++

...+

Theขี้ฝุ่นริมทาง

วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

สรุปเรื่องสมการความสุข 7 ตอนมาให้อ่านกันค่ะ

สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาดู "สมการความสุข" 7 ตอน ในยูทูบสรุปมาให้อ่านตามด้านล่างค่ะ


คุณวรัตตา ภัทโรดม หรือเหมียว ทำงานประสบความสำเร็จมาก เริ่มงานไดเร็ค มาร์เก็ตติ้ง ตั้งแต่อายุ 21 ที่ลีโอเบอร์เน็ต เอเยนซี่ชื่อดัง เริ่มเงินเดือน 12000 บาท แต่ 5 ปีให้หลัง (สมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน) ได้เงินเดือนมากกว่า 5 หมื่นบาท อายุ 29 ปี เข้าร่วมกับหุ้นส่วนตั้งบริษัท ถือหุ้นประมาณ 25% ได้เงินเดือนสูงสุดถึง 3 แสนห้าหมื่นบาท มีลูกน้องกว่า 200 คน ชอบช็อปปิ้ง เคยช็อป 2 วันเป็นล้าน มีความสุขกับการกินเหล้าโดยเฉพาะทุกวันศุกร์ มีความมั่นใจในตัวเองสูงมากจนเกินเหตุ ใคร ๆ ก็ชมว่าดีจนอัตตามากเกินเหตุ ทำให้โมโหร้าย เกรี้ยวกราดขาดสติ ทุกอย่างต้องสมบูรณ์แบบ



พ่อแม่บ่นว่าทำไมขี้บ่น ขี้หงุดหงิดจัง พอรถติดมาก บางครั้งแกล้งปาดหน้ารถคันอื่นเพื่อหาเรื่อง แล้วเอากรวยส้มข้างถนนปารถคันอื่น ผู้ชายมันลงมาบอกว่าถ้าเป็นผู้ชายชกหน้าไปแล้ว ก็ถามไปว่า แล้วเป็นผู้หญิงแล้วเป็นยังไง

มีอยู่ครั้งหนึ่งไปดูหนังกับเพื่อน แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งมากับผู้ชายนั่งอยู่แถวหลังไม่ยืนตอนเพลงสรรเสริญขึ้น แต่ผู้ชายยืน ก็ชะโงกไปดูว่าผู้หญิงพิการหรือว่ายังไงทำไมถึงไม่ยืน (กลัวด่าคนผิดเลยต้องดูให้แน่ใจก่อน) พอจบเพลงสรรเสริญก็เดินออกจากแถวตัวเองเดินไปหาผู้หญิงคนนั้นเลย ไปตะโกนถามว่า ทำไมไม่ยืนเพลงสรรเสริญ ผู้หญิงก็พูดว่า ถ้าไม่ปวดท้องก็จะยืน (ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ท้อง) ก็เลยพูดว่า ถ้าไม่ยืนเพลงสรรเสริญ ก็ไม่ต้องอยู่ประเทศนี้ เพื่อนกลัวมีเรื่องก็เลยลากไปนั่งแถวอื่นที่ไกลหน่อย แต่ตลอด 3 ชั่วโมงที่ดูหนังเรื่อง “ข้างหลังภาพ” ดูหนังไม่รู้เรื่องเลย มีอารมณ์โกรธมือไม้สั่นอยู่ตลอดเวลา คอยหันไปดูผู้หญิงคนนั้นตลอดเวลา กะว่าถ้าลุกเมื่อไหร่ก็จะตามไปเอาเรื่องเต็มที่ จนหนังจบก็ยังโมโหอยู่ แต่ไม่เห็นผู้หญิงคนนั้นแล้ว ก็ตามหาผู้หญิงคนนั้นจนทั่วทั้งในห้องน้ำและข้างนอกวิ่งไปวิ่งมาก็ไม่เจอ จนกระทั่งลงบันไดเลื่อนลงมา ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นอยู่ข้างบน ก็วิ่งขึ้นไปจะหาผู้หญิงคนนั้นแต่ผู้ชายคนที่มากับผู้หญิงก็รีบพาผู้หญิงคนนั้นวิ่งหนีไปไหนไม่รู้

