ผมไม่ใช่นางสาวไทย จึงไม่มีภารกิจ “รักเด็ก” เป็นหน้าที่สำคัญ หนำซ้ำยังทะเลาะกับเด็กบ่อยจนเพื่อนบางคนให้สมญาเป็น “มือสังหารเด็ก”
ไม่ว่าเด็กคนไหนงอแง เอาแต่ใจ อาละวาด ร้องกรี๊ด ๆ อย่างไม่มีเหตุผล พอเจอมือสังหารเด็กอย่างผมเข้าก็มักจ๋อย
ที่ เล่ามานี่ไม่ได้มีความภูมิใจอะไรเลย นอกจากจะบอกว่า จุดอ่อนที่กระตุ้นโทสะผมง่ายที่สุด ก็คือเหล่าเด็กเอาแต่ใจ ที่โดนพ่อแม่สปอยล์จนเคยตัวนี่แหละ
จุดอ่อนนี้รักษายากมาก มันสามารถพุ่งปรี้ดได้บ่อย ไม่เลือกเวลา สถานที่ ยกเว้นจะแสดงออกมาหรือไม่เท่านั้นเอง
ผมไม่มีความอดทนกับเด็ก ๆ แต่ก็มีบางเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องอดทนเหมือนกัน
เย็น วันหนึ่ง ผมไปปิกนิกร่วมรับประทานอาหารมื้อเย็นกับครอบครัวของเพื่อน ๆ ที่สวนสาธารณะริมน้ำแห่งหนึ่ง บรรยากาศดี สดชื่น มีผู้คนมาวิ่งออกกำลังกาย หลายครอบครัวมาปูเสื่อกินข้าวเปลี่ยนบรรยากาศ
พวกผมนั่งกินอาหาร พูดคุยกันจนมืดค่ำ พวกลูกเพื่อนพากันไปวิ่งเล่นสนุกสนาน
ข้างวงข้าวเป็นบันไดลงไปในหนองน้ำ ซึ่งขณะนั้นน้ำขึ้นสูงท่วมบันไดขั้นแรก ๆ ไปแล้ว
ระหว่างเด็ก ๆ วิ่งเล่น พวกผู้ใหญ่นั่งพูดคุยกันสนุกสนาน จู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง “ตูม”
ทุก คนตกใจคิดว่าลูกตกน้ำ จึงรีบลุกขึ้นหันไปดู ปรากฏว่าเจอเด็กผู้ชายอายุสักสี่ห้าขวบ ตัวล่ำหนา (ค่อนข้างอวบอ้วนนั่นแหละ) ลื่นล้มตรงบันไดที่มีน้ำปริ่มขึ้นมา
ผม กับแฟนเพื่อนรีบเข้าไปดู ตั้งใจช่วยเหลือ เจ้าหนูดูท่าตกใจ กลัวจนพูดไม่ออก ผมดูที่ขาอวบ ๆ นั่นก็โล่งใจ ไม่น่าเป็นอะไรมาก บันไดนั้นมีตะไคร่เกาะ เด็กลื่นหกล้มไม่แรงนัก น้ำสูงประมาณตาตุ่ม น่าจะผ่อนแรงกระแทกได้บ้าง
ผมถามเจ้าหนูนั่นว่าเป็นอะไรมั้ย?
เด็กเริ่มได้สติจึงแผดเสียงตอบ...เจ็บ!...ลุกไม่ไหว
ฟัง แล้วก็งง ล้มแค่นี้ไม่น่าเจ็บขนาดต้องแหกปากร้องอย่างนั้น ถ้าขาแพลงหรือขาหักค่อยว่าไปอย่าง ผมเลยให้แฟนเพื่อนที่เป็นผู้ช่วยทันตแพทย์ดูอาการของเด็กทีว่าเป็นอะไรมาก มั้ย (ให้หมอฟันมาดูอาการเด็กหกล้มนี่นะ)
เธอ ก็บอกว่าไม่แน่ใจ ดูอาการแบบหมอไม่เป็น ถ้าเด็กขาหักจริง ๆ ก็ปฐมพยาบาลไม่ได้ ผมเลยเสี่ยงบีบขาเด็กตรงที่คาดว่าน่าจะหักหรือแพลงดู ปรากฏว่าเจ้าหนูก็ไม่แหกปากร้องดังกว่าเดิม เป็นอันเชื่อว่ากระดูกมันไม่หักแน่ (หกล้มแค่นี้กระดูกหักได้ก็เกินไปล่ะ)
สุดท้ายเลยถามเด็กว่า พ่อแม่อยู่ไหน?
