของการทางานเป็นทีมที่นาความถนัดของแต่ละคนมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ อาตมาคิดว่ากรณีนี้เป็นรูปธรรมที่ดีของการทางานแบบinter-disciplinary ที่พูดถึงในวงการแพทย์โดยเฉพาะแบบ
Page 9
ประคับประคองอาตมาเชื่อว่าการดูแลอย่างดีโดยคุณจุ๋มและคณะ ซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและพยาบาล ช่วยให้คุณนิดเจ็บปวดน้อยลงทั้งกายและใจ และสามารถทาใจรับมือกับความเจ็บปวดได้มากขึ้น แต่อาตมาไม่สามารถตอบได้ว่าคุณนิดตายสงบหรือไม่เพราะรายละเอียดที่คุณหมอให้มานั้นไม่เพียงพอที่จะให้ความเห็นได้ แต่เชื่อว่าบรรยากาศที่คุณหมอเล่ามานั้นล้วนเอื้อต่อการจากไปอย่างสงบของคุณนิดสาหรับเรื่องค้างคาใจที่มีต่อคุณแม่นั้น อาตมาคิดว่าทีมพยาบาลสามารถทาได้โดยเริ่มจากการสอบถามอย่างอ้อม ๆ ว่า คุณนิดมีอะไรบ้างไหมที่ห่วงกังวลหรือรบกวนจิตใจ หากมี ก็จะได้พูดคุยสนทนากันเพิ่มเติม หากเธอยังไม่พร้อมที่จะเปิดใจ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นกรณีหลังสิ่งที่น่าจะทาก็คือสอบถามจากคุณแม่ของเธอว่าเป็นเรื่องอะไร จะได้เป็นข้อมูลในการเลียบ ๆเคียง ๆถามเธอในโอกาสที่เหมาะสม หากเธอพร้อมก็น่าจะเปิดประเด็นคุยกับเธอเรื่องนี้เพื่อช่วยปลดเปลื้องความรู้สึกที่รบกวนใจอีกสิ่งหนึ่งที่น่าทาก็คือ ชวนเธอกล่าวคาขอขมาหรือขออโหสิกรรม อาจจะมีพิธีกรรมเล็กน้อยด้วยก็ได้เพื่อช่วยในการปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจสาหรับกรณีคุณลุงบุญหลงนั้น การที่แกพูดว่า “ ผมคิดอยู่เสมอว่าผมไม่ได้เป็นมะเร็ง ดังนั้นผมจึงใช้ชีวิตตามปกติ” เป็นไปได้ว่า ๑) คุณลุงต้องการมองในแง่บวก ด้วยความเชื่อว่าถ้าคิดว่าฉันไม่ได้เป็นมะเร็ง ก็อาจทาให้มะเร็งหายไปในที่สุด หรือ ๒) คุณลุงยังไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นมะเร็ง อาตมาคิดว่าน่าจะเป็นกรณีหลัง จากที่คุณหมอเล่ามา คุณลุงเป็นคนเก่งและมีฐานะเป็น
Page 10
ผู้นา จึงอาจทาใจไม่ได้ที่ตัวเองเป็นมะเร็ง เพราะนั่นหมายถึงการเป็น “ผู้ป่วย” ซึ่ง(ในความรู้สึกของแก)มีสถานะที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ต้องเชื่อฟังหมอและพยาบาล จึงเป็นการลดสถานภาพของตัวเอง ซึ่งแกคงยากที่จะยอมรับเคยมีหัวหน้าพยาบาลคนหนึ่ง พอรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ก็ไม่ยอมพบใคร ไม่ให้ใครมาเยี่ยมหรือพูดเรื่องโรคมะเร็งกับตน รวมทั้งไม่ยอมรับคาแนะนาใด