จุดเปลี่ยน คือ วันหนึ่งไปเดินในห้าง ถูกใจนาฬิกาพลาสติกอันหนึ่ง ก็เลยพูดกับคนขายว่า ขอดูนาฬิกาสีฟ้าหน่อยค่ะ (ปกติจะเป็นคนพูดเพราะกับทุกคน) แต่คนขายก็ยังคุยกัน ไม่สนใจ ขอดูหนที่สองก็ยังไม่สนใจ พอหนที่สามจึงจะหยิบให้แต่หยิบสีเขียวให้ ก็โมโหมากด่าออกไปเลยว่าตาบอดสีหรือไง ด่าไปเยอะมากแต่จำไม่ได้แล้ว แต่วันนั้นเป็นวันแรกที่ได้ยินเสียงตัวเองที่ด่าออกไป พอรู้สึกตัวก็เลยขอโทษ แล้วลงมานั่งร้องไห้ในรถ ตอนนั้นเสียงทุกเสียงที่เคยมีคนบ่นว่าตัวเองเป็นคนหงุดหงิดง่าย ขึ้บ่น ก็แว่วเข้ามาในหู กลับถึงบ้านก็เลยเอาแผ่นชาร์ตใหญ่ ๆ ออกมาเขียนเลยว่า เหมียวคนเดิมเป็นคนนิสัยยังไง คนใหม่นิสัยเลวยังไง เพราะตำแหน่งหน้าที่ การงาน ที่ทำให้นิสัยเปลี่ยนไป ร้องไห้จนตาบวม วันรุ่งขึ้นก็เอาสิ่งที่เขียนบนชาร์ตไปให้หุ้นส่วนดูว่า เหมียวคนเดิมเป็นยังไง เหมียวคนใหม่เลวยังไง มี 3 ทางเลือก คือ 1. หาคนมาแทนฉัน 2. ขายบริษัท 3. ปิดบริษัท เพราะตัวแปรที่ทำให้มีนิสัยเลว ๆ แบบนี้ไม่เอาแล้ว เงินเท่าไรก็ไม่เอา ถ้าทำให้นิสัยเลวแบบนี้ แต่จะปิดบริษัทก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีลูกน้อง 200 กว่าคน ลูกค้าก็ยังมีอยู่ ก็ใช้เวลาประมาณ 1ปี กับ 3 เดือนก็ปิดและย้ายระบบ ในช่วงนั้นไม่เคยเปลี่ยนใจเลย เพราะคิดได้ว่าเกิดมาทำไม ตายไป เส้นผมเส้นหนึ่งก็เอาไปไม่ได้ ก็ไปดำน้ำ ถ้าไม่ได้คำตอบในการแก้ปัญหาก็กะว่าจะไม่กลับมา สักพักหนึ่งเพื่อนๆ ก็บอกว่านิสัยดีขึ้น แต่เริ่มรู้สึกว่าแล้วยังไงอ่ะ กลัวเงินหมด เพราะต้องผ่อนคอนโด และรถอีก 2 คัน พ่อแม่ก็เอาหนังสือธรรมะมาให้อ่าน แต่มันเหมือนเรียนว่ายน้ำจากหนังสือ ก็เลยโทรหาเพื่อนรับงานฟรีแลนซ์ ตอนนั้นนิสัยก็ดีขึ้น

จนเมิ่อ 7 ปีก่อนน้องสาวไปดูหมอ ก็เลยไปได้คำตอบว่าชีวิตเกิดมาทำไม เพราะหมอดูถามว่าคุณเคยไปทำวิปัสสนาไหม หมอสั่งให้ไปทำวิปัสสนาทางพุทธ แต่ไม่ได้สนใจ 7 เดือนต่อมาไปดูหมอให้พ่อ หมอพอผูกดวงเราเสร็จทักว่าคุณเคยมาดูแล้วนี่ ผมสั่งให้คุณไปวิปัสสนา คุณไปรึยัง คุณไปวิปัสสนา แล้วอย่ากลับมาที่นี่อีก พอดีมีพี่ที่ดำน้ำทักเรื่องให้ไปวิปัสสนาอีก ก็กลัว พี่เค้าก็เลยสมัครให้ที่หนึ่งก่อนที่จะไปของโคเอ็งก้าซึ่งยากกว่า ที่นี่ต้องมีชุดขาว 10 ชุด ตัวเองมีเสื้อขาวเยอะ แต่กางเกงขาวไม่ค่อยมี ก็เลยโทรไปถาม ป้าคนหนึ่งรับสายสงสัยกำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ ก็ถามป้าเค้าว่า เสื้อขาวมีเยอะ แต่กางเกงขาวไม่ค่อยมี ขอใส่กางเกงสีดำ น้ำตาล ได้ไหม เลยโดนด่ากลับมาประมาณว่าจะไปปฏิบัติธรรมแล้วยังเรื่องมากอีก ก็เลยด่ากลับไปว่าถ้าใส่กางเกงขาวแล้วจะสำเร็จ สีอื่นไม่สำเร็จรึยังไง ก็เลยไม่ได้ไปที่นี่ พี่เค้าก็เลยให้ไปอันยากเลยของโคเอ็งก้า เพราะไม่ได้บังคับว่าต้อง 10 ชุด ท่านเป็นคนอินเดียที่เกิดในพม่า เป็นนักธุรกิจที่รวยมาก เป็นไมเกรนอย่างหนัก เมื่อตอนอายุ 25 หาหมอทั่วโลก 1 ปีไม่มีคนรักษาได้ ต้องฉีดมอร์ฟีนแต่ไม่อยากติดมอร์ฟีน ก็มีคนแนะนำให้ไปรักษาทางจิต ลองไปนั่งดู ท่านเป็นผู้นำทางศาสนาฮินดูในพม่าด้วย ก็ลองไปนั่งดูจนตอนนี้อายุ 80 กว่าปีแล้ว