เด็กชี้มือไปทางสะพานเข้าสวนสาธารณะ ไกลพอควร
“เจ็บ...ลุกไม่ไหว...เดินไม่ไหว” เจ้าหนูร้องลั่นอยู่อย่างนั้น
ได้ยินแล้วอยากถีบเด็กลงน้ำให้รู้แล้วรู้รอด นี่แสดงว่าผมต้องแบกเจ้าหนูคนนี้ไปส่งให้พ่อแม่เขาหรือนี่?
เวรกรรม...นี่มันหุ่นลูกขนุนย่อม ๆ เลยนะเนี่ย!
ดู ขาข้างที่เจ็บเห็นแค่รอยถลอก เป็นแผลนิดเดียว โดนน้ำน่าจะแค่แสบ ๆ ขาไม่หัก ไม่น่าร้องโวยวายขนาดนั้น...เด็กอะไรวะไม่มีความอดทนเลย (ฮึ่ม)
นึกบ่นไปอย่างนั้นแหละ ยังไงก็ต้องช่วยอุ้มไปส่ง ไหน ๆ หลวมตัวเข้ามาช่วยแล้วนี่
“เอ้า...จะอุ้มไปส่งแล้วนะ” ผมพูดแล้วค่อย ๆ อุ้มเด็กขึ้นมา (หนักชะมัด)
“เจ็บบบบ...เบา ๆ” เสียงแผดลั่นลากยาว อย่างกับผมไปหักขาเด็ก ทั้งที่จริงก็พยายามเบามือที่สุดแล้ว เด็กอาจจะแค่แสบแผลนิดเดียว พอขาขยับขึ้นมาหน่อยมันก็น่าจะเจ็บกว่าเดิมไม่มาก
ผมโมโหนึกอยากทุ่มเจ้าตัวกลมลงน้ำเสียเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่นึกสงสารเห็นว่าเป็นเด็กยังไม่เจอพ่อแม่ อาจขวัญเสียอยู่ก็ได้
อุ้ม พาเด็กมาได้สักครึ่งทางก็ไม่ไหว แขนล้า เจ้าลูกขนุนนี่หนักกว่าที่คิด แถมระหว่างทางมันยังแผดเสียงเจ็บบบ...เจ็บบบบมาตลอด จนผมเริ่มกลัวว่ามันจะขาหักจริง ๆ
สุด ท้ายก็ประคองให้นั่งเก้าอี้ ห้อยขาแล้วสังเกตบริเวณที่ถลอกอีกครั้ง ความรู้กระพร่องกระแพร่งเกี่ยวกับวิชาสุขศึกษาตอนป.๖ ได้เอามาใช้ ดูอีกทีจนแน่ใจว่ายังไงก็ขาไม่หักแน่ ๆ ถึงขาแพลงก็ไม่น่าจะหนักหนา ผมได้ข้อสรุปเกี่ยวกับเจ้าหนูตัวกลมนี่ทันที มันใจเสาะ!