ๆใครต่อใครแนะนาให้ลองทาสมาธิภาวนา เธอก็ไม่ฟัง ตลอด ๗ปีที่ป่วยเธอเอาแต่ทางาน ไม่สนใจทาบุญ เข้าวัดหรือปฏิบัติธรรม แต่เวลาอยู่กับคนไข้ด้วยกัน เธอจะช่วยเหลือพวกเขาเป็นอย่างดีทั้งให้กาลังใจ ทั้งพาไปกินเลี้ยง เห็นได้ชัดว่าเธอจะมีความสุขมากเวลาได้เป็นผู้นาของคนอื่น ๆ เมื่อเธอป่วยหนักในระยะสุดท้าย พยาบาลรุ่นน้องไม่รู้ว่าจะให้ความช่วยเหลือทางจิตใจแก่เธออย่างไร จึงไปขอความช่วยเหลือจากพยาบาลรุ่นพี่คนหนึ่ง พยาบาลรุ่นพี่คนนี้เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้ป่วย ดังนั้นแทนที่จะไปให้คาแนะนาผู้ป่วยก็ไปขอความช่วยเหลือผู้ป่วยให้เป็นประธานในการทาสังฆทานสร้างศาลาวัดปรากฏว่าเธอยินดีเป็นประธานหลังจากนั้นก็มีการทาพิธีอุทิศส่วนกุศลและขอขมา เธอก็ให้ความร่วมมือด้วยดีมีการขอขมาแก่กันและกัน คืนนั้นเธอก็จากไปอย่างสงบมีหมออีกคนเป็นอธิบดีพอป่วยเป็นมะเร็ง ก็เก็บตัว ไม่ค่อยสมาคมกับใคร เมื่อมารักษาตัวที่โรงพยาบาล ก็ชอบสอนพยาบาลด้วยการเขียนใส่กระดาษแนะนาต่าง ๆ นานา เช่น จะดูดเสมหะอย่างไรคนไข้จึงจะไม่ปวด ฯลฯพยาบาลก็ไม่ว่าอะไร ซ ้ายังเอาคาแนะนาของเขาติดบนหัวเตียง ทาให้เขาภาคภูมิใจที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะหมอท่านนี้ต้องการแสดงความเป็นผู้นา เมื่อล้มป่วยก็รู้สึกสูญเสียความเป็นผู้นาไป จึงยอมรับได้ยากว่าตัวเองเป็นผู้ป่วย(เพราะเมื่อเป็นผู้ป่วยก็ต้องพึ่งพาและปฏิบัติตามผู้อื่นโดยเฉพาะพยาบาล ซึ่ง
Page 11
อยู่ในสถานะที่ต่ากว่าหมอ) ดังนั้นจึงหาโอกาสที่จะฟื้นความเป็นผู้นาด้วยการสอนชี้แนะ หรือสั่งพยาบาลอยู่เสมอ ในกรณีนี้ต้องชมพยาบาลว่ามีความอดทนและเข้าใจความต้องการส่วนลึกของผู้ป่วยกรณีของคุณลุงบุญหลง ตราบใดที่แกยังมองว่าการเป็นผู้ป่วยทาให้แกมีสถานภาพที่ต่าลงแกคงยอมรับไม่ได้ง่าย ๆ ว่าตนเองเป็นผู้ป่วยหรือเป็นมะเร็ง ทางออกสาหรับกรณีนี้ก็คือ ช่วยเหลือแกโดยยังคงทาให้แกรู้สึกว่าสถานภาพของตนเองไม่ได้ลดต่าลงหากจะมีคาแนะนาใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคุณลุงคาแนะนานั้นควรจะออกมาจากปากของคนที่แกนับถือ หรือจากหมอระดับเดียวกัน(ถ้าเป็นผู้ป่วยมะเร็งอยู่แล้วก็ยิ่งดี)อย่างไรก็ตามอาตมาขอชื่นชมคุณหมอที่พยายามดูแลเอาใจใส่คุณลุงและคอยสอบถามความรู้สึกของแก ทาให้รู้ว่าแกติดขัดที่ตรงไหนอาตมาขอให้ความเห็นแต่เพียงเท่านี้ธรรมและพรพระไพศาล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น