ตัวเองเป็นคนชอบพิสูจน์ ไปที่นั่น 10 วัน เขาบอกให้นั่งขวาทับซ้าย ก็นั่งซ้ายทับขวา มนุษย์มีท่านั่งท่าไหนได้บ้าง ก็ลองนั่งมันหมดทุกท่า ใส่กางเกงหมดทุกสี เหงื่อหยดเยอะมาก ตลอด 10 วันและเหม็นมาก เปลี่ยนชุดที 3-4 ชุดต่อวัน พอไป 10 วันแล้วคิดว่ามันช่วยได้ เค้าให้ทำอะไรก็เลยทำ



ที่นั่นไม่ให้พูดกันเลย 3 วันแรกให้เฝ้าดูลมหายใจ ดูแค่ไม่กี่ทีก็ไปแล้วคิดเรื่องอื่น พอวันที่ 4 ก็เข้าวิปัสสนา ปกติตัวเองจะเป็นคนที่มุ่งมั่นทำงานมาก ถ้างานไม่เสร็จก็ต้องอยู่จนดึกดื่นเพื่อทำงานให้เสร็จ แต่อันนี้มันไม่เหมือนกันยิ่งมุ่งมั่นทำมากจะยิ่งถอย ก็เริ่มคิดว่าตายละ ลมหายใจยังไปไม่ถึงไหนเลย จะเข้าวิปัสสนาแล้ว ตอนนั้นอยากกลับบ้านแล้ว เริ่มคิดว่ากูมาทำอะไรที่นี่วะ วันที่ 4 เก็บของกลับบ้าน ปกติเค้าเริ่มกันตอนตีสี่ครึ่ง ตีห้าถือของออกมาเลย เห็นเลข 5 ก็คิดได้ว่าเท่ากับมาครึ่งทางแล้ว ไม่งั้นต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ กำลังสอนเรื่องอุเบกขา การปล่อยวาง ก็ถามว่าปล่อยอะไร วางอะไร ให้พูดชัด ๆ ถ้าพูดไม่เข้าใจไม่ต้องไปพูดเรื่องอื่น ท่านก็เมตตาสูงมาก แต่ตอนนั้นก็วางเท้าขวาทับซ้ายแล้ว ขาเป็นเหน็บ ก็บอกหลวงพ่อขอเปลี่ยนท่าได้มั้ย หลวงพ่อก็ให้ดูเหน็บ ให้แยกจิตออกจากกาย เป็นเหน็บก็อนิจจังมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น น้อยลง แล้วก็หมดไป แต่พวกเราชอบเปลี่ยนท่าไม่รอให้เหน็บหายเอง วันที่ 6 หลวงพ่อบอกว่าเจ้ากรรมนายเวรจะกระทืบเราให้ตายไม่ให้ปฏิบัติได้ ก็เลยสู้ตาย ยอมยิ้มรับความเจ็บปวดจากการนั่ง วันนั้นเป็นวันที่เข้าใจว่าอุเบกขาคืออะไร ตอนนี้ก็อธิบายไม่ได้ ต้องลองเอง รู้เอง เค้าสอนให้ดูเฉย ๆ ไม่ต้องอินกับมัน คือแยกกายออกจากจิต ถ้ายิ่งอินกับมันก็จะยิ่งเจ็บ พอวันที่ 10 ก่อนที่จะให้พูดได้ ต้องแผ่เมตตาก่อนก็มีน้ำตาปิติไหลพราก เกิดใหม่แล้ว ชีวิตเปลี่ยนใหม่ คนเราเกิด 2 ครั้ง เกิดตอนท้องแม่และเกิดตอนพบธรรมะ



พบว่านิสัยเลวลงเพราะอัตตาสูง ตัวกูของกู ฟังน้อยพูดมาก เลยไม่เข้าใจคนอื่น พอไปวิปัสสนาแล้วทำให้มีเมตตาสูงขึ้น ไม่โกรธตอนที่มีคนขับรถปาดหน้า ก็มีมุมมองใหม่ว่าเค้าคงรีบเหมือนเรา พอไม่เครียดก็ไม่กินเหล้า ความเปลี่ยนแปลงค่อย ๆ เกิด ไปทุกปีปีละ 1- 2 ครั้ง เพื่ออาบน้ำให้ใจที่สกปรกที่รับขยะเข้ามาทุกวัน เหมือนกับการอาบน้ำให้ร่างกาย ความโกรธค่อย ๆ ลด ระงับความโกรธได้ทัน เวลาคนทำอะไรไม่ถูกใจ วันหนึ่งซื้อรถใหม่ป้ายแดงมาจอดแล้วขับรถคันเก่าไปทำงาน เด็กที่บ้านโทรมาบอกให้กลับบ้านด่วน เพราะขับรถคันใหม่ลงจากคอนโดไปเบียดเสา ก็ถามว่าเรียกประกันรึยัง เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ ก็เลยไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาเด็กก็ยังร้องไห้อยู่บอกรถคันใหม่ชนรู้รึยัง บอกว่ารู้แล้ว เรียกประกันรึยัง เด็กก็ยังร้องไห้อยู่ เพราะเค้าคงคิดว่า ขนาดสีตกใส่เสื้อยังอาละวาดบ้านแตก คิดว่ารถเบียดเสายังไงต้องตายแน่ ๆ ตอนนั้นปฏบัติได้ 3 ปีแล้ว



เคยมีครั้งหนึ่งโดนลูกค้าลองของ เขียนโน้ตมาตอนประชุมกันว่า วางเอกสารบนโต๊ะแล้วมาชกกันเลยดีกว่า ก็ไม่โกรธ แค่นึกในใจว่า “โถ” เบา ๆ ไม่กล้าพูดดัง พอประชุมเสร็จลูกค้าก็เดินมาถามว่าน้องไม่โกรธเหรอ ไปฝึกที่ไหนมา เดี๋ยวนี้ก็กลายเป็นกัลยาณมิตรกัน เพราะเราเข้าใจว่าเวลาโกรธ ความโกรธมันเผาเราก่อนที่จะไปเผาคนอื่น เราจะรู้สึกหัวใจเต้นเร็ว มือสั่น หน้าแดง



มีคนเคยถามว่าปฏิบัติแล้วต้องเลิกทำงานหรือไม่ ไม่ต้องเลิกทำงาน เพียงแต่เปลี่ยนวิธีการหาเงินที่ไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่น มีสัมมาชีพ เก็บ 1/3 ใช้ 1/3 ให้พ่อแม่หรือใครก็ได้ 1/3 ไม่ต้องใช้ชีวิตเปลี่ยนไปเพราะต้องยังอยู่ในโลกของวัตถุ แต่ทำงานอย่างมีสติมากขึ้น การพูดจาก็เปลี่ยน ความสุขมีแล้ว แต่ทุกข์ยังมีบ้างนิดหน่อย เกิดมาเพื่อฝึกตนเองให้เกิดปัญญาเพื่อไม่ต้องเกิดอีก ระหว่างเกิดกับตายก็ยังต้องหาเงินอยู่ แต่เอาไปไม่ได้ ก็ต้องสะสมแต้มพวกขันติบารมี อุเบกขาบารมี สัจจะบารมี (บารมี 10 อย่าง) เพราะแต้มพวกนี้เอาไปได้ตอนตาย ถ้าเชื่อว่าชาติหน้ามีจริงนะ ถือว่าเป็นการบริหารความเสี่ยงอย่างหนึ่ง ถ้าเกิดไม่ได้สะสมเลย เกิดชาติหน้ามีจริง เกิดมากลายเป็นม้าลาย อะมีบาทำยังไง ตายเลยไม่ได้สะสมแต้มไปเลย



คุณเหมียวเขียนหนังสื่อชื่อว่า “คนที่เคยร้ายกาจ” สำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูรายการนี

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น