ที่แหกปากนี่ ถ้าไม่ใช่เพราะอยากเรียกร้องความสนใจ ก็คงเพราะกลัว ที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ใกล้ ๆ
ฉุนก็ฉุน โมโหก็โมโห หงุดหงิด รำคาญอยากจะทิ้งเด็กไว้เสียตรงนี้ ปล่อยให้มันร้องหาพ่อหาแม่เอาเอง แต่ก็ทำไม่ลง ช่วยมาถึงนี่แล้ว...ถ้าเด็กมันร้องเพราะความกลัวก็คงต้องพยายามปลอบกันไป
คราว นี้ผมเอาเด็กขี่หลัง (อุ้มไม่ไหวแล้ว) พาเดินต่อ ระหว่างทางก็พยายามพูดจาปลอบโยน เท่าที่คนใจร้อน ขี้โมโห (และเกลียดเด็ก) คนนึงจะทำได้
แต่ ไม่มีประโยชน์เลย พูดอะไรก็ไม่ฟัง ปลอบยังไงก็ไม่สนใจ ไอ้หนูเล่นบทแหกปากร้องอย่างเดียว...เจ็บ...เจ็บ...ชนิดนันสต็อป คนแบกก็หนักพออยู่แล้ว ยังต้องหนวกหูกับเสียงร้องของมันอีก จะทนได้เท่าไหร่กันเนี่ย
“อดทนหน่อยสิวะไอ้หนู เราล้มเองนะ ไม่มีใครทำ” ผมพยายามปลอบกึ่งสอน
ไอ้หนูสวนกลับทันที
“ไม่ทน...ไม่ทน...เจ็บ...เจ็บบบบบขา”
โว้ย...อยากเหวี่ยงมันซะให้รู้แล้วรู้รอด พ่อแม่สมัยนี้ไม่เคยสั่งสอนให้ลูกมีความอดทนกันบ้างหรือไงนะ ปวดประสาทจริง ๆ
ผมพยายามรีบเดินไปตรงสะพาน จุดที่เด็กบอกว่าพ่อแม่อยู่กัน พอไปถึงปรากฏว่าไม่เจอคน มีแต่มอเตอร์ไซค์จอดอยู่...
งง...ไม่เข้าใจ จนพอซักถามเจ้าหนูอีกที ก็ได้ความว่า...มากับย่า...พ่อแม่อยู่บ้าน
เอ้า...เอาเข้าไป นอกจากจะเหนื่อยแล้วยังสื่อสารกับเด็กไม่รู้เรื่องอีก
สรุปว่าเด็กมาเที่ยวกับย่า แต่ด้วยความซนจึงวิ่งจี๋ไปเล่น ย่าคิดว่าไม่มีปัญหาอะไร เลยไปเดินออกกำลังกายตามประสา
พอ เด็กล้มเกิดอุบัติเหตุ คนดวงซวยอย่างผม เข้าไปช่วย ถามถึงพ่อแม่ เจ้าหนูเลยชี้ส่ง ๆ มาทางรถมอเตอร์ไซค์...เอาละสิคราวนี้จะทำยังไง ย่าของเด็กจะกลับมาตอนไหนก็ไม่รู้
แฟน เพื่อนผมรับอาสาไปตามหาย่าของเด็ก ทิ้งภาระให้ผมต้องนั่งเฝ้าจอมมารที่ยังร้องไม่ยอมหยุด ผมอดทนนั่งฟังเจ้าหนูร้องโวยวายเจ็บ เจ็บ สลับกับตะโกนเรียกหาย่าอย่างไม่รู้จักเหนื่อย
โมโห รำคาญ ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ปล่อยทิ้งไว้ก็เป็นห่วง สงสาร...เฮ้อ...ใครเชื่อมั้ยว่า ใจคนเราสามารถมีความกรุณา สงสาร เกิดสลับกับโทสะได้รวดเร็วขนาดนี้
แฟน เพื่อนผมกลับมาพร้อมกับบอกว่าตามหาย่าของเด็กไม่เจอ เสร็จแล้วเธอก็ขอตัวไปดูลูกตัวเอง ปล่อยให้ผมนั่งทนฟังเด็กแผดเสียงแสบแก้วหูคนเดียว
สักครู่เจ้าหนูก็ร้องบอกว่าจะไปนั่งรอย่าบนมอเตอร์ไซค์ ผมก็อุ้มไปส่ง มิวายยังโดนเด็กด่าให้อุ้มเบา ๆ จับตัวมันเบา ๆ (เจ็บโว้ย)
ปล่อยเจ้าหนูบนมอเตอร์ไซค์เสร็จ ผมก็ออกมานั่งคอยดูแกห่าง ๆ ยอมรับว่าทนฟังการแผดเสียงไม่เลิกอย่างนั้นไม่ไหว
ครู่ใหญ่ คนแถวนั้นก็ทยอยกันมาดูเด็ก (ไม่มาก็แปลกแล้ว ร้องเสียงลั่นซะขนาดนั้น) พยายามปลอบให้เงียบเสียง...แต่เฮอะ...คงทำได้หรอกนะ
แล้ว คราวซวยก็ตกมาที่ผม เมื่อถูกบางคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นพ่อเด็กมาปล่อยให้มันร้องไห้ คนที่ใจกล้าหน่อยก็เข้ามาถาม...ตั้งใจสั่งสอนให้ผมเข้าไปดูลูกว่างั้น เถอะ...โดนเข้าแบบนี้ผมแทบเดินหนี
ยังดีที่แฟนเพื่อนผมกลับมาพอดีแล้วช่วยอธิบายให้ ผมเลยรอดจากการเป็นจำเลยของจอมมารตัวน้อยนี้
พอ รู้ว่าผมไม่ใช่พ่อเด็ก ทุกคนจึงพยายามช่วยเหลือตามหาย่าแก โดยเรียกเจ้าหน้าที่สวนสาธารณะให้วิทยุติดต่อเสียงตามสาย ช่วยประกาศตามหาย่าของเด็ก (เออ...ผมไม่ยักคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน)
สัก พัก ทุกคนก็เห็นคุณย่าใส่เสื้อแดงเดินลอยชายมาทางรถมอเตอร์ไซค์ ดูท่าทางใจเย็นอย่างนี้คงไม่รู้หรอกว่าคนอื่นกำลังตามหาตัวแกกันให้ควั่ก
แฟนเพื่อนผมบอกแกว่าหลานชายตกน้ำ มาดูหน่อย คุณย่าถึงตกใจรีบเดินเข้ามาดู
พอเห็นหลานชาย ได้ยินเสียงร้องลั่นแบบไม่หยุดอย่างนั้นแกค่อยคลายใจบอกกับใคร ๆ ว่า
“อ๋อ...ถ้าร้องได้อย่างนี้ ไม่เป็นไรหรอก หลานฉันมันนิสัยแบบนี้เอง ไม่ต้องตกใจหรอกจ้า”
ผมก็จบข่าว ขี้เกียจแสดงตัวว่าเป็นคนโชคร้ายช่วยหลานชายแกมา กลับบ้านด้วยความโล่งอก พร้อมกับมีเรื่องราวมาเขียนได้อีกหนึ่งเรื่อง...
งาน นี้ถือว่าเป็นบททดสอบสำหรับมือสังหารเด็กเลยทีเดียว...ทั้งที่จิตใจเริ่มต้น อยากช่วยเด็กด้วยความกรุณาแท้ ๆ แต่พอเจอปฏิกิริยาทางลบตลอดเวลาอย่างนั้นเข้าก็ช่วยไม่ได้ที่จะเกิดโทสะ มีความคิดอกุศลเกิดขึ้นเป็นระยะ
จิต มันไม่เที่ยงอย่างนี้เอง ความกรุณาร้อยเปอร์เซ็นต์ มาเจอตัวกระตุ้นโทสะ (ที่เป็นจุดอ่อนของผม) อย่างแรงเข้า จิตก็เลยเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา
หากไม่มีสติคอยเตือน เจ้าเด็กวายร้ายที่มีความสามารถกระตุ้นโทสะได้ภายในสามวินาทีคนนี้คงโดนเหวี่ยงทิ้งน้ำเป็นสิบรอบแล้ว...
ถ้าจะกรุณาก็ทำให้ถึงที่สุดแล้วกัน จะมีโทสะมาแทรกบ้างมันเรื่องธรรมดาของใจปุถุชน ขอให้มีสติระวังอาการทางกายไว้หน่อย...
ไม่งั้นพวกเด็กเวรทั้งหลาย คงได้ตะโกนด่าคนอย่างผมว่าเป็น...พวกผู้ใหญ่เวร